ภูเขาใหญ่สูงตระหง่านแปลกประหลาดลูกหนึ่งปรากฏขึ้นกลางฟ้าดิน เขาลูกนี้ปกคลุมด้วยหิมะน้ำแข็งที่แดงฉานเหมือนเปลวเพลิง ราวกับภูเขาไฟที่คุกรุ่นลุกโชนลูกหนึ่ง แต่ความเป็นจริงกลับเป็นภูเขาน้ำแข็งที่เย็นยะเยือกกรีดกระดูก
หิมะน้ำแข็งนั่นตระการตาดุจโลหิต แดงฉานดั่งลุกโหม!
“นี่คงจะเป็นเขาวิญญาณหิมะแดงสินะ ก่อนหน้านี้นานมาแล้ว บุคคลระดับบรรพจารย์คนหนึ่งในเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ของพวกเราเคยเก็บบัวแดงสามสิบสามกลีบบนเขาลูกนี้ บนกลีบดอกบัวแต่ละกลีบล้วนประทับลายมหามรรคฟ้าประทาน วิเศษอัศจรรย์หาใดเปรียบ”
ทอดมองภูเขาโลหิตสีแดงที่ประดุจไฟลุกโหมลูกนั้นอยู่ไกลๆ นัยน์ตาเหลยเฟิงเชวียพลันวาบประกายลุกวาว “ว่ากันว่าระดับจักรพรรดิหลายคนในเรือนมรรคของพวกเรา ยามแจ้งมรรคบรรลุจักรพรรดิ ก็กลืนกินกลีบดอกบัวหนึ่งกลีบ ข้ามด่านเคราะห์จักรพรรดิแห่งยุคได้ในคราเดียว!”
เสียงสูดหายใจเฮือกระลอกหนึ่งดังขึ้น ผู้สืบทอดเรือนมรรคดึกดำบรรพ์เหล่านั้นไม่มีใครไม่ร้องอุทาน
หลินสวินทอดมองอยู่ไกลๆ นัยน์ตาก็วาบประกายแปลกไปด้วยเช่นกัน
ที่แท้ช่วงก่อนหน้านี้ ไม่เพียงแค่ศิษย์พี่จวินหวนเคยเข้ามา แม้แต่ระดับบรรพจารย์คนหนึ่งจากเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ก็เคยมาสืบเสาะที่แห่งนี้ด้วยเช่นกัน
“ไป พวกศิษย์พี่ข่งเจารอพวกเราไปรวมตัวที่เขาลูกนี้”
ขณะสนทนาพวกเหลยเฟิงเชวียทั้งขบวนก็ทะยานขึ้น พุ่งโฉบไปทางเขาวิญญาณหิมะแดงที่อยู่ไกลๆ ลูกนั้น
หลินสวินก็ตามหลังพวกเขาไปติดๆ
…
ตรงไหล่เขาเขาวิญญาณหิมะแดงมีบ่สระน้ำธรรมชาติแห่งหนึ่ง ภายในสระโหมซัดด้วยหิมะน้ำแข็งแดงฉาน แผ่ไอเย็นยะเยือกกรีดกระดูกออกมา
ข่งเจาเอามือไพล่หลังยืนอยู่ริมสระน้ำ จดจ้องอยู่เนิ่นนานแล้วอดถอนหายใจเบาๆ ไม่ได้ “บัวแดงสามสิบสามกลีบในปีนั้นก็เกิดที่นี่ น่าเสียดายตอนที่พวกเรามากลับว่างเปล่าแล้ว”
ข้างกันผู้สืบทอดเรือนมรรคดึกดำบรรพ์สองคนต่างเรียกขวดสมบัติออกมาคนละใบ กำลังเก็บหิมะน้ำแข็งสีแดงที่โหมซัดอยู่ในสระแห่งนั้น
หนึ่งในนั้นได้ยินก็กล่าวยิ้มๆ “ศิษย์พี่ หิมะแดงในสระน้ำแห่งนี้ถือกำเนิดโดยธรรมชาติ บรรจุสารพลังมหามรรคเข้มข้นหาใดเปรียบ หากกลืนกินมันแล้วหลอม จะเป็นประโยชน์ยิ่งยวดต่อการฝึกปราณของพวกเราเช่นกัน”
ข่งเจาไม่ได้สนใจเขา สายตาเหลือบมองด้านข้าง
บนพื้นหิมะน้ำแข็งแดงสดมีคนสองคนถูกมัดไว้ ต่างผมเผ้ากระเซอะกระเซิง สีหน้าเขียวคล้ำและเดือดแค้น
คนหนึ่งคือลู่ตู๋ปู้ อีกคนคือซูมู่หาน
ข่งเจากล่าวเสียงเรียบเฉย “หิมะแดงตรงหน้าพวกเจ้าก็เหมือนสองคนนี้ ของกะปวกกะเปียก สุดท้ายก็เท่าจินตู๋อีนั่น”
“ข่งเจา จะฆ่าก็ฆ่า ไยต้องใช้วิธีต่ำทรามเช่นนี้ลบหลู่ข้าสองคนด้วย” ลู่ตู๋ปู้กัดฟันกล่าว
ผู้สืบทอดอันดับหนึ่งจากสำนักอันดับหนึ่งแห่งแคว้นเมฆา ตอนนี้กลับกลายเป็นพวกกะปวกกะเปียกในคำปากคนอื่น นี่ทำให้ลู่ตู๋ปู้อับอายจนพานโกรธหาใดเปรียบ
นัยน์ตาข่งเจาเจือแววเหยียดแคลน ปรายตามองสองคนจากมุมสูง กล่าวว่า “ข้าได้ยินว่าคราวก่อนตอนอยู่แดนลับโลกาสวรรค์ จินตู๋อีก็เคยช่วยพวกเจ้าจากเงื้อมมือพวกถูเชียนเจวี๋ย จู่เฟยอวี่ จริงหรือไม่”
ลู่ตู๋ปู้และซูมู่หานสีหน้าอึมครึมไม่สงบ พวกเขาไม่เข้าใจ เหตุใดข่งเจาจึงเอ่ยถึงเรื่องนี้
กลับเห็นข่งเจาพูดต่อเอง “ที่ไม่ฆ่าพวกเจ้า ข้าก็แค่อยากให้จินตู๋อีนั่นมาช่วยพวกเจ้าอีกครั้ง”
ฉับพลันพวกลู่ตู๋ปู้ก็เข้าใจทั้งหมดแล้ว ต่างโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ตาแทบถลน เจ้าหมอนี่ ถึงกับมองพวกเขาเป็นเหยื่อล่อ หมายจะเรียกพี่จินออกมา!
“ต่ำช้า!”
“ผู้สืบทอดเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ที่สูงส่ง อันดับห้ากระดานราชันอริยะปวงสวรรค์ วิธีการกลับไร้ยางอายเช่นนี้ ไม่กลัวทำคนทั้งใต้หล้าหัวเราะเยาะหรือ”
ทั้งคู่กัดฟันกรอด โพล่งผรุสวาทลั่น
ข่งเจาไม่ยี่หระ กล่าวว่า “พวกเจ้าอย่าเพิ่งโวยวายไป บอกตามตรง ข้ายังกังวลนักว่าอาศัยคนอย่างพวกเจ้าสองคน อาจไม่มีคุณสมบัติพอจะล่อจินตู๋อีออกมาได้เลยสักนิด!”
แววเหยียดแคลนในคำพูดไม่ได้ปกปิดสักนิด
ข่งเจากล่าวต่อ “ถึงอย่างไร จินตู๋อีก็เป็นผู้สืบทอดเรือนมรรคคืนกำเนิด พวกเจ้าสองคนเล่า กลับเป็นแค่คนมีชื่อเสียงในพื้นที่เล็กๆ อย่างแคว้นเมฆานั่น คราวก่อนในแดนลับโลกาสวรรค์ หากไม่มีจินตู๋อี พวกเจ้า… ไหนเลยจะมีคุณสมบัติเข้าสู่เขตต้องห้ามเซียนโบราณแห่งนี้”
พวกลู่ตู๋ปู้สองคนหน้าไร้สี ภายในใจเต็มไปด้วยความขมขื่น
ข่งเจาพูดจาถากถาง เหยียบย่ำศักดิ์ศรีของพวกเขาอย่างไร้ปรานี แต่พวกเขากลับไร้แรงไปโต้แย้ง เพราะแม้แต่ตัวพวกเขาเองยังยอมรับ ว่าหากไม่มีหลินสวินช่วยเหลือ พวกเขา… ก็ไม่มีคุณสมบัติเข้ามาจริงๆ…
“ศิษย์พี่”
ขบวนพวกเหลยเฟิงเชวียมากันแล้ว ต่างโค้งคารวะให้ข่งเจา
ข่งเจาร้องอืมคราหนึ่ง สายตาทอดมองพวกลู่ตู๋ปู้สองคนต่อ กล่าวอย่างเต็มไปด้วยแววเหยียดหยันและนึกสนุก “หากข้าเป็นจินตู๋อี ไหนเลยจะมาทุ่มชีวิตเพื่อคนไร้ประโยชน์อย่างพวกเจ้าสองคน ไม่คุ้มเอาเสียเลย”
สีหน้าพวกลู่ตู๋ปู้สองคนยิ่งมืดทะมึนขึ้นเรื่อยๆ
“เช่นนี้ถึงจะดีที่สุด จะได้ไม่ต้องพลอยเดือดร้อนพี่จินต้องลำบากเพราะพวกเราสองคนอีก!” ลู่ตู๋ปู้กัดฟันกล่าว ขอบตาแดงก่ำ
ข่งเจายิ้มบางๆ กล่าวว่า “รู้ไหมว่าทำไมข้าไม่ฆ่าพวกเจ้าตอนนี้ ง่ายยิ่ง รอตอนที่ได้เห็นจินตู๋อี ข้าจะบดขยี้พวกเจ้าให้แหลกเป็นชิ้นๆ ต่อหน้าเขา! จะให้เขาจินตู๋อีได้เห็นถึงค่าตอบแทนที่ต้องจ่ายเมื่อฆ่าคนเผ่าจักรพรรดิตระกูลข่งของข้า!”
ในเสียงแฝงแววเคียดแค้นไม่รู้จบ
กล่าวจบ ข่งเจาหมุนตัว เรียกพวกเหลยเฟิงเชวียมาอยู่ข้างๆ กล่าวว่า “ระหว่างทางที่พวกเจ้ามุ่งหน้ามา ได้สังเกตว่ามีคนสะกดรอยตามพวกเจ้ามาหรือไม่”
เหลยเฟิงเชวียชี้ไปที่กระบี่บินขาวหิมะที่ลอยอยู่ตรงบ่า กล่าวว่า “ตลอดทางมานี้ข้าใช้ ‘กระบี่ครวญเหิน’ สัมผัสตลอดทาง ก็ไม่ได้รู้สึกถึงความผิดปกติอะไร”
ข่งเจาพยักหน้ากล่าว “เช่นนี้ก็ดี เขตต้องห้ามเซียนโบราณนี่ถึงจะอันตราย แต่ยังพอมีวิธีบางอย่างหลีกเลี่ยงได้อยู่ แต่ถ้าถูกพวกร้ายกาจที่ผิดธรรมดาบางส่วนหมายหัว ก็เป็นปัญหาแล้ว”
เหลยเฟิงเชวียกล่าว “ศิษย์พี่ ท่านคิดจะใช้สองคนนี้เป็นเหยื่อล่อ จัดการกับจินตู๋อีนั่นจริงๆ หรือ”
มุมปากข่งเจาเจือแววนึกสนุกขึ้นมาเสี้ยวหนึ่ง กล่าวว่า “จินตู๋อีเป็นพวกร้ายกาจคนหนึ่ง แม้ข้าแทบทนไม่ไหวอยากบดขยี้เขาให้แหลกเป็นหมื่นชิ้น แต่ก็รู้ดีว่าหากจะจัดการเจ้าหมอนี่ ย่อมต้องวางแผนอย่างดีถึงจะได้”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์