ยามมองเห็นขบวนของชายหนุ่มชุดม่วงจวนอวี๋เหิง สายตาของหลินสวินล้วนเปลี่ยนเป็นหรี่ลงเล็กน้อย เป็นเจ้าหมอนี่ดังคาด!
ปีนั้นบนแท่นสักการะ หนึ่งในแดนสามผนึกของแหล่งสถานคุนหลุน จวนอวี๋เหิงเป็นผู้แข็งแกร่งแห่งยุคคนแรกที่อาศัย ‘แรงปรารถนาสรรพชีวิต’ สักการะเป็นอริยบุคคล
ศิลามรรคสักการะที่เขาประทับไว้ลอยแขวนที่ระดับความสูงเจ็ดพันจั้ง ทำเอาสะท้านทั่วลาน
แน่นอน เมื่อเทียบกับผลงานสักการะที่หลินสวินสร้างขึ้นในปีนั้น ก็เห็นได้ชัดว่าจืดจางไปไม่น้อย
เพียงแต่หลินสวินคิดไม่ถึงว่าผ่านไปหลายปี จะถึงกับได้พบอีกฝ่ายอีกครั้งในที่แห่งนี้ หนำซ้ำดูจากอานุภาพที่อีกฝ่ายสำแดงออกมา ได้ทะยาสู่ระดับมกุฎราชันอริยะขั้นสมบูรณ์แล้ว!
‘นี่ยังไม่ทันถึงสิบปี อีกฝ่ายก็ทะลวงระดับจากมกุฎมหาอริยะขั้นสมบูรณ์มาถึงขั้นนี้ได้ สมกับเป็นผู้สืบทอดของเรือนมรรคจักรวาล…’
หลินสวินนึกถึงผู้แข็งแกร่งอย่างพวกกู่ฉางซิน เยี่ยนฉุนจวินที่สังหารไปในแหล่งสถานคุนหลุนในปีนั้นขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ คนเหล่านี้ล้วนมาจากเรือนมรรคจักรวาลเหมือนกับจวนอวี๋เหิง!
เพียงแต่ว่าปีนั้นตอนอยู่บนแท่นสักการะ จวนอวี๋เหิงไม่ได้ตั้งตนเป็นอริกับหลินสวิน หนึ่งเพราะเกรงกลัวพลังต่อสู้ของหลินสวิน สองกลับเพราะไม่อยากแส่หาเรื่องวุ่นวาย เลี่ยงไม่ให้ถ่วงเวลาการสักการะเป็นอริยะของเขา
ฉะนั้นกับจวนอวี๋เหิง หลินสวินก็ไม่ถึงขั้นมองเป็นศัตรูเท่าใดนัก
แต่เขาก็รู้ดีเช่นกันว่าพบหน้ากันครั้งนี้ เกรงว่าคงจะไม่รื่นรมย์สักเท่าไหร่แล้ว
ดังคาด ทันทีที่จวนอวี๋เหิงในชุดม่วงมาถึง นัยน์ตากระจ่างดุจดวงดาราคู่นั้นก็จ้องบนตัวหลินสวินเขม็ง
มุมปากเขายกโค้งเจือแววนึกสนุก กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “เจ้าสำนักเหิงเซียว นี่ท่านออกจะไม่เที่ยงตรงไปหน่อยแล้ว”
เหิงเซียวสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งกล่าวว่า “คุณชายจวนอวี๋ นี่ท่านพูดเรื่องอะไร”
“เฮอะ เลิกเสแสร้งได้แล้ว”
จวนอวี๋เหิงเหยียดหยัน เห็นได้ชัดว่าไม่เกรงใจยิ่ง ไม่สนใจสีหน้าที่เปลี่ยนเป็นไม่น่าดูของเหิงเซียวสักนิด ชี้ไปทางหลินสวินแล้วพูดกับจื่อเชวี่ยที่อยู่ข้างๆ ว่า “คนที่เจ้าเจอในตลาดมืดใต้ดินใช่คนผู้นี้หรือไม่”
จื่อเชวี่ยมองสำรวจหลินสวินอย่างละเอียดครู่หนึ่งแล้วกล่าวอย่างเคลือบแคลง “คุณชาย น่าจะไม่ใช่คนผู้นี้ กลิ่นอายและท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์ของเขาต่างจากคนที่ข้าเคยเจออย่างสิ้นเชิง”
จวนอวี๋เหิงอึ้งไป นัยน์ตาปรากฏประกายสีทองชวนสยดสยองเป็นสายๆ มองสำรวจหลินสวินตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างจองหองไร้กลัวเกรงครู่หนึ่ง ก่อนขมวดคิ้วกล่าวว่า “เขาไม่ได้แปลงโฉมและปลอมตัว เจ้าแน่ใจนะว่าดูไม่ผิด”
จื่อเชวี่ยพยักหน้า “บ่าวไม่กล้าปลิ้นปล้อนในเรื่องใหญ่เช่นนี้เด็ดขาด”
เมื่อเห็นเช่นนี้เหิงเซียวจึงกล่าวว่า “ดูเหมือนว่านี่น่าจะเป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิดกันเท่านั้น สหายน้อยผู้นี้นามว่าจินตู๋อี เมื่อไม่นานมานี้เพิ่งคว้าตำแหน่งอันดันหนึ่งในศึกถกมรรคแคว้นเมฆา ทั่วทั้งแคว้นเมฆาไม่มีใครไม่รู้จักชื่อเสียงยิ่งใหญ่ของเขา”
“อันดันหนึ่งของศึกถกมรรคแคว้นเมฆาหรือ”
จวนอวี๋เหิงอึ้งไป จากนั้นก็หัวเราะร่วน “เจ้าสำนักเหิงเซียว นี่ท่านกำลังเตือนข้าว่าจินตู๋อีนี่หาเรื่องไม่ง่ายอย่างนั้นหรือ”
ด้านหลังเขา บรรดาหญิงสาวงามละมุนทรงเสน่ห์เหล่านั้นต่างปิดปากหัวเราะเบาๆ
จากฐานะของนายน้อย มีหรือจะเกรงกลัวอันดันหนึ่งของศึกถกมรรคแคว้นเมฆาขี้ปะติ๋วคนหนึ่ง
เหิงเซียวกล่าว “คุณชายเข้าใจผิดแล้ว คนแก่เช่นข้าแค่อยากบอกว่า ท่าน… อาจจำคนผิดหรือไม่”
“เป็นไปไม่ได้!”
จวนอวี๋เหิงหนักแน่นแน่วแน่ สายตาเขาเอาแต่จ้องหลินสวินราวกับจับจ้องเหยื่อก็ไม่ปาน เจือแววนึกสนุกและเย็นเยีย
“เจ้าสำนักเหิงเซียว ข้าอยากพูดคุยกับสหายยุทธ์จินตู๋อีผู้นี้สักหน่อย หากท่านไม่อยากหาเรื่องวอดวายมาสู่สำนักยุทธ์เสวียนจี ก็เชิญถอยอออกไปหนึ่งก้าว อย่าได้แทรกแซง”
น้ำเสียงของเขาเรียบเฉย ทว่ากลับปรากฏท่าทีเหยียดหยันที่ราวกับชี้แนะเรื่องสำคัญก็ไม่ปาน
ควรรู้ว่าที่นี่เป็นถึงสำนักยุทธ์เสวียนจี เหิงเซียวก็เป็นเจ้าสำนักของสำนักยุทธ์เสวียนจี! แต่ยามนี้จวนอวี๋เหิงถึงกับข่มขู่อย่างไม่เกรงใจสักนิด ต้องการให้เหิงเซียวถอยออกไป!
นี่ไม่อาจใช้คำว่าบ้าระห่ำมาบรรยายได้แล้ว หากแต่เป็นไม่เห็นเหิงเซียวและสำนักยุทธ์เสวียนจีที่อยู่เบื้องหลังเหิงเซียวอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย
สีหน้าเหิงเซียวเปลี่ยนเป็นมืดทะมึนทันใด ภายในใจเดือดปุดๆ สุดขีด
และเวลานี้เองหลินสวินที่เอาแต่นิ่งเงียบดูเหตุการณ์อยู่ด้านข้างจู่ๆ ก็หัวเราะขึ้นมา กล่าวว่า “เจ้าสำนักเหิงเซียว ข้าเองก็อยากถือโอกาสนี้พูดคุยกับคุณชายจวนอวี๋ผู้นี้สักหน่อย ไม่ว่าเกิดเรื่องอะไรท่านก็ไม่ต้องสนใจทั้งนั้น”
เหิงเซียวอึ้งไป
จวนอวี๋เหิงยกนิ้วหัวแม่มือขึ้น หัวเราะอย่างจองหองโอหัง กล่าวว่า “เจ้าน่าสนใจยิ่ง ข้าชื่นชมนัก อีกประเดี๋ยวขอเพียงเจ้ายังน่าสนใจเช่นนี้อยู่ ข้าย่อมไม่สร้างความลำบากให้เจ้าเป็นแน่”
เหิงเซียวทอดสายตามองไปทางหลินสวิน เห็นฝ่ายหลังท่าทางแน่วแน่ก็ทอดถอนใจคราหนึ่งเอ่ยว่า “เอาเถิด ข้ารับรอง ยามที่พวกเจ้าสนทนากัน ไม่ว่าข้าหรือใครก็ตามในสำนักยุทธ์เสวียนจี ล้วนจะไม่แทรกแซงเรื่องของพวกเจ้าทั้งสองแน่นอน”
กล่าวเสร็จเขาหันตัวถอยหลีกไปไกลๆ
จวนอวี๋เหิงโบกมือคราหนึ่ง “จื่อเชวี่ย พวกเจ้าก็ถอยไปด้วย เรื่องนี้… คุณชายเช่นข้าจะจัดการด้วยตัวเอง”
พวกจื่อเชวี่ยพยักหน้าถอยออกไป
ไม่นาน บนยอดเขาชำระหยกก็เหลือเพียงหลินสวินและจวนอวี๋เหิงสองคน
“จินตู๋อีใช่หรือไม่ เหตุใดข้าถึงเพ่งเล็งเจ้า เจ้าน่าจะรู้อยู่เต็มอก”
จวนอวี๋เหิงจับจ้องหลินสวิน แววตาชวนสยอง “เอาอย่างนี้แล้วกัน สมบัติบรรพบุรุษของเซิงหย่วนตู้พวกนั้น ข้าต้องการเพียงสองชิ้น ประทับสำริดหนึ่งอัน ธงเหลืองอ่อนหนึ่งผืน ขอเพียงเจ้าส่งมอบออกมา ข้าจวนอวี๋เหิงย่อมชดเชยให้เจ้าอย่างเพียงพอ หากไม่เช่นนั้น…”
เขาตรงไปตรงมายิ่ง และแข็งแกร่งมากเช่นกัน ไม่ปกปิดความคิดของตนเลยสักนิด
“ไม่เช่นนั้นจะทำไมหรือ” หลินสวินกล่าวเรียบๆ
“ไม่เช่นนั้นก็มีแต่ต้องลงมือแล้ว ฝีมือสะท้อนความสามารถแท้จริง ถึงตอนนั้นก็ไม่มีการชดเชยอะไรแล้ว”
จวนอวี๋เหิงคลี่ยิ้มบางๆ เผยเรียวฟันขาวกระจ่างเรียงตัวสวย “แน่นอน เจ้าเป็นอันดันหนึ่งในศึกถกมรรคแคว้นเมฆา ต่อไปย่อมมีโอกาสเข้าร่วมงานชุมนุมถกมรรค หากบังคับแย่งชิงสมบัติเหล่านั้น ในใจเจ้าย่อมไม่ยินยอม”
หลินสวินยิ้มกล่าว “ดังนั้นเจ้าคิดจะทำอย่างไร”
จวนอวี๋เหิงคล้ายกับคิดไม่ถึง เวลาแบบนี้หลินสวินถึงกับยังยิ้มออก
นี่มีแต่พิสูจน์ว่าหากอีกฝ่ายไม่ใช่เพราะมีความมั่นใจ ก็ต้องเป็นเพราะไร้ความเกรงกลัวต่อข่มขู่และฐานะของตนโดยสิ้นเชิง!
หลังจากอึ้งไปเล็กน้อยเขาก็กล่าวกล่าวเสียงเข้ม “ง่ายยิ่ง เจ้ารับสามกระบวนท่าของข้า ขอเพียงต้านไว้ได้ข้าจะจากไปทันที จะไม่รังควานเจ้าอีก หากต้านไม่ได้ ก็มอบสมบัติสองชิ้นนั้นออกมา ว่าอย่างไร”
หลินสวินส่ายหน้า “ไม่สู้เช่นนี้ดีกว่า เจ้ากับข้าต่างออกสามกระบวนท่า ข้าต้านไม่อยู่ ก็จะมอบสมบัติให้เจ้า เจ้าต้านไม่อยู่ เจ้าก็ต้องมอบสมบัติในมือออกมาเป็นอย่างไร”
จวนอวี๋เหิงนัยน์ตาหดรัด สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเย็นชา กล่าวว่า “ฟังแล้วดูเหมือนยุติธรรมยิ่งอย่างว่า เพียงแต่เจ้าแน่ใจหรือว่าจะทำเช่นนี้”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์