“ในเมื่อพี่หลินมีความคิดเช่นนี้ ข้าหมีอู๋หยามีหรือจะปฏิเสธ เช่นนั้นก็ประชันสูงต่ำในการต่อสู้ชุลมุนนี้เลย!”
เสียงสะท้อนก้องเก้าชั้นฟ้า
ทุกคนต่างหน้าเปลี่ยนสี รู้สึกขมปาก
ก่อนหน้านี้พวกเขายังคิดว่าสองพยัคฆ์ประชันกัน ต้องมีการบาดเจ็บ จึงยินดีที่จะนั่งดูพวกเขาตีกัน
แต่หากการห้ำหั่นนี้เกิดขึ้นในการต่อสู้เพื่อชิงแท่นมรรค เกรงว่านั่นคงซวยมาถึงพวกเขาแล้ว!
วู้ม…
แท่นมรรคแผ่กลิ่นอายไพศาลออกมา ละอองแสงโปรยปราย ลอยคว้างอยู่กลางอากาศ
แต่เหล่าผู้กล้ากลับสบตากัน ไม่มีใครกล้าชิงลงมือก่อนสักคน ห่วงว่าเด่นเกินไปจะมีภัย กลายเป็นเป้าโจมตีของทุกคน
ต้องรู้ว่าแท่นมรรคจะหยุดค้างอยู่ในโลกภายนอกนี้หนึ่งก้านธูป ต่อให้ตอนนี้ชิงยืนอยู่บนนั้นได้ ก็ไม่มีทางเข้าไปในประตูทลายนั่นทันทีได้
ด้วยเหตุนี้แม้เหล่าผู้กล้าจะกระเหี้ยนกระหือรือ แต่ก็ไม่มีใครอยากพุ่งเข้าไปเป็นคนแรก
บรรยากาศในที่นั้นเปลี่ยนเป็นพิกลขึ้นมาทันที
โอกาสอยู่ตรงนั้นชัดๆ แต่ต่างฝ่ายกลับต้องรอบคอบและระมัดระวัง ไม่มีใครลงมือก่อน
“มีแต่คนฉลาด…”
เสวียนจิ่วอิ้นยิ้มน้อยๆ พลางเอ่ยปาก “ไม่อย่างนั้นให้ข้าลองขึ้นไปก่อน รอพวกเจ้าพร้อมแย่งชิงข้าค่อยสละแท่นมรรคให้เป็นอย่างไร”
เขาพูดพลางก้าวเท้าเตรียมเดินไป
แต่ในพริบตานี้เอง ไอสังหารน่ากลัวมากมายม้วนพัดมา จับจ้องไปที่เสวียนจิ่วอิ้น ทำให้เขาตัวแข็งทื่อ ฝีเท้าที่ก้าวออกไปพลันหดกลับ
“ได้ ข้ายอมแพ้ แค่ดูเรื่องสนุกตกลงไหม”
เขาเบ้ปาก กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ประเดี๋ยวข้าจะดู ว่าในบรรดาพวกเจ้าจะมีคนตายเท่าไหร่กัน”
“แน่นอนว่าเลือดต้องหลั่งรินเป็นกระแสน้ำ ข้าก็จะชมการต่อสู้ด้วย”
หลิงเคอจื่อพูดอยู่ข้างๆ
เสวียนจิ่วอิ้นเหลือบมองเขาเล็กน้อย คล้ายตระหนักถึงอะไรได้ ก่อนกล่าวเสียงเหี้ยม “ภิกษุน้อย เจ้าอย่าใช้ ‘จิตพุทธะไร้มลทิน’ มาดูข้าเชียว มิฉะนั้นข้าจะควักหัวใจของเจ้าออกมาซะ!”
หลิงเคอจื่อส่ายหน้าเป็นพัลวัน “ไม่กล้าๆ”
เสวียนจิ่วอิ้นยิ้มอย่างภาคภูมิ
หลิงเคอจื่อจนปัญญา เจ้า คุณชายน้อยที่เป็นบุตรชายคนเดียวของผู้นำตระกูลเสวียน รังแกภิกษุอย่างข้ามีอะไรให้ภูมิใจนัก
เห็นชัดว่าไม่ได้มีแค่เสวียนจิ่วอิ้นที่เหมือนรู้ความลับบางอย่างของหลิงเคอจื่อ หลิงเคอจื่อก็กุมความลับบางอย่างของเสวียนจิ่วอิ้นไว้เช่นกัน
ตามเวลาที่ล่วงเลย บรรยากาศในที่นั้นดูกดดันและตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม
เหล่าผู้กล้าจากต่างบริเวณจับจ้องแท่นมรรคที่ลอยอยู่กลางอากาศนั่น พลังขับเคลื่อนทั่วร่างก็แข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม ทำให้ฟ้าดินต่างเปลี่ยนสี
พวกเขากำลังรอ
รอช่วงเวลาที่แท่นมรรคกลับเข้าไปในประตูทลาย
มีแค่ลงมือเวลานั้น ถึงจะมีหวังชิงแท่นมรรคและถือโอกาสเข้าไปในประตูทลายได้มากที่สุด
‘สหายน้อย จวินหวนเคยมอบประทับที่เกี่ยวข้องกับเขาปู้โจวให้เจ้าไม่ใช่หรือ ตอนนี้เจ้าใช้กลิ่นอายของประทับนี้ไปเชื่อมต่อกับแท่นมรรคนั้นดูสิ บางทีอาจมีเรื่องที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้นก็ได้’
ทันใดนั้นเสียงของจี้เสวียนพลันดังขึ้นในใจของหลินสวิน
‘ปีนั้นศิษย์พี่จวินหวนเคยซ่อนหมากตาท้ายไว้ที่นี่หรือ’ หลินสวินใจเต้น
‘ไม่ผิด แต่ข้ารู้แค่ปีนั้นจวินหวนเคยบอกว่า แม้นางจะกลับไปมือเปล่า แต่ได้ทิ้งความหวังเสี้ยวหนึ่งไว้ ไม่ช้าก็เร็วต้องมีสักวันที่ความหวังเสี้ยวนี้บังเกิดผล’
จี้เสวียนกล่าว ‘ตลอดทางมานี้ข้าใคร่ครวญอยู่นาน สุดท้ายก็นึกได้ว่าหากจวินหวนซ่อนหมากตาท้ายไว้จริงๆ เช่นนั้นก็ต้องอยู่ในประทับนั่นที่มอบให้เจ้าแน่’
‘ที่แท้เป็นเช่นนี้’
หลินสวินใจไหววูบ ในหัวเผยพลังประทับที่เกี่ยวข้องกับเขาปู้โจวออกมา
ขณะเดียวกันเขายังลองหยั่งสัมผัสแท่นมรรคนั้นด้วย
ตูม!
ในหัวของเขาสั่นสะเทือนชั่วพริบตา ประทับที่จวินหวนเหลือทิ้งไว้พลันส่องประกายสว่างไสว ปรากฏสัญลักษณ์อักษร ‘ผนึก’ ที่แปลกประหลาดออกมา
เกือบจะเวลาเดียวกัน แท่นมรรคที่ลอยอยู่กลางอากาศนั้นพลันสะเทือนดังวู้ม ลอยมาทางหลินสวินราวกับถูกมือใหญ่ไร้รูปข้างหนึ่งพันธนาการไว้
เหล่าผู้กล้าที่เตรียมตัวและเกร็งพลังขับเคลื่อนรอบตัวไว้นานแล้วเห็นดังนี้ ก็เผยสีหน้าตื่นตะลึง
เจ้าหลินสวินนี่ ถึงกับกล้าลงมือก่อน!?
เวลานี้หลินสวินสัมผัสได้ถึงไอสังหารน่ากลัวมากมายที่เล็งมาทางตนอย่างมืดฟ้ามัวดิน ในใจพลันยิ้มขื่นทันที
ความหวังเสี้ยวหนึ่งที่ศิษย์พี่จวินหวนเหลือทิ้งไว้มีประโยชน์ก็จริง แต่จะมีประโยชน์มากเกินไปแล้ว ถึงกับดึงแท่นมรรคนั่นมาตรงๆ!
เมื่อเป็นเช่นนี้เลยทำให้เขากลายเป็นเป้าโจมตีในชั่วขณะเดียว!
“ฆ่า!”
มีคนตวาดลั่น เรียกกระบี่จักรพรรดิเล่มหนึ่งออกมา แหวกอากาศพุ่งสังหารเข้ามาตรงๆ
เหตุไม่คาดฝันเช่นนี้ทำให้ผู้คนเชื่อโดยจิตใต้สำนึก ว่าหลินสวินลอบใช้แผนการ ทำให้การต่อสู้แย่งชิงที่เดิมทีก็กดดันตึงเครียดอยู่แล้วปะทุขึ้นเหมือนจุดชนวนระเบิด
“ลงมือ!”
“หลินสวิน ภายใต้สายตาผู้คนที่จับจ้องเจ้ายังกล้าทำเช่นนี้ ไม่ประมาณตนจริงๆ คิดชิงแท่นมรรคไปรึ ไม่มีทาง!”
“ฆ่า!”
เสียงตวาดดังก้องขึ้น แสงสมบัติและวิชามรรคนานัปการพุ่งออกมาจากต่างบริเวณ พร่างพรายลานตา น่าสะพรึงอย่างที่สุด
จนถึงตอนนี้หน้าประตูทลายมีผู้แข็งแกร่งอยู่รวมกันราวสี่สิบกว่าคน แต่ละคนหากไม่ใช่ปีศาจแห่งยุคที่เกริกก้องในดินแดนหนึ่ง ก็เป็นยอดอัจฉริยะที่กิตติศัพท์ล้นฟ้า
เมื่อพวกเขาลงมือพร้อมกันเพื่อสังหารคนผู้เดียว ภาพเหตุการณ์นั้นช่างทำให้เทพผีถอยร่น สรรพชีวิตสิ้นหวัง
น่ากลัวเกินไปแล้ว!
วิชามรรคไม่มีวิชาใดที่ไม่ใช่ชั้นยอด สมบัติก็ไม่ขาดยอดอาวุธสังหารอย่างศาสตราจักรพรรดิ เมื่อพุ่งโจมตีเข้ามาพร้อมกัน มีหรือจะใช้คำว่าน่ากลัวมาบรรยายได้หมด
‘เจ้าหมอนี่… ก็ร้อนใจเกินไปแล้วกระมัง’
เสวียนจิ่วอิ้นงงงวย
‘ตัวคนเดียว ศัตรูรอบด้าน นี่เท่ากับตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายที่สุดแล้ว’
หลิงเคอจื่อก็สูดหายใจเย็นเยียบ
‘ทำไมถึงเป็นเช่นนี้…’
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์