จะประเมินสูงอย่างไรก็ไม่เกินจริง…
เซี่ยอวี่ฮวานัยน์ตาหดรัด เอ่ยขึ้นว่า “กล่าวเช่นนี้ ข้าชักอยากเห็นความสามารถของจินตู๋อีผู้นี้สักหน่อยเหมือนกัน…”
……
“เฮอะ เฮ่อเหลียนฉีนี่คิดจริงๆ หรือว่าเป็นอันดับหนึ่งในรอบแรกแล้วจะสามารถจองหองได้ ตอนนี้ดีนัก ถูกคนกำราบด้วยมือเดียว”
สำนักยุทธ์ว่างเปล่า บนยอดเขาอีกลูกหนึ่ง เด็กชายชุดเขียวคนหนึ่งเอ่ยปากหัวเราะร่วน
ท่าทางของเขาเหมือนเด็กน้อยเยาว์วัยอย่างที่สุด แต่บนหลังกลับสะพายกระบี่ยักษ์เล่มหนึ่ง นัยน์ตาวาบประกายเย็นชาที่ชวนสยองเป็นครั้งคราว
หวังถู!
ศิษย์แกนหลักอันดับหนึ่งรุ่นปัจจุบันของสำนักกระบี่จรดฟ้า อัจฉริยะสะท้านโลกที่ฝึก ‘คัมภีร์ร้อยสวรรค์เกิดใหม่’หน้าตาเหมือนเด็กน้อย อันที่จริงเป็นราชันอริยะมรรคกระบี่ที่พลังต่อสู้เหี้ยมเกรียมถึงขีดสุดคนหนึ่ง
ด้านข้าง ผู้สืบทอดแกนหลักบางส่วนของสำนักกระบี่จรดฟ้าล้วนยืนอยู่ข้างๆ สีหน้าเจือแววเคารพยำเกรง
หวังถูหัวเราะชอบใจพลางพลิกอ่านข่าวที่เพิ่งได้รับมา กล่าวว่า “จินตู๋อีนี่ช่างน่าสนใจนัก สามารถคว้าชัยเก้าสิบเก้าครั้งรวดในการขับเคี่ยวกับคนรุ่นเดียวกัน… เขาคงต้องว้าเหว่ยิ่งกระมัง”
ผู้สืบทอดแกนหลักสำนักกระบี่จรดฟ้าเหล่านั้นต่างมองหน้ากันไปมา
“อื้อ หากได้พบข้า รับรองว่าเขาจะไม่เหงาอีก”
มือเล็กขาวเยาว์วัยของหวังถูลูบไล้ปลายคาง หัวเราะอย่างบริสุทธิ์ไร้เดียงสา
เพียงแต่กระบี่ยักษ์บนหลังเขาเล่มนั้นกลับย้ำเตือนผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา ว่าเจ้าคนที่ดูเหมือนเด็กน้อยคนนี้หาได้เรียบง่ายเช่นนั้น
……
“ผู้ฝึกปราณอิสระคนหนึ่งกลับมีอานุภาพเช่นนี้ กล่าวเช่นนี้ ในหมู่อันดับหนึ่งทั้งสิบของรอบที่หนึ่ง คนที่ควรให้ความสนใจมากที่สุกไม่ใช่ซูมู่หาน แต่เป็นจินตู๋อีนี่หรือ”
ลู่ตู๋ปู้เผยความประหลาดใจ
เงาร่างของเขาซูบผอม สวมชุดบัณฑิตแขนกว้าง ดุจดั่งบัณฑิตคงแก่เรียนคนหนึ่ง มีเพียงนัยน์ตาที่ทอประกายลุ่มลึก
ทั่วทั้งแคว้นเมฆา เกรงว่ามีไม่กี่คนที่ไม่รู้กิตติศัพท์ของลู่ตู๋ปู้
ตั้งแต่เด็กเขาก็ฉายแวว รุดหน้าอย่างองอาจบนเส้นทางแห่งมรรคา เหินทะยานตลอดทาง กรำศึกนับไม่ถ้วน ไม่เคยพ่ายแพ้!
มีพวกสอดรู้สอดเห็นคิดว่า จากความสามารถของลู่ตู๋ปู้ ย่อมสามารถขนานนามเป็นอันดับหนึ่งในหมู่คนรุ่นเยาว์ระดับมกุฎราชันอริยะในแคว้นเมฆาอย่างแน่นอน!
เพียงแต่เกรงว่าใครก็คงคิดไม่ถึง ว่าลู่ตู๋ปู้ที่ชื่อเสียงเกรียงไกรทั่วแคว้นเมฆา จะถึงกับดูเหมือนบัณฑิตที่รูปงามคงแก่เรียนคนหนึ่ง
“ศิษย์พี่ สิ่งที่ท่านควรสนใจมากที่สุดไม่ใช่ทั้งซูมู่หานและไม่ใช่จินตู๋อี หากแต่เป็นยามที่ศึกถกมรรคแคว้นเมฆาสิ้นสุดลง จะใช้สถานะอันดับที่เท่าไหร่มุ่งหน้าไปแคว้นกลางมรรค เพื่อเข้าร่วมงานชุมนุมถกมรรคที่จัดขึ้นโดยหกเรือนมรรคใหญ่”
ด้านข้าง หญิงสาวงดงามคนหนึ่งแววตาดุจสายน้ำ น้ำเสียงนุ่มละมุนเสนาะหู สายตาที่มองลู่ตู๋ปู้เจือแววเคารพเลื่อมใสอยู่เนืองๆ
ลู่ตู๋ปู้บื้อใบ้ไป ยิ้มกล่าวว่า “ศิษย์น้อง เจ้าประเมินข้าสูงเกินไปแล้ว ศึกถกมรรคแคว้นเมฆาครั้งนี้ เกรงว่าคงมีพวกร้ายกาจมากมายออกมาอีกแน่”
“แต่พวกเขาย่อมไม่อาจเทียบกับศิษย์พี่ได้อย่างแน่นอน”
หญิงสาวงดงามกล่าวอย่างจริงจัง
ลู่ตู๋ปู้ยิ้มขื่น “เจ้าน่ะ ใบไม้หนึ่งใบบังตา มองไม่เห็นเขาไท่ซาน”
“ใครใช้ให้ใบไม้น่ามองเพียงนั้นเล่า ข้ายังจะมองเขาไท่ซานอะไรอีก”
หญิงสาวงดงามหัวเราะคิกๆ พลางกล่าว
ลู่ตู๋ปู้อึ้งไป บัดนั้นพลันเข้าใจขึ้นมา นี่ศิษย์น้องนางเปรียบตนเป็น ‘ใบไม้’ สินะ…
ภายในใจเขาไหวหวั่น ยิ้มกล่าว “เอาเถิด ไม่สนใจซูมู่หาน จินตู๋อีอะไรนั่นแล้ว ศิษย์น้องให้ค่าข้าปานนี้ ข้าย่อมไม่อาจทำให้เจ้าผิดหวังแน่”
……
“จินตู๋อีที่กำราบเฮ่อเหลียนฉีคนนี้ ก็คือเจ้าคนที่ทำให้พวกเจ้าสองคนปราชัยก่อนหน้านี้?”
บนยอดเขาอีกลูกหนึ่ง ชายหนุ่มชุดคลุมดำคนหนึ่งนั่งสบายๆ ทั่วร่างรายล้อมด้วยพยับหมอกสีเทาสายแล้วสายเล่า ทั่วร่างดุจดั่งผสานรวมกับราตรีกาล
ผิวพรรณของเขาขาวเนียนดุจหยก เส้นโครงหน้าคมชัดราวกับสลักด้วยใบมีดคมกริบ นัยน์ตาฉายประกายมืดมิดขุ่นมัวเป็นสายๆ
เพียงนั่งง่ายๆ อยู่ตรงนั้น ก็เหมือนนายเหนือหัวในความมืด มีกลิ่นอายวังเวงที่ทำให้ผู้คนใจสะท้าน
เสอหลิง เสอจื่อที่อยู่ด้านข้างต่างพยักหน้าอย่างเคารพ กระทั่งหายใจยังกดดันอยู่บ้าง
เพราะชายหนุ่มชุดดำคนนี้มีนามว่าอู่หวง!
ศิษย์เบื้องท้ายของเฒ่าดึกดำบรรพ์ระดับจักรพรรดิของสำนักโบราณจรัสเทพ ปีศาจแห่งยุคที่ไม่เคยปรากฏตัวในโลก และเป็น ‘ทูตจักรพรรดิ’ ที่ชื่อเสียงเกรียงไกรคนหนึ่ง!
ต่อหน้าเขา ทูตเทพพยากรณ์อย่างพวกเสอหลิง เสอจื่อล้วนได้แต่ก้มหัว
ตั้งแต่ตอนที่ปราณอยู่ระดับมกุฎราชันอริยะขั้นต้น อู่หวงก็เคยใช้พลังของตน สังหารระดับกึ่งจักรพรรดิคนหนึ่ง!
“เรื่องนี้ข้ารู้แล้ว หากข้าสบโอกาสข้าจะกำจัดเขาทิ้ง ช่วยพวกเจ้าสองคนแก้แค้นด้วยมือข้าเอง”
อู่หวงกล่าวจบก็ไม่สนใจเรื่องนี้อีก
เสอหลิงและเสอจื่อสบตากันปราดหนึ่ง ล้วนฉายแววซาบซึ้งออกมา กล่าวว่า “ขอบคุณทูตจักรพรรดิยิ่ง!”
……
ข่าวเกี่ยวกับการต่อสู้ของหลินสวินและเฮ่อเหลียนฉีครั้งนี้ ปรากฏอยู่ในมือผู้ฝึกปราณมากมายในค่ำคืนนี้
รวมถึงผู้สืบทอดของเจ็ดสำนักใหญ่ ต่างก็ถูกทำให้ตกใจด้วยเช่นกัน
อย่างเช่นเซี่ยอวี่ฮวา หวังถู ลู่ตู๋ปู้เป็นต้น
เพียงแต่เมื่อเทียบกับอาการตกอกตกใจของคนอื่นๆ ผู้สืบทอดแกนหลักของสำนักโบราณอย่างพวกลู่ตู๋ปู้ดูสงบกว่ากันยิ่งอย่างเห็นได้ชัด
หรืออย่างพวกเจียงเหิง จีเฉียนจากสำนักยุทธ์เสวียนจี ยามที่รู้ข่าวเหล่านี้ก็ทำท่าเหมือนสมเหตุสมผลแล้ว
พวกเขารู้เรื่องของ ‘จินตู๋อี’ มาก่อน และรู้ดีที่สุดว่าความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายน่ากลัวปานใด
หากแม้แต่เฮ่อเหลียนฉียังสู้ไม่ได้ นั่นต่างหากที่เรียกว่าเรื่องขบขัน
“แม่นางเสวียนเยวี่ยเล่า”
จู่ๆ ก็มีคนเอ่ยถาม
“อ้อ พอนางรู้ว่าพี่จินมาถึงเมืองว่างเปล่าก็ออกไปตั้งแต่แรกแล้ว”
มีคนกล่าวเจือแววอิจฉา
จินเทียนเสวียนเยวี่ย นี่เป็นถึงทายาทเลือดบริสุทธิ์ของเผ่าจักรพรรดิดึกดำบรรพ์ตระกูลจินเทียน ฐานะสูงศักดิ์ หากอยู่โลกใหญ่หงเหมิงล้วนเรียกได้ว่าเป็นผู้กล้าชั้นนำ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์