เรื่องที่ผู้แข็งแกร่งดูถูกผู้อ่อนแอ ดำรงอยู่ทั่วทุกหนแห่งในใต้หล้า นับแต่โบราณมาล้วนเป็นเช่นนี้
โดยเฉพาะพวกชนชั้นสูงหรือพื้นฐานครอบครัวไม่ธรรมดาบางส่วน ยามเผชิญหน้ากับคนที่สู้ตนเองไม่ได้จะมีความหยิ่งทระนงในศักดิ์ศรีตามธรรมชาติ
ก็เหมือนเวลานี้ ยามเซวียหย่งเผชิญหน้ากับเด็กหนุ่มรองเท้าฟางก็ดูกำเริบเสิบสาน คำพูดไม่ถึงขั้นอำมหิตมากเท่าไร แต่สิ่งที่มีอยู่เต็มเปี่ยมคือรสชาติของความหยามเหยียดดูถูก
เด็กหนุ่มรองเท้าฟางรู้สึกโกรธแต่ไม่กล้าโกรธ ความอึดอัดภายในใจแค่คิดก็รู้แล้ว
เหมือนประโยคนั้นที่พูดต่อกันมา ผู้อ่อนแอถ้าอยากอยู่รอดบนหนทางแห่งมหามรรค นอกจากอดกลั้นแล้วก็ไม่มีวิธีอื่น!
เด็กสาวชุดสีพื้นกลับทนไม่ไหว ยิ้มหยันกล่าว “เห็นเจ้าโอหังเช่นนี้ หรือเจ้าคิดว่าตัวเองจะกราบอาจารย์สำเร็จอย่างแน่นอนรึ”
เซวียหย่งชะงักไป แต่ไม่โกรธ ยิ้มกล่าว “ต่อให้ข้าผู้แซ่เซวียไม่เอาไหน ก็แข็งแกร่งกว่าเจ้าอ่อนหัดนี่ไม่ใช่แค่ร้อยพันเท่า หากผู้อาวุโสหลินสวินอยากรับศิษย์ โอกาสของข้าผู้แซ่เซวียก็ถูกลิขิตให้มีมากกว่าเจ้าอ่อนหัดนี่นับร้อยพันเท่า”
เด็กสาวชุดสีพื้นส่งเสียงฮึเย็นชา
แม้ว่านางจะฝึกปราณสำเร็จ แต่ก็พูดต่อปากต่อคำไม่เก่ง อยากจะพูดย้อนถากถาง แต่สุดท้ายก็เกินกำลังไปอยู่บ้าง ชั่วขณะหนึ่งจึงโมโหเป็นอย่างยิ่ง
เซวียหย่งนัยน์ตาเป็นประกาย เด็กสาวผมม่วงตรงหน้านี้เป็นยอดหญิงงามอย่างไม่ต้องสงสัย งามพริ้งเพราไร้เดียงสา แม้จะโกรธก็ยังมีเสน่ห์
เพียงพริบตาเขาก็ใจสั่น เกิดความมุ่งหวังปรารถนาอย่างห้ามไม่อยู่ ลอบตัดสินใจแล้วว่าจะหาโอกาสชิงตัวแม่สาวงามตัวน้อยที่มีเสน่ห์แต่กำเนิดคนนี้มาให้ได้!
‘ซูไป๋ ไม่จำเป็นต้องใส่ใจคนผู้นี้ คนแบบนี้ต่อให้พรสวรรค์สูงส่งแค่ไหน ภายหน้าก็ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร’
เด็กสาวชุดสีพื้นสื่อจิตปลอบใจเด็กหนุ่มรองเท้าฟาง
‘พี่เสี่ยวฉง ข้าเข้าใจแล้ว’ เด็กหนุ่มรองเท้าฟางเผยรอยยิ้มให้เห็น
เพียงแต่รอยยิ้มนั้นเมื่ออยู่ในสายตาของเด็กสาวชุดสีพื้น กลับทำให้นางเริ่มคัดจมูก
ว่าไปแล้วนางก็แค่เดินทางผ่านหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่ถูกฝูงสัตว์อสูรบุกจู่โจมเท่านั้น จึงบังเอิญได้เจอเด็กหนุ่มรองเท้าฟางที่กำลังต่อสู้อยู่กับสัตว์ปีศาจอย่างห้าวหาญ
เขาที่อ่อนแอเช่นนี้ แต่ยามนั้นกลับกล้าหาญ
ดังนั้นนางจึงช่วยเด็กหนุ่มรองเท้าฟางไว้
หลังจากพูดคุยกันเล็กน้อยก็รู้สาเหตุที่เด็กหนุ่มสู้สุดชีวิต เป็นเพราะบิดามารดาล้วนสิ้นชีพในปากของอสูรปีศาจ ในฐานะที่เป็นบุตร แน่นอนว่าต้องแก้แค้น จะมาสนความเป็นตายได้ที่ไหน
ตั้งแต่นั้นมาเด็กสาวชุดสีพื้นก็เกิดความเห็นใจและชื่นชม ตัดสินใจช่วยเด็กหนุ่มที่ชื่อว่าซูไป๋คนนี้ไว้ทันที
ด้วยนางต้องการมาพบหลินสวิน จึงถือโอกาสพาเด็กหนุ่มรองเท้าฟางมาด้วย ในใจก็หวังว่าหากเด็กหนุ่มรองเท้าฟางถูกหลินสวินหมายตาได้ นั่นย่อมเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
ต่อให้ไม่ถูกใจก็ช่างเถอะ ขอแค่มีนางอยู่ แน่นอนว่าต้องช่วยเด็กหนุ่มรองเท้าฟางให้ตั้งตัวบนมรรคาไปทีละก้าวได้
เมื่อใคร่ครวญขึ้นมาจริงๆ ทุกอย่างนี้อาจเป็นเพราะความเห็นใจ แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือ เด็กหนุ่มรองเท้าฟางมีนิสัยใจคอที่ไม่เหมือนใคร ทำให้นางยอมรับในตัวเขายิ่งนัก
นั่นก็คือความหนักแน่น ไร้เดียงสา และเรียบง่าย
ผู้ฝึกปราณบนโลกมีความคิดที่จะวิ่งเต้นทำทุกอย่างเพื่อลาภยศโดยไม่ละอายมากเกินไป คนที่มีจิตใจบริสุทธิ์อย่างเด็กหนุ่มรองเท้าฟางมีน้อยมากจริงๆ
ของหายากย่อมมีราคาแพง คนเราก็เช่นกัน
เด็กสาวชุดสีพื้นรู้สึกว่าตนเจอเพชรเม็ดงาม แน่นอนว่าต้องทุ่มเทดูแลเป็นอย่างดี
ไม่ว่าคนอื่นจะมองเด็กหนุ่มรองเท้าฟางเป็นอย่างไร นางก็ไม่สนใจ
ตามเวลาที่ล่วงเลย เซวียหย่งก็ไม่สนใจจะเหน็บแนมเย้ยหยันเจ้าอ่อนหัดแล้ว มีเพียงสายตาที่เหลือบมองเด็กสาวชุดสีพื้นเป็นพักๆ
ผู้ฝึกปราณคนอื่นที่อยู่ใกล้ก็เหมือนกัน
สำหรับพวกเขาหากไปเจอเด็กหนุ่มรองเท้าฟางคนนี้ที่อื่นตามปกติ พวกเขาคงไม่แม้แต่จะสนใจ มองข้ามไปทั้งอย่างนั้นแล้ว
เวลานี้ที่ยังเหลือบมองเด็กหนุ่มรองเท้าฟางอยู่เป็นระยะ ก็ด้วยมีเด็กสาวชุดสีพื้นเป็นเหตุเท่านั้น
“พี่เสี่ยวฉง พวกเราจะรออยู่ที่นี่ไปตลอดหรือ”
เด็กหนุ่มรองเท้าฟางถาม
เขามองทะเลหมากดาราที่หมอกควันอบอวลอยู่ห่างออกไป รู้สึกว่าแค่ก้าวเข้าไปในนั้นจะต้องหลงทางทันทีแน่
“ไม่ต้องรีบร้อน ข้าคิดหาวิธีก่อน”
เด็กสาวชุดสีพื้นกล่าวเสียงเบา ในใจนางก็ค่อนข้างว้าวุ่นใจอยู่บ้าง
จากกันครั้งก่อน นางไม่ได้เจอหลินสวินมาหลายปีแล้ว ก็ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาที่มีชื่อเสียงขจรขจายไปทั่วจะยังจำเด็กโง่อย่างตนได้หรือไม่
คิดดูแล้วตนในปีนั้นก็โง่พอตัวจริงๆ ไม่รู้ประสีประสาเหมือนเด็กไร้หัวคิด หากไม่ใช่ว่ามีเขาพาตัวไปส่งและดูแลมาตลอดทาง เกรงว่าคงตายไปนานแล้ว
เมื่อออกด่านครั้งนี้ ได้ยินว่าหลินสวินเก็บตัวฝึกปราณอยู่ในทะเลหมากดารา นางก็รู้สึกขัดแย้งอย่างบอกไม่ถูก ต้องการมาพบอีกฝ่ายทันที
แต่หลังจากมาถึงที่นี่เข้าจริงๆ กลับกลายเป็นว่านางลังเล
หลินสวินในปีนั้นยังเป็นแค่ผู้ฝึกปราณเล็กๆ ระดับมหาสมุทรวิญญาณ ส่วนนางก็เป็นแค่เด็กที่ไม่เข้าใจเรื่องทางโลกคนหนึ่ง
แต่ตอนนี้หลินสวินเป็นบุคคลในตำนานที่ชื่อเสียงสะเทือนใต้หล้า ประหนึ่งตะวันกลางนภาแล้ว เป็นมกุฎมหาอริยะคนหนึ่งที่ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนเลื่อมใสศรัทธา
เขาจะยังจำนางได้หรือไม่
หากเจอตัวเองที่บุ่มบ่ามมาเข้าพบ เขาจะยังลูบหัวของตนเหมือนปีนั้นอยู่หรือไม่
ในจุดที่ห่างออกไปพลันมีกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์มาเยือน ในอากาศโชยกลิ่นหอมเย็นสบายที่พาให้คนชื่นใจ
ทุกคนในที่นั้นต่างชะงัก เหลือบสายตามองออกไป
ก็เห็นว่ากลางอากาศมีละอองแสงเจิดจรัสสายหนึ่งลอยละล่อง กลายเป็นเด็กสาวชุดเหลืองร่างงามระหงคนหนึ่งทันที
นางคิ้วตาโค้ง คางแหลมเหมือนกระบี่ นัยน์ตากระจ่างแวววาว รูปโฉมงดงามราวกับเซียน ชุดกระโปรงพลิ้วไหว ขับเน้นให้เรือนร่างเย้ายวนอ่อนหวานของนางงามถึงขีดสุด
ทุกคนต่างหยุดหายใจ เผยความเคลิบเคลิ้มและหลงใหล
งดงามยิ่งนัก!
ผู้หญิงคนนี้มีความงามเฉพาะตัว บุคลิกสันโดษยากจับต้อง ดุจดั่งเซียนสาวผู้สำรวมตน
แต่เรือนร่างของนางกลับเพรียวบาง เอวบางร่างน้อย คิ้วตาโค้ง เผยเสน่ห์เย้ายวนอย่างบอกไม่ถูกออกมาโดยปริยาย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์