ตระกูลเสวียน เผ่าจักรพรรดิโบราณที่ลึกลับตระกูลหนึ่ง บนทางเดินโบราณฟ้าดารา ขุมอำนาจและผู้ฝึกปราณส่วนใหญ่ถึงขั้นไม่รู้ถึงการมีอยู่ของตระกูลเสวียน
มีแค่ขุมอำนาจใหญ่อย่างหกเรือนมรรคใหญ่ที่รู้ดีว่ารากฐานของตระกูลเสวียนเก่าแก่เพียงใด
ตระกูลนี้ใช้คำว่า ‘เสวียน’ มาเป็นแซ่ เดิมก็เป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง นัยที่แซ่นี้สื่อถึงสามารถทำให้บุคคลระดับจักรพรรดิบางคนตื่นตระหนก
ที่พำนักของตระกูลนี้ไม่มีใครล่วงรู้ ตระกูลนี้มีขุมอำนาจที่แข็งแกร่งแค่ไหนก็ไม่มีคนพูดได้อย่างชัดเจนเช่นกัน
แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ยามที่คนในตระกูลเสวียนออกมาข้างนอก ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งอย่างหกเรือนมรรคใหญ่ก็ไม่มีทางล่วงเกินได้ง่ายๆ
เหมือนตอนที่แดนลับโลกาสวรรค์ปิดฉากก่อนหน้านี้ ยามเผชิญหน้ากับเสวียนจิ่วอิ้นที่เรียกร้องความยุติธรรมให้หลินสวิน ผู้ที่มีฐานะสูงส่งอย่างจักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงก็ไม่กล้าลงมือรุนแรง ได้แต่กักขังเสวียนจิ่วอิ้นไว้ ไม่ให้เขาก่อความวุ่นวาย
เท่านี้ก็รู้แล้วว่าตระกูล ‘เสวียน’ นี่ไม่ธรรมดาระดับใด และเสวียนจิ่วอิ้นก็เป็นถึงทายาทของตระกูลเสวียน ย่อมไม่มีใครกล้าดูหมิ่นเป็นธรรมดา
แต่ใครต่างคาดไม่ถึง ต่อให้รู้ดีว่าหลินสวินเป็นเศษเดนของคีรีดวงกมล เสวียนจิ่วอิ้นก็ยังนั่งอยู่กับหลินสวิน!
“เจ้าไม่กังวล แต่ข้ากังวล”
หลินสวินคิดไปคิดมา ก่อนเล่าเรื่องที่เกี่ยวกับการเข้าในประตูทลายออกมาทีละเรื่อง
“ตอนนี้เจ้าเข้าใจแล้วใช่ไหม สุดท้ายจะมีแค่คนเดียวที่เข้าไปในประตูทลายได้ ถึงตอนนั้นข้าไม่อยากห้ำหั่นกับเจ้าอีก”
สายตาหลินสวินมองยังเสวียนจิ่วอิ้น ท่าทางจริงจัง
“ให้ตายเถอะ ได้แค่คนเดียวหรือ…”
เสวียนจิ่วอิ้นตกตะลึง เกาหัวแกรกๆ พลางกล่าว “ช่างทำให้คนปวดกะโหลกเสียจริง”
จากนั้นเขาก็ตบเข่าฉาด พูดพลางยิ้มระรื่น “พี่หลิน เจ้าคิดว่าจะแข่งกับคนอื่นอย่างไรก่อนเถอะ”
เขากวาดตามองทั่วลาน “เจ้าดูสิ ถ้าตัวอันตรายมากเช่นนี้ลงมือพร้อมกันต้องเปิดฉากการต่อสู้ชุลมุนแน่ แต่ขอแค่เจ้ามีโอกาสชิงแท่นมรรคนั้นได้ พวกเขาจะต้องโจมตีเจ้าพร้อมกันแน่นอน ถึงตอนนั้นสถานการณ์ที่เจ้าต้องเผชิญก็คือศัตรูรอบด้าน น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ!”
“แน่นอนว่าไม่ใช่แค่เจ้า ใครก็ตามที่ขึ้นไปอยู่บนแท่นมรรคนั่นย่อมต้องถูกล้อมโจมตี ดังนั้นจึงพูดว่าคิดจะเข้าไปในประตูทลายนั่นคงไม่ง่ายดายนัก”
สีหน้าหลินสวินราบเรียบไร้คลื่นลม กล่าวอย่างสบายๆ “ต้องการชิงมหาศุภโชค จำเป็นต้องแบกรับอันตรายใหญ่หลวง เดิมนี่ก็เป็นเรื่องที่คาดเดาได้”
“ช่างเถอะ ข้าจะคอยดูเรื่องสนุกแล้วกัน”
เสวียนจิ่วอิ้นกล่าวทอดถอนใจเบาๆ “เดิมทีข้าก็ไม่สนใจมหาสมบัติแรกกำเนิดอะไรนั่นอยู่แล้ว ต่อให้แย่งมาได้ มีหรือจะกล้าแยกไปตั้งสำนักใหม่ หากเจ้าเฒ่าในตระกูลข้ารู้เข้าจะต้องฆ่าข้าตายแน่”
“การมาที่นี่ครานี้ ข้าแค่อยากลองดูว่าเขตต้องห้ามเซียนโบราณนี่เป็นแดนอันตรายแบบไหนกันแน่ ถือโอกาสเรียนรู้ฝีไม้ลายมือของคนรุ่นเดียวกันไปด้วยสักหน่อย หากต้องสู้กับพวกเจ้าจริงๆ แล้วดันตายอยู่ที่นี่ เช่นนั้นก็คงจบเห่แล้ว”
พูดจบก็เอนกายลงบนก้อนหินที่อยู่ข้างๆ อย่างเกียจคร้าน นั่งไขว่ห้างอย่างสบายๆ พลางกล่าว “ดังนั้นการดูเรื่องสนุกจึงดีที่สุด”
หลินสวินเหมือนคิดอะไรได้ “คงไม่ใช่ว่าไม่อยากจะฉีกหน้าข้า ดังนั้นจึงยอมแพ้ไปกระมัง”
เสวียนจิ่วอิ้นหัวเราะพรืดออกมา “พี่หลินหนอพี่หลิน ผู้ชายตระกูลเสวียนไม่เคยทำเรื่องที่ทำให้ตัวเองไม่สบายใจ”
กล่าวถึงตอนท้ายปากเขาก็กล่าวพึมพำ “ยิ่งไปกว่านั้น… แค่มหาสมบัติแรกกำเนิดชิ้นเดียว ตระกูลเสวียนของข้าก็ใช่ว่าจะไม่มี”
น้ำเสียงสบายๆ แต่กลับเผยความโอหังโดยไม่ตั้งใจ
คราวนี้หลินสวินถึงได้รู้ว่า ที่แท้ในตระกูลของเจ้าหมอนี่ก็มีมหาสมบัติแรกกำเนิดชิ้นหนึ่งด้วย!
ตระกูลเสวียน เป็นเผ่าจักรพรรดิโบราณแบบไหนกันแน่
…
เวลาล่วงเลยไปทีละน้อย
ประตูทลายที่สูงพันจั้ง ผุพังและเต็มไปด้วยหมอกควัน ภายในนั้นมีละอองแสงแห่งระเบียบมหามรรคแน่นขนัดส่องประกาย ดูประหนึ่งภาพฝันลวงตา
แต่เห็นจะมีเพียงแท่นมรรคที่ผ่านเข้าออกประตูได้ตามใจนั่นที่ยังไม่ปรากฏ
ทว่ากลับมีบุคคลแห่งยุคคนแล้วคนเล่าทยอยกันมา ทำให้บรรยากาศในที่นั้นเปลี่ยนเป็นกดดันและตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม
“พี่หลิน พลังกายของเจ้าฟื้นคืนถึงขีดสุดหรือยัง”
ทันใดนั้นพลันมีเสียงที่ราบเรียบดั่งวารีดังขึ้น ทำลายความเงียบในที่นั้น เมื่อเห็นคนพูด ทุกคนต่างเผยสีหน้าประหลาด
คนผู้นั้นร่างผอมบาง สวมเสื้อคลุมขาว ผมขาวทั้งศีรษะ นัยน์ตาที่ผ่องแผ้วดุจทะเลสาบนิ่งสงบล้ำลึก
หมีอู๋หยา!
ศิษย์แกนหลักอันดับหนึ่งของเรือนมรรคยุทธจักร ตำนานที่ครองอันดับหนึ่งของกระดานราชันอริยะปวงสวรรค์มาหกร้อยปี!
ผู้ที่ถูกคนมองว่าเป็นบุคคลที่ไร้คู่ต่อกรอย่างแท้จริงในระดับมกุฎราชันอริยะ!
ตรงหน้าประตูทลายนี้ หากพูดถึงคนที่ทำให้ผู้คนหวาดกลัวที่สุด ย่อมเป็นหมีอู๋หยาโดยไม่ต้องสงสัย
เขาเอ่ยปากเวลานี้เพื่อการใด
ทุกคนล้วนใคร่รู้
มีเพียงผู้สืบทอดของเรือนมรรคยุทธจักรพวกนั้นที่รู้อยู่แก่ใจ
ในใจหมีอู๋หยามองหลินสวินนี่เป็น ‘ผู้ร่วมวิถี’ นานแล้ว เคยทอดถอนใจว่า ‘มรรคข้าไม่เดียวดาย ข้ามีคู่ต่อสู้แล้ว’
ด้วยเหตุนี้หมีอู๋หยาจึงปล่อยโอกาสที่จะไล่ล่าหลินสวินไปครั้งหนึ่ง บอกว่ายอมไม่แย่งชิงศุภโชคของการบรรลุจักรพรรดิกลายเป็นบรรพจารย์ ปรารถนาแค่จะประลองกับหลินสวินอย่างยุติธรรมสักครั้ง!
นี่เป็นครั้งแรกที่ผู้สืบทอดของเรือนมรรคยุทธจักรพวกนั้นเห็นศิษย์พี่หมีอู๋หยาที่ประหนึ่งกระสาป่าในพยับเมฆ ไม่สนใจเรื่องทางโลกเรื่อยมา ให้ความสำคัญกับคนผู้หนึ่งเช่นนี้
หลินสวินที่นั่งขัดสมาธิกับพื้นลืมตาขึ้น มองหมีอู๋หยาที่อยู่ห่างออกไปก่อนกล่าวเรียบๆ “ฟื้นตัวกลับมานานแล้ว ไม่ทราบว่าพี่หมีมีเรื่องใดชี้แนะ”
หมีอู๋หยากล่าวอย่างสบายๆ “ไม่ถึงขั้นชี้แนะ แค่อยากถือโอกาสนี้มาสู้ตัดสินกับเจ้าสักครั้ง”
ตูม!
เมื่อเอ่ยปากออกมาก็ม้วนกลืนทั้งที่นั้นเหมือนพายุ ทำให้ทุกคนแตกตื่น สีหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
หมีอู๋หยา!
ราชันในตำนานที่เปล่งประกายบนฟ้าดาราคนหนึ่ง เวลานี้กลับส่งคำเชิญประลองด้วยตัวเอง!
น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว นี่ทำให้ผู้คนไม่กล้าเชื่อหูตัวเอง ถึงอย่างไรด้วยฐานะและชื่อเสียงของหมีอู๋หยาก็ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์