โลกใหญ่จินเทียนมีเมืองจักรพรรดิขาวที่ชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วหล้า ถูกจัดเป็นหนึ่งใน ‘หกเมืองโบราณใหญ่ทางเดินโบราณฟ้าดารา’
เมืองจักรพรรดิขาวสร้างอยู่บนชั้นเมฆ ตัวเมืองสร้างขึ้นจาก ‘หินหิมะวิญญาณน้ำแข็ง’ ที่มีเพียงในสมัยดึกดำบรรพ์ หินหิมะนี้สว่างกระจ่างเรียบเนียน ไอหมอกคละคลุ้ง สามารถปรากฏทิวทัศน์มหัศจรรย์อย่างเมฆน้ำแข็งโคจร หิมะหนาโปรยปปราย
เมืองนี้ตั้งอยู่บนชั้นเมฆกลางฟ้า อาบอยู่ภายใต้แสงอรุณดารา ผ่านการเปลี่ยนผ่านของกาลเวลาจนมาถึงตอนนี้ เก่าแก่และสง่างาม
ในสายตาคนทั่วไปในโลกใหญ่จินเทียน เมืองจักรพรรดิขาวสามารถเรียกว่า ‘เมืองเซียน’ แห่งหนึ่งโดยสมบูรณ์ เป็นสถานที่ที่ในตำนานเล่ากันว่ามีแต่เทพเซียนจึงจะสามารถมาเยือนได้
และในสายตาของผู้ฝึกปราณ เมืองจักรพรรดิขาวราวกับสถานที่พบอริยะ เป็นเมืองแห่งการฝึกปราณที่เจริญรุ่งเรือง มั่งคั่งที่สุดแห่งหนึ่งในโลก
รวบรวมของล้ำค่าทั่วทิศ เก็บรวมสมบัติทั่วสี่สมุทร!
หลินสวินและหลิ่วชิงเยียนตัดสินใจจะไปดูเมืองนี้สักหน่อย ชื่นชมเมืองโบราณที่ชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วนี้
ใครจะคิดว่าเพิ่งเปิดประตูเรือนออก ก็เห็นผู้แข็งแกร่งหอเสียงสวรรค์กลุ่มหนึ่งปิดล้อมอยู่ตรงนั้นแล้ว
ผู้นำคือผู้อาวุโสระดับมกุฎราชันอริยะที่นามว่าอวี๋จวิ้น ที่เหลือคือราชันอริยะสามคนและศิษย์ระดับมกุฎมหาอริยะกลุ่มหนึ่ง
ในนั้นก็มีจั่นปิ่งที่เคยบอกว่าหลินสวินขี้ขลาด ตอนนั้นเคยมาท้าทายถึงที่ ไม่คิดว่าหลินสวินกลับไม่ตกหลุมพราง ไม่ได้สนใจเขา
“ศิษย์น้องชิงเยียน พวกเราได้รับคำสั่งว่าไม่อนุญาตให้เจ้าไปโลกใหญ่จินเทียนเป็นการส่วนตัว ในสามวันนี้ให้เจ้าอยู่ในเรือนเท่านั้น”
คนพูดคือจั่นปิ่ง เขาแสร้งยิ้ม มองข้ามหลินสวินโดยตรง
“แค่ข้าออกไปข้างนอกก็ไม่อนุญาตหรือ… นี่เป็นคำสั่งของใคร”
คิ้วงามของหลิ่วชิงเยียนขมวดมุ่น ดวงหน้างดงามเผยความกรุ่นโกรธ
“ถามเยอะแยะขนาดนี้ไปทำไม เจ้ารู้ไว้เพียงว่าเพราะเจ้า ทำให้อาจารย์ลุงอวี๋จวิ้นและทุกคนต้องมาเฝ้าอยู่ที่นี่ จับตามองความเคลื่อนไหวของเจ้าคนเดียว เจ้าคิดว่าพวกเราไม่อยากไปโลกใหญ่จินเทียนหรือ”
จั่นปิ่งพูดอย่างเหลืออด
หลิ่วชิงเยียนกวาดสายตามองพวกอวี๋จวิ้น เห็นพวกเขาสีหน้าเย็นชา ในใจก็อดหนาวสะท้านไม่ได้ นี่ก็คือผู้อาวุโสร่วมสำนักของนางหรือ!
“อ้อ ยังมีสวะอย่างเจ้าด้วย รู้ความหน่อยจะดีที่สุด อยู่กับศิษย์น้องชิงเยียนในเรือนพักดีๆ ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าหอเสียงสวรรค์ของพวกเราไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าก่อนกับตระกูลอวี่”
สายตาจั่นปิ่งเหลือบมองหลินสวินอย่างดูถูกแวบหนึ่งพร้อมกล่าวเตือน
เพี๊ยะ!
หลินสวินลงมือกะทันหัน ฝ่ามือหนึ่งสะบัดใส่หน้าจั่นปิ่ง ตบจนอีกฝ่ายเซถอยล้มดังพลั่กลงพื้น เขาส่งเสียงร้องอนาถ จมูกปากหลั่งเลือด ทั้งใบหน้าบวมแดงขึ้นมา
ทุกคนต่างผิดคาด คิดไม่ถึงว่าหลินสวินที่ถูกพวกเขามองว่าเป็นคนไม่มีความสำคัญดันกล้าลงมือ!
โดยเฉพาะอวี๋จวิ้น สีหน้ามืดทะมนลง ราชันอริยะคนหนึ่งรังแกผู้สืบทอดสำนักตนต่อหน้าตน นี่เป็นการท้าทายอย่างที่สุด
หลิ่วชิงเยียนเบิกตาโพลง ประหลาดใจไม่น้อย
ในความทรงจำของนาง ผู้อาวุโสอวี่เสวียนคนนี้อดทนอดกลั้นและเก็บตัวมาโดยตลอด เหตุใดจู่ๆ จึงอาละวาดขึ้นมา
และตอนนี้เอง หลินสวินเอ่ยพูดอย่างเย็นเยียบ “สวะหรือ คนของเผ่าจักรพรรดิตระกูลอวี่ของข้า ใช่ผู้ที่คนรุ่นหลังอย่างเจ้าจะดูหมิ่นตามอำเภอใจได้หรือ พวกเจ้าแน่จริงก็ฆ่าข้าสิ ข้าจะดูสิว่าหอเสียงสวรรค์ของพวกเจ้าจะอธิบายกับตระกูลอวี่ของข้าอย่างไร”
ประโยคเดียวทำเอาอวี๋จวิ้นที่เดิมทีหมายจะจับกุมหลินสวินชะงักไป สีหน้าแปรเปลี่ยนไม่หยุด
หากแตกหักกันจริงๆ อวี๋จวิ้นก็ไม่กลัว
สิ่งเดียวที่เขาเป็นห่วงคือ หลายวันก่อนผู้อาวุโสชั้นสูงเหลียงชวนเพิ่งพูดว่า ไม่อนุญาตให้มีการต่อสู้ภายใน
หากลงมือกับอวี่เสวียน เหลียงชวนจะต้องคิดว่า การที่พวกเขาจงใจเล่นงานหลิ่วชิงเยียนก็เป็นการต่อสู้กันภายใน!
“เจ้าถึงกับกล้าตีข้าหรือ”
จั่นปิ่งลุกขึ้น ใบหน้าเดือดดาลและยากจะเชื่อเต็มประดา
เพี๊ยะ!
หลินสวินสะบัดไปอีกฝ่ามือ ตบบ้องหูดังลั่น จั่นปิ่งส่งเสียงร้องอนาถ ล้มลงพื้นและหมดสติไปทั้งอย่างนั้น
จั่นปิ่งคนนี้เป็นมกุฎมหาอริยะคนหนึ่ง กลับถูกตบจนหมดสติไป แค่คิดก็รู้ว่าเรี่ยวแรงที่มือของหลินสวินหนักหน่วงเพียงใด
“เจ้ารนหาที่ตาย!”
อวี๋จวิ้นเดือดดาลอย่างสิ้นเชิงแล้ว แม้จะตบหน้าจั่นปิ่ง แต่กลับทำให้เขาเองยังรู้สึกเสียหน้า ราวกับถูกท้าทายต่อหน้า
ทว่าตอนที่เขากำลังจะลงมือ พลันสังเกตเห็นว่าไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ผู้อาวุโสชั้นสูงเหลียงชวนปรากฏตัวอยู่ไม่ไกล ใบหน้าที่ราวกับเด็กหนุ่มแฝงความเย็นเยียบและรังเกียจ
“ที่ข้าพูดไม่นับหรือ”
เหลียงชวนพูดอย่างราบเรียบ
ร่างของอวี๋จวิ้นแข็งทื่อ เอ่ยอธิบายว่า “อาจารย์ลุง ท่านน่าจะเห็นแล้ว อวี่เสวียนนี่ลงมือทำร้ายกัน ข้าจะนิ่งดูดายได้อย่างไร”
“ข้าถามว่า ที่ข้าพูดไม่นับหรือ”
ความรังเกียจตรงหว่างคิ้วของเหลียงชวนยิ่งเข้มลึก เขาลุ่มหลงในการฝึกปราณ สิ่งที่เกลียดที่สุดก็คือการจัดการเรื่องไร้สาระเช่นนี้
อวี๋จวิ้นหน้าเปลี่ยนสีไป ครู่ใหญ่จึงก้มหน้าพูดว่า “ที่อาจารย์ลุงสั่งสอนถูกต้องแล้ว”
“หึ! หากมีครั้งหน้า อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ”
เหลียงชวนหมุนตัวจากไป
ตั้งแต่ต้นจนจบไม่ได้สนใจหลิ่วชิงเยียนและหลินสวินเลย
นี่ก็เป็นการพิสูจน์ว่า การมาของเขาครั้งนี้ เพียงแค่ปกป้องคำสั่งและความตั้งใจของตนเท่านั้น ไม่ใช่เพราะต้องการทวงความเป็นธรรมให้กับทั้งสอง
หลินสวินมองอยู่เงียบๆ โดยตลอด เก็บท่าทีของเหลียงชวนไว้ในสายตา
“ช่างเถอะ”
อวี๋จวิ้นสูดหายใจลึกคราหนึ่งแล้วถอนหายใจยาว “ที่อาจารย์ลุงเหลียงชวนสั่งสอนเมื่อครู่นี้ถูกต้องแล้ว ชิงเยียน หากเจ้ากับอวี่เสวียนอยากไปโลกใหญ่จินเทียน ย่อมสามารถไปได้ พวกเราจะไม่ขวางอีก”
พูดจบเขาก็พาทุกคนและจั่นปิ่งที่หมดสติอยู่จากไป
“สำหรับเจ้า ยานลมกรดนี่เท่ากับกรงขังแห่ง ตอนนี้เป็นโอกาสจะกางปีกโบยบิน จะจากไปหรือไม่”
สายตาของหลินสวินมองไปยังหลิ่วชิงเยียน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์