กัณฑ์มหามรรคมากมายแน่นขนัดไหลเข้าไปในร่างของหลินสวินราวกระแสน้ำ
ไม่นานนักสรรพสิ่งคืนสู่ความเงียบสงัด ฟ้าดินคืนสู่ความสงบนิ่ง
ทุกคนที่ยืนดูอยู่บนกำแพงเมืองไกลออกไปต่างถอนหายใจยาวโล่งอกอย่างคุมตัวเองไม่อยู่
แต่ละภาพที่เกิดขึ้นเมื่อครู่น่าตื่นตะลึงเกินไปแล้ว!
และตอนนี้ ภายในร่างหลินสวินกลับมีเสียงคัมภีร์ดังขึ้นเป็นระลอก ประหนึ่งมรรคาจารย์เผยแผ่มรรค เทพสำแดงวิชา
พลังมรดกวิชามรรคแต่ละชนิดไหลเวียนโคจรภายในร่างหลินสวิน สาดซัดอยู่ที่อวัยวะตันห้ากลวงหก จุดชี่ไห่ กระทั่งกระดูกและผิวหนังทั่วทั้งร่าง
ด้านกลิ่นอายบนร่างหลินสวินก็ยิ่งเก่าแก่ไพศาล ประหนึ่งร่างจำแลงแห่งมหามรรค ต้นธารแห่งหมื่นวิชา ตัวเขาราวกับเตามหามรรคเตาหนึ่ง ส่งเสียงโครมครามเดือดพล่าน!
“หลอม!”
จนกระทั่งสารกาย พลังชีวิตและจิตวิญญาณภายในร่างถึงขั้นอิ่มเอิบสมบูรณ์อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน หลินสวินไม่ลังเลสักนิด เริ่มสร้างวิชา
ครืน!
ชั่วพริบตานั้นภายในร่างเขาประหนึ่งแดนปฐมกาลเปิดแยก มรดกวิชามรรคทั้งปวงกลายเป็นอักษรคัมภีร์มหามรรคเปล่งประกาย หลอมรวมเข้ากับพลังมหามรรคทั่วกาย ในที่สุดก็แปรเปลี่ยนเป็นเตาหลอมเตาหนึ่ง
ฟ้าดินเป็นเตา ศุภโชคเป็นช่างหลอม สุริยันจันทราเป็นถ่าน สรรพสิ่งเป็นทองแดง!
ตอนนี้ หลินสวินใช้ตัวเองเป็น ‘เตา’
ใช้นัยเร้นลับมหามรรคอย่างดับดารากลืนกิน เจินหลง ไท่เสวียน น้ำและไฟ ไร้มรณะเป็น ‘ช่าง’
ใช้สารกาย พลังชีวิตและจิตวิญญาณเป็น ‘ถ่าน’
ใช้วิชาทั้งปวงของตนเป็น ‘ทองแดง’!
ใช้สิ่งนี้เป็นรากฐาน ‘บรรจุหมื่นมรรคในหนึ่งร่าง สำแดงหมื่นวิชาในหนึ่งเตา’ สร้างวิชาของตน!
ทะเลมีร้อยธารา ปริมาณจึงมาก มรรคให้กำเนิดหนึ่ง หนึ่งให้กำเนิดสอง สองให้กำเนิดสาม สามให้กำเนิดสรรพสิ่งนับหมื่น มหามรรคและหมื่นพันวิชาทั้งปวงในโลกนี้ หากสวนกระแสย้อนไปหาแหล่งกำเนิด ย่อมกลับไปสู่ ‘หนึ่ง’ อันเป็นสิ่งแรก!
หลายวันมานี้หลินสวินผ่านการสำรวจ อนุมาน หยั่งรู้เป็นเวลานาน ในที่สุดก็ตัดสินใจว่า จะสร้างวิชาที่สามารถ ‘บรรจุหมื่นมรรค สำแดงหมื่นวิชา’!
ก็เหมือนเช่นภายในร่างเขาตอนนี้ ประหนึ่งเตาหลอมฟ้าดินเตาหนึ่ง หมายจะหลอมวิชาและมรรคแห่งตนเข้าไปภายใน
ในภายภาคหน้า มรรคและวิชาที่หลอมยิ่งมาก อานุภาพของเตาหลอมก็จะยิ่งแข็งแกร่งไปด้วย!
เพียงแต่ รู้ง่ายทำยาก
บรรจุหมื่นหมรรค สำแดงหมื่นวิชาในเตาหลอมเดียวเป็นเรื่องง่ายหรือ ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันยังไม่เคยมีวิชามรรคที่น่าเหลือเชื่อเช่นนี้มาก่อน!
แต่ตอนนี้หลินสวินต้องการจะสร้างมันขึ้นมา เปลี่ยนเป็น ‘วิชา’ ที่ตนริเริ่ม ก็เท่ากับเป็น ‘คัมภีร์’ ที่ตัวเขาเองประพันธ์ขึ้น!
สาเหตุที่ทำเช่นนี้ ไม่ได้เป็นเพราะหลินสวินมากด้วยความทะเยอะทะยาน แต่เป็นเพราะมรดกที่ตัวเขาครอบครองมีมากเกินไป ในขณะเดียวกันการฝึกพร้อมกันจะทำให้พลังของเขาผสมปนเป ไม่อาจพิสุทธิ์เป็นหนึ่ง
และตอนนี้วิชาที่หลินสวินสรรสร้างขึ้น ก็คือการนำนัยเร้นลับของวิชาทั้งหมดนี้หลอมในเตาหลอมเดียว แปรสภาพเป็นหนึ่งร่าง
เปรียบดั่งนัยเร้นลับ ‘ไตรมรรครวมเป็นหนึ่ง ก่อเกิดหนึ่งเดียวอันสัมบูรณ์’
เพียงแต่สิ่งนี้ยากเกินไปแล้วจริงๆ
เช่นมรดกอย่างคัมภีร์กระบี่ไท่เสวียน ดรรชนีมหาอุดมสลายมายา ไปไร้หวน วิชาร่างอริยะเก้าพิสุทธิ์ วิชาใดบ้างที่ไม่ใช่สุดยอดมรดกชั้นหนึ่งขอโลก
ถึงกับว่าแม้แต่หลินสวินยังไม่ได้เข้าใจนัยเร้นลับภายในนั้นอย่างถ่องแท้สมบูรณ์ การจะหลอมมรดกเหล่านี้ไว้ในเตาหลอมเดียวย่อมใช่เรื่องง่าย
แต่หากไม่สามารถสร้างวิชาที่ไม่เคยมีมาก่อนได้ ไม่อาจฝึกมรรคที่ไม่มีผู้ใดเสาะแสวงชั่วนิรันดร์ จะโดดเด่นออกมาเหนือหมื่นผู้กล้าธรรมบาลได้อย่างไร
แล้วจะสามารถสยบคนรุ่นเดียวกันทุกผู้ เรียกได้ว่าไร้ศัตรูในระดับนี้ได้อย่างไร
หมายจะยืนหยัดในตำแหน่งแข็งแกร่งที่สุด ต้องเสาะหายอดวิชาสูงสุด!
ครืน!
ภายในร่าง สารกาย พลังชีวิตและจิตวิญญาณลุกโชนถาโถมดั่งเปลวเพลิงจากถ่าน มหามรรคทั้งปวงจำแลงเป็นเตาหลอม กำลังหลอมวิชาภายในร่างทั้งมวล
ทว่าวิชาแต่ละวิชาล้วนคลุมเครือไร้สิ้นสุด ยามหลอมจะเกิดการปะทะน่ากลัวหาใดเทียบเป็นพักๆ ไม่ระวังเพียงนิดเดียวก็จะ ‘เตาทลายมรรคสลาย’ พลังสะท้อนกลับเข้าหาตัว
โชคดีที่เตาหลอมนี้ใช้ดับดารากลืนกินซึ่งเป็นมหามรรคพรสวรรค์ของหลินสวินเป็นรากฐาน เดิมทีก็มีอานุภาพลึกลับอย่าง ‘กลืนกินสรรพสิ่ง บรรจุสรรพสิ่ง’ อยู่แล้ว ถึงสามารถสลายการปะทะและการสะท้อนกลับที่อันตรายมากมายตอนหลอมพลังได้
หาไม่แล้ว มรรคและวิชาจะขัดกันเอง ทำให้ไม่ว่าผู้ฝึกปราณผู้ใดก็จะธาตุไฟเข้าแทรก สิ้นชีพคาที่
กล่าวอย่างไม่เกินเลย หากไม่มีมรรคดับดารากลืนกินแล้วหลินสวินกล้าทำเช่นนี้ ก็ไม่ต่างอะไรจากรนหาที่ตาย
ตอนนี้เขาจิตใจเยือกเย็น การรับรู้ปลอดโปร่ง อิสระไร้การควบคุม ตัวเขาจมอยู่กับการสร้างวิชาตน ลืมตัวเองไปโดยสมบูรณ์
กาลเวลาล่วงเลย ผ่านไปแล้วครึ่งเดือนอย่างรวดเร็ว
ช่วงเวลานี้หลินสวินนั่งขัดสมาธิอยู่นอกเมืองสามพันจั้ง ไม่ไหวติงแม้สักนิดราวกับรูปปั้น
ผู้ฝึกปราณในเมืองอารักษ์มรรค จากตอนแรกที่สั่นสะท้านและตกตะลึง ก็เริ่มคุ้นชินกับภาพเช่นนี้ไปอย่างช้าๆ
ในระหว่างนี้จ้าวจิ่งเซวียน เสี่ยวอิ๋น เสี่ยวเทียนไม่ออกไปข้างนอกอีก เฝ้าคุ้มครองข้างกายหลินสวินอยู่ตลอด ด้วยกลัวว่าจะมีการเคลื่อนไหวอะไรมารบกวนเขา
แม้แต่พวกเซ่าเฮ่า รั่วอู่ และเจ้านกดำยังดูอะไรไม่ออกอีก ทั้งยังไม่อาจตัดสินได้ว่า วิชาแห่งตนที่หลินสวินสร้างขึ้นคราวนี้ เจ้าตัวกำลังประสบกับความยากลำบากและอันตรายเช่นไรอยู่
หนึ่งเดือนผ่านไป
หลินสวินยังคงนิ่งไม่ไหวติงดั่งภูผา กระทั่งแม้แต่การขับเคลื่อนของพลังรอบตัวยังหายไปโดยสมบูรณ์ ราวกับสิ่งที่ตายไปแล้ว นิ่งทื่อไร้คลื่นพลังชีวิต
มีเพียงท่วงทำนองมรรคไร้รูปพันพัวอยู่รอบกายเขา ที่พิสูจน์ว่าเขายังอยู่ในสภาวะอัศจรรย์ที่กำลังสร้างวิชาอยู่
ค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณก็เคยชินกับภาพนี้โดยสมบูรณ์แล้ว ต่างคนต่างยุ่ง บ้างตระเวนไปในสมรภูมิเก้าดินแดน ไล่ล่าสังหารกำลังพลแปดดินแดนที่หลงเหลืออยู่
บ้างเสาะหาโลกลี้ลับที่มีวาสนาบรรลุมกุฎอริยะซ่อนอยู่
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์