แต่ผู้หญิงคนนั้นย่อมมองตัวตนของเขาไม่ออกแน่นอน
เพราะศัตรูคงไม่โง่ถึงขั้นลงมือในลานแสดงมรรคที่มีผู้คนนับไม่ถ้วนจับตามองหลังจากมองตัวตนเขาออก
จนตอนนี้ หลินสวินชนะมาสามครั้งติดแล้ว
การแสดงความสามารถเช่นนี้ยังดูด้อยกว่าอยู่บ้าง บนสังเวียนอื่นอีกสิบเจ็ดสังเวียน พวกฉู่ชิว กู่เจี้ยนสิง อย่างน้อยก็ชนะติดต่อกันห้าครั้ง อย่างมากก็ชนะติดต่อกันเจ็ดครั้งแล้ว!
และยังมีผู้แข็งแกร่งที่ออกโรงครั้งแรกบางคนถูกผู้ท้าสู้เอาชนะ
โดยสรุปแล้ว ผู้ที่โดดเด่นเป็นอย่างยิ่งในขณะนี้คือเหล่าคนโดดเด่นแห่งยุคอย่างฉู่ชิว กู่เจี้ยนสิง ผลการต่อสู้ของหลินสวินยังไม่ถือว่าเตะตานักเหมือนเดิม
หลินสวินคร้านจะถือสาเรื่องนี้
สำหรับเขาแล้ว การได้รับชัยชนะไม่มีความหมายอะไรจริงๆ เขาเพียงอยากศึกษาให้ได้มากที่สุด สัมผัสพลังเขตแดนมรรคของอีกฝ่ายเสียหน่อย
แค่นี้เท่านั้น
ยกที่สี่ คู่ต่อสู้ของหลินสวินเป็นผู้ฝึกดาบที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างยิ่งคนหนึ่ง นามว่าเกาหลิงเทียน มาจากตระกูลขุมอำนาจที่ถือว่าอยู่ระดับกลางในแคว้นเมฆาเท่านั้น พลังปราณมกุฎราชันอริยะขั้นปลาย รูปลักษณ์หยาบกระด้าง เครื่องหน้าคมสัน
ชื่อเสียงของเกาหลิงเทียนดังกึกก้องถึงที่สุด ในหมู่คนรุ่นเยาว์มีฉายา ‘ราชันอริยะดาบมาร’ เขตแดนมรรค ‘นรกดาบครวญ’ ที่เขาควบรวม ได้รับคำชื่นชมไม่ขาดปากจากเฒ่าดึกดำบรรพ์บางส่วน
“เจ้าหมอนี่เจอเรื่องยุ่งยากแล้ว”
บนตำแหน่งผู้คุมการทดสอบ พอสังเกตเห็นภาพนี้เถาซงถิงก็เอ่ยปากอย่างอดไม่ได้
“จำนวนครั้งแพ้ชนะ สู้แล้วจึงจะรู้ ข้าสังเกตได้ว่าจินตู๋อีผู้นี้ยังรักษาชัยชนะไว้ได้ในการต่อสู้สามยกก่อน”
อวี๋ฮูหยินที่แต่งกายชุดเขียวพูดอย่างสนอกสนใจ
หงอวี่อ้าปากจะพูด แต่สุดท้ายก็ยั้งไว้อยู่ดี เขารู้ว่าเรื่องที่พนันกันเมื่อครู่ทำให้เถาซงถิงไม่พอใจนัก
ตอนนี้จึงไม่คิดจะไปกระตุ้นอีกฝ่ายแล้ว
เพราะการปรากฏตัวของเกาหลิงเทียน ศึกนี้จึงดึงดูดสายตาในที่นั้นหลายคู่ ส่งผลให้หลินสวินก็ถูกจับตามองไปด้วย
นี่ก็เป็นอิทธิพลของราชันอริยะดาบมาร
เพียงแต่สิ่งที่เป็นหัวข้อให้ถกกันมากที่สุดก็คือ สุดท้าย ‘จินตู๋อี’ ที่เป็นหลินสวินปลอมตัวมาจะทนรับกระบวนท่าดาบของเกาหลิงเทียนได้สักเท่าไร
แทบจะมีน้อยมากที่คิดว่าหลินสวินจะชนะ
ยามได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์เหล่านี้ เถาซงถิงก็ยิ้มแต่ไม่พูด คิดว่าสายตาของผู้ชมยังมีพอจะแววอยู่บ้าง
หงอวี่หัวเราะในใจ ลอบเอ่ยว่ารอผลลัพธ์ออกมา อยากเห็นจริงๆ ว่าพวกเขาจะหน้าชาไหม
ชิ้ง!
คมกระบี่ขาวเปล่งประกายบาดตาอุบัติขึ้นบนสังเวียน ดาบศึกขาวโพลนทั้งเล่ม มีกระแสเย็นเยียบพร่าเลือนแผ่กระจายเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นในมือเกาหลิงเทียน
สัญลักษณ์ลึกลับที่สลักอยู่บนตัวกระบี่ เผยปรากฏการณ์ประหลาดตะลึงโลกอย่างมังกรเพลิงกลืนอากาศอยู่รางๆ
พอดาบอยู่ในมือ กลิ่นอายของเกาหลิงเทียนก็เปลี่ยนไป ราวกับแปลงกายเป็นกายดาบ ตั้งตระหง่านกลางฟ้าดิน คมประกายไร้เทียมทาน!
พลานุภาพอันดุดันนั้นทำให้จิตวิญญาณของผู้แข็งแกร่ง ณ ที่นั้นมากมายเจ็บแปลบ ตกตะลึงไม่ว่างเว้น
แต่หลินสวินยังสีหน้าราบเรียบจนไร้คลื่นอารมณ์ดังเดิม
“สุดคลั่ง!”
เกาหลิงเทียนไม่พูดพร่ำทำเพลง แกว่งดาบโจมตี
สวบ!
ดาบเดียวฟันออกไป ตัวเขาประหนึ่งคลุ้มคลั่ง ปราณดาบที่ปลดปล่อยออกมาก็เผยความกำเริบเสิบสานบ้าคลั่งออกมา เพิกเฉยต่อฟ้าดิน ท่วงท่าอหังการหมายทำลายสิ้นพันธนาการทั้งปวง
ห้วงอากาศฉีกขาดเหมือนผืนผ้า เสียงระเบิดซัดสาดแผ่กระจาย
ในพริบตานี้ปราณดาบนั้นทำให้ผู้ชมการต่อสู้ไม่รู้เท่าไรตื่นตาตื่นใจ
เงาร่างหลินสวินไม่เคลื่อนไหว กลับมีปราณกระบี่สายหนึ่งพุ่งออกมา เร้นล้ำลึกลับ ปรวนแปรไม่แน่นอน ประหนึ่งเครื่องตกแต่งตามธรรมชาติ ไม่เจือกลิ่นอายโลกีย์
ปัง!
ปราณดาบและปราณกระบี่นั้นปะทะกัน ระเบิดกระจุยทุกกระเบียดในห้วงอากาศ
“สุดระห่ำ!”
ท่าทางของเกาหลิงเทียนแปรเปลี่ยนจากคลั่งเป็นบ้าระห่ำโดยไม่ลังเล ฟันดาบออกไปอีกครั้ง อาละวาดแผลงฤทธิ์ ราวลมฟ้าฝนทะเลคำราม ม้วนตลบจักรวาล
ความหมายของคลุ้มคลั่งบ้าระห่ำระบายออกมาด้วยอานุภาพของดาบเดียวจนหมดสิ้น
แววประหลาดใจฉายในดวงตาหลินสวิน มรรคดาบเช่นนี้ถึงกับใช้เจ็ดอารมณ์หกปรารถนาเป็นรากฐาน อนุมานปรากฏการณ์ประหลาดสะท้านโลกออกมา
คลุ้มคลั่ง ก็คลั่งถึงที่สุด
บ้าระห่ำ ก็บ้าจนไร้สิ้นสุด!
หลินสวินไม่ลังเล แกว่งหมัดโจมตี เกาหลิงเทียนผู้นี้ยังไม่อาจสร้างภัยคุกคามให้เขาได้ ที่เขาสนใจก็คือพลังมรรคดาบที่เกาหลิงเทียนปลดปล่อยออกมา
ตูม ครืน…
ฟ้ามืดดินหม่น ประกายเทพอบอวล
เกาหลิงเทียนกับหลินสวินเข้าสู้กัน ทั้งสองคนคนหนึ่งใช้ปราณดาบพาดขวาง โจมตีคลุ้มคลั่ง เหิมเกริมอหังการ พาให้ผู้ชมการต่อสู้ต่างสติกระเจิงมึนงง
ส่วนอีกด้านหนึ่งราวเมฆเคลื่อนบนขอบฟ้า สุขุมเยือกเย็น ระหว่างที่ปราณกระบี่ไหลเวียนก็เผยกลิ่นอายละโลกีย์
ชั่วขณะเดียวจึงดึงดูดสายตาไม่รู้เท่าไร
แม้แต่เหล่าคนที่ร่วมต่อสู้ในเขตต่อสู้เหล่านั้นยังพากันมองมา
“จินตู๋อีคนนั้นก็ยอดเยี่ยมจริง ถึงกับสู้กับเกาหลิงเทียนได้ น่าประหลาดใจจริงๆ”
“ในแง่พลังปราณจินตู๋อีด้อยกว่าเล็กน้อย ถ้าพูดกันโดยเคร่งครัด เกาหลิงเทียนสู้ไม่ได้นิดๆ แล้ว”
“นี่ก็ไม่เสมอไป เกาหลิงเทียนเพิ่งออกไปสู้ เห็นได้ชัดว่าออมพลังอยู่”
…เสียงวิพากษ์วิจารณ์ไม่ขาดสาย
ความสามารถที่หลินสวินเผยออกมาก็เข้าไปอยู่ในสายตาของคนส่วนมากตามไปด้วย คนไม่น้อยจึงรับรู้ได้ในตอนนี้ ว่าผู้ฝึกปราณอิสระจินตู๋อีที่ไม่มีชื่อเสียงคนนี้ ถึงกับเป็นพวกน้ำนิ่งไหลลึก
นี่ย่อมดึงดูดความสนใจของผู้คน
แต่ความสามารถที่เกาหลิงเทียนสำแดงออกมายังถูกถือหางอย่างเป็นเอกฉันท์ โดยเฉพาะหญิงสาววัยงามบางคน ยิ่งหวีดร้องให้กำลังใจ ‘ราชันอริยะดาบมาร’ ผู้นี้อย่างตื่นเต้น
“สุดหลง!”
บนสังเวียน ท่วงท่าเกาหลิงเทียนเปลี่ยนไปอีกครั้ง ยิ่งแกร่งกล้ายิ่งขึ้น ในความคลุ้มคลั่งเจือความลุ่มหลงถึงที่สุด
ลุ่มหลงในดาบ ลุ่มหลงในมรรค!
ดังนั้น เพราะลุ่มหลงจึงคลุ้มคลั่ง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์