ยามฟ้าสว่าง หลินสวินเดินออกมาจากห้องด้วยสีหน้าสดชื่น มองไปรอบทิศก็เพียงรู้สึกว่าท้องฟ้าปลอดโปร่ง สายลมโชยอ่อน จิตใจโล่งสบาย
ทิวทัศน์ก็ยังเป็นทิวทัศน์เช่นเดิม เพียงแต่พอสภาพจิตใจเปลี่ยนไป ทิวทัศน์ก็ย่อมแตกต่างไปเป็นธรรมดา
เหลือเวลาอีกไม่ถึงหนึ่งเดือนก่อนสมรภูมิเก้าดินแดนปิดฉากลง หลินสวินคิดจะถือโอกาสนี้ใช้เวลาอยู่กับจ้าวจิ่งเซวียนให้ดี
เมื่อคืนวานจ้าวจิ่งเซวียนพูดไว้ว่า ‘ข้ารู้ว่าในใจเจ้าไม่อาจวางซย่าจื้อลงได้ ข้าก็ไม่ขอให้เจ้าแต่งข้าอย่างออกหน้าออกตา และจะไม่โลภมากร้องขอสถานะด้วย ขอเพียงเจ้าไม่ผิดต่อข้าก็พอแล้ว’
ก็เพราะประโยคนี้ทำให้หลินสวินซาบซึ้งใจยิ่งนัก และออกจะละอายใจอยู่บ้าง
จ้าวจิ่งเซวียน ธิดาในจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิจื่อเย่า หญิงงามแห่งยุคชั้นหนึ่งในโลกา ภายในร่างมีสายโลหิตเจินหลงไหลเวียนอยู่ ความสามารถโดดเด่น รูปลักษณ์เหนือปวงชน ประหนึ่งนางเซียนมาเยือนโลก
หากเปลี่ยนเป็นผู้ฝึกปราณคนอื่น ได้มีโฉมงามผู้นี้เคียงข้างคงเป็นลาภอันยิ่งใหญ่
แต่ตอนนี้จ้าวจิ่งเซวียนกลับยอมอ่อนข้อให้ปานนี้ จะไม่ทำให้หลินสวินละอายใจได้อย่างไร
กระทั่งหลินสวินเองยังทอดถอนใจว่าตนเก่งกล้าสามารถอย่างไรถึงกับทำให้คนงามสนใจได้เช่นนี้
ถ้าไม่ใช้เวลาร่วมกับจ้าวจิ่งเซวียนให้ดี หลินสวินก็คงรู้สึกว่าตนเป็นคนบาปหนาคนหนึ่ง
……
ในช่วงเวลาต่อมาหลินสวินไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้น พาจ้าวจิ่งเซวียนออกจากเมืองอารักษ์มรรคไปด้วยกัน ขึ้นเขาลงห้วยไปทั่วสมรภูมิเก้าดินแดน
ลงเรือล่องทะเลสาบ ขึ้นสู่ยอดเขาชมเมฆ เหยียบคลื่นทะเลคราม เมาพับหลับกลางหมู่หิ่งห้อย ก้มลงดูน้ำตก…
เป็นอิสระไร้ข้อผูกมัด ไม่เป็นสุขหรอกหรือ
บางคราวนึกสนุกขึ้นมา หลินสวินก็จะเก็บน้ำค้างวิญญาณหญ้าเทพ ใช้หยาดฟ้าจากมวลเมฆามาต้มชา ร่วมดื่มกินกับจ้าวจิ่งเซวียนท่ามกลางหมู่ผกา
ชีวิตสุขสำราญชั่วคราว ครึ่งหนึ่งเพราะฝึกปราณอีกครึ่งหนึ่งเพราะมีเจ้า
สมรภูมิเก้าดินแดนอะไร ตามฆ่าศัตรูอะไร ฝึกมรรคแสวงวิชาอะไรต่างก็ถูกทั้งสองทิ้งไว้เบื้องหลัง
ความสุขในตอนนี้ไม่ควรค่าแก่การบอกกล่าวกับผู้คนภายนอก
……
เวลาผ่านไปดุจสายน้ำไหล ไม่ว่างเว้นทั้งทิวาราตรี
วันนี้ที่แม่น้ำน้ำแข็งขาวโพลนแห่งหนึ่ง
หลินสวินฟันผ่าใจกลางน้ำแข็งท่อนหนึ่งเพื่อเอาน้ำออกมา ใช้เตาดินเผาน้อยต้มชา จ้าวจิ่งเซวียนสองมือกอดเข่า นั่งอยู่อีกด้าน ยิ้มละไมมองดูหลินสวินกำลังกุลีกุจอ
เหนือเวิ้งฟ้าจู่ๆ ก็มีเสียงดังลั่นแปลกประหลาดประหนึ่งเสียงมหามรรคดังขึ้นระลอกหนึ่ง แล้วแผ่กระจายออกไปท่ามกลางฟ้าดิน
แทบจะในขณะเดียวกัน ป้ายคำสั่งรกร้างโบราณที่ประดับอยู่บนตัวหลินสวินกับจ้าวจิ่งเซวียนต่างส่งเสียงก้องสะท้อน สั่นระรัวฮูมๆ ขึ้นในขณะนี้
โดยมิได้นัดหมาย ทั้งสองคนหยุดทำเรื่องที่ทำอยู่ สบตากันครั้งหนึ่ง ต่างรับรู้ได้ว่าเวลาที่สมรภูมิเก้าดินแดนจะปิดฉากลงมาถึงแล้ว!
พอมองดูน้ำชาที่กำลังจะเดือดอยู่ในเตาดินเผาน้อย หลินสวินกลับถอนใจเบาๆ กาลเวลาผันผ่าน จะเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขเพียงใดก็แสนสั้นอยู่ดี
“เมื่อได้ลิ้มลองอาหารเลิศรสแล้วจะไม่เสียดายที่จากไปหรือ”
เนตรกระจ่างของจ้าวจิ่งเซวียนเจือรอยยิ้ม ความอ่อนโยนไหวเคลื่อนอยู่ภายใน
หลินสวินพยักหน้า
ช่วงเวลานี้ได้ท่องเที่ยวกับจ้าวจิ่งเซวียน มีอิสระเสรี ย่อมอาวรณ์เป็นธรรมดา
“ไปเถอะ ภายหน้ายังมีโอกาสอีกมาก”
จ้าวจิ่งเซวียนจูงมือหลินสวินเดินไปยังที่ไกลออกไป ได้ใช้เวลาร่วมกันและเล่นสนุกกันในช่วงหลายวันมานี้ นางก็พอใจมากแล้ว
นับประสาอะไรกับยามความรู้สึกของทั้งสองอยู่ยั้งยืนยง ไยต้องเว้าวอนให้อยู่ด้วยกันทั้งวันทั้งคืน
……
เมื่อกลับมาถึงเมืองอารักษ์มรรค หลินสวินก็งุนงงอย่างอดไม่ได้
เพราะไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่เบื้องหน้ากำแพงเมืองสีทองโอฬารสูงตระหง่านนั้น มีป้ายหินสูงหลายจั้งป้ายหนึ่งตั้งอยู่
บนป้ายหินสลักอักษรมหามรรคอ่อนช้อยไว้เป็นแถวๆ
‘สมรภูมิเก้าดินแดนครั้งที่สาม อริยะหลินสวินผู้นำบุคคลจากดินแดนรกร้างโบราณกุมพลังเหนือโลกาไม่อาจต้านทานได้ สร้างวีรกรรมสะเทือนสมรภูมิเก้าดินแดน…’
‘แรกเริ่ม อริยะหลินสวินบุกสังหารสามหมื่นลี้ คนผู้เดียวปิดล้อมทั้งเมือง พลานุภาพโอหัง ไร้ศัตรูใดต้านทาน… จากนั้นก็สร้างเมืองอารักษ์มรรคขึ้นอีกครั้ง ทำลายทัพพันธมิตรเจ็ดดินแดน มีชัยเหนือทะเลผาดำ…’
‘ตัวคนเดียวท่องไปในแปดดินแดน กระบี่เดียวประหารหมื่นพันผู้กล้า…’
บนนั้นอธิบายวีรกรรมแต่ละเรื่องที่หลินสวินทำไว้ในช่วงสามปีนี้โดยละเอียด ขณะตกอยู่ในภวังค์ สมองของหลินสวินก็หวนนึกถึงการกรำศึกในช่วงหลายปีนี้ตามไปด้วย
‘กล้าแกร่งนัก บุคคลผู้นี้เท่านั้นถึงขนานนามได้ว่าผู้นำ ผู้ปรีชาสามารถผู้นี้เท่านั้นถึงเรียกได้ว่าเป็นอริยบุคคล…’
‘จิตใจดั่งฟ้า ความกรุณาแผ่ไพศาลทั่วดินแดนรกร้างโบราณ วีรกรรมรุ่งโรจน์ อำนาจเหนืออดีตแลปัจจุบัน พลังไม่มีใครเทียบเทียม ผู้ใดจะต่อกรได้…’
‘พวกข้าสลักป้ายศิลาไว้ ณ ที่แห่งนี้ หวังให้อริยะหลินสวินชื่อเสียงขจรไกลชั่วกาล จารึกนามไว้ในประวัติศาสตร์ หมายมาดให้เป็นแบบอย่างแก่อนุชนคนรุ่นหลัง!’
จนกระทั่งอ่านป้ายหินนี้จบ หลินสวินก็รู้สึกหวั่นไหวขึ้นระลอกหนึ่งอย่างห้ามไม่อยู่ ไม่อาจสงบใจได้
เขาคิดไม่ถึงสักนิดว่าค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณจะถึงกับตั้งป้ายวีรกรรมเช่นนี้ให้ตน!
“เจ้าดูนั่น”
ข้างกัน จ้าวจิ่งเซวียนมองไกลออกไป
หลินสวินเงยหน้าขึ้น ก็เห็นว่าเหนือกำแพงเมือง เงาร่างนับไม่ถ้วนรวมตัวกันแน่นขนัด แต่ละคนต่างมองมาทางตนด้วยสีหน้าเจือรอยยิ้ม
“พี่หลิน ‘ศิลามรรควีรกรรม’ ก็คือน้ำใจของทุกคน ตัวอักษรแต่ละตัวล้วนสลักขึ้นด้วยการเขียนของสหายยุทธ์คนละคน มีเพียงทำเช่นนี้ถึงแสดงความเคารพนับถือจากพวกเราออกมาได้”
เซ่าเฮ่าเอ่ยปากเสียงกังวาน
คนอื่นก็พากันพยักหน้า
หลินสวินถูจมูกอย่างอดไม่ได้ ยิ้มเจื่อนพูดว่า “ข้ายังปฏิเสธได้ไหม”
“ไม่ได้!”
ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกัน ทันใดนั้นต่างหัวเราะร่าอย่างอดไม่ได้ เสียงดังสะเทือนเมฆา
วันนี้ สมรภูมิเก้าดินแดนก้าวเข้าสู่ช่วงปิดฉากแล้ว ผู้ฝึกปราณในเมืองซึ่งมาจากพื้นที่ต่างๆ ในดินแดนรกร้างโบราณก็จะจากไปในวันนี้
ทว่าการจากกันคราวนี้ไม่รู้ว่าเมื่อไรถึงจะได้พบกันอีก ดังนั้นจึงรวมตัวกันที่กำแพงเมืองโดยไม่ได้นัดหมายกันหมด
เพียงเพื่ออำลาหลินสวินด้วยกัน!
“ขอบคุณมาก ทุกท่าน”
หลินสวินสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง กุมมือคารวะ แล้วเอ่ยปากเสียงก้องฟ้าดิน
……
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์