Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ นิยาย บท 2148

สรุปบท ตอนที่ 2148 ตำหนักเทพระเบียบ: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

อ่านสรุป ตอนที่ 2148 ตำหนักเทพระเบียบ จาก Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ โดย Internet

บทที่ ตอนที่ 2148 ตำหนักเทพระเบียบ คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

เมฆหมอกพันพัว ตำหนักอันโอฬารหาใดเทียบหลังหนึ่งตั้งตระหง่านท่ามกลางความว่างเปล่า

แสงเทพอบอวล แสงมรรคหนาแน่น ระเบียบต้นกำเนิดมหามรรคอันลึกลับเหมือนแสงอุษามากมายสายโรยตัวลงมาจากตำหนักนั้น

ที่นี่เป็นดั่งตำหนักเทพอันเป็นที่สถิตของเทพเทวา!

“ที่นี่ที่ไหน”

“กลิ่นอายต้นกำเนิดมหามรรคหนาแน่นนัก!”

“ในแดนปรินิพพานมีตำหนักเทพเช่นนี้ได้อย่างไร”

เสียงเซ็งแซ่ดังขึ้น แล้วก็พบว่ารอบๆ ตำหนักใหญ่โตมหึมานั้นมีเงาร่างไม่รู้เท่าไรกระจายอยู่แน่นขนัดจนมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด!

คนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งที่มีคุณสมบัติเข้าสู่แดนปรินิพพาน

ทว่าขณะนี้พวกเขาต่างงุนงง ฉงนใจไม่ว่างเว้น

เพราะทันทีที่เข้าสู่แดนปรินิพพาน พวกเขาก็พากันเคลื่อนตัวมาถึงที่แห่งนี้

นอกจากตำหนักเทพหลังหนึ่งแล้วก็ไม่เห็นทิวทัศน์อื่นใดอีก มีแต่หมอกหนาทึบทั่วไปหมด นี่ทำให้รู้สึกกระวนกระวายใจอย่างอดไม่ได้

“ดูนั่นเร็ว นั่นมันผู้สืบทอดเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ พวกเขารวมตัวกันแล้ว”

มีคนอุทาน

สายตามากมายเห็นว่าชายหญิงผู้บุคลิกไม่ธรรมดา สง่างามเกินคนทั่วไปจำนวนหนึ่งรวมตัวกัน เป็นผู้แข็งแกร่งเรือนมรรคดึกดำบรรพ์

“ผู้สืบทอดจากเรือนมรรคยุทธจักร จักรวาล เหล่ามาร โลกาสวรรค์ก็มาด้วย…”

“แถมยังมีสิบเผ่านักรบใหญ่ รวมทั้งพวกร้ายกาจจากเผ่าจักรพรรดิดึกดำบรรพ์จำนวนหนึ่ง!”

ท่ามกลางบรรยากาศยุ่งเหยิง ผู้แข็งแกร่งที่มายังแดนปรินิพพานเหล่านี้เริ่มพากันรวมกลุ่มแบ่งพวก เข้าไปรวมตัวกับคนจากขุมอำนาจเดียวกันกับตน

แดนปรินิพพานเป็นโลกปริศนาแห่งหนึ่ง ไม่เคยปรากฏมาหมื่นกาล แม้ที่นี่จะมีวาสนาที่ยากจินตนาการอยู่ แต่ก็เต็มไปด้วยอันตรายหาใดเทียบ ใครก็ไม่กล้าเลินเล่อ

ตอนที่สามารถเกาะกลุ่มพึ่งพิงกันได้ ย่อมไม่ไปไหนมาไหนเพียงลำพัง

พอเวลาผ่านไปบรรยากาศก็เงียบสงบลงช้าๆ ถึงกับกดดันอยู่บ้าง

ผู้แข็งแกร่งที่กระจายอยู่ตามบริเวณต่างๆ มาจากขุมอำนาจใหญ่ของทั่วหล้าฟ้าดารา บ้างเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับห้าล่าง ราชันอมตะ ระดับอริยะ กึ่งจักรพรรดิ…

ย่อมมีการกดดันและข่มกันระหว่างระดับต่างๆ เป็นธรรมดา

ขุมอำนาจบางกลุ่มในนั้นถึงกับเป็นศัตรูกัน อยู่ในฟ้าดินเดียวกันย่อมไม่ต่างอะไรกับได้พบศัตรู

ถ้าไม่ใช่ว่าคลำสถานการณ์ไม่ถูก เกรงว่าคงลงมือไปนานแล้ว

ที่นี่… มันที่ไหนกันแน่

สายตาทุกคู่แทบจะประเมินตำหนักเทพที่อยู่ไกลหลังนั้นอยู่แทบทั้งนั้น ไม่รู้ว่ามันสูงเพียงใด ใหญ่โตเพียงไหน โอฬารและศักดิ์สิทธิ์เช่นไร

พลังระเบียบมหามรรคปกคลุมอยู่บนนั้น ละอองแสงลอยละล่อง ทำให้ตำหนักเทพหลังนี้ดูลึกลับหาใดเทียบ

แต่ไม่ว่าพวกเขาจะประเมินอย่างไรก็มองความจริงไม่ออก

“ถ้าบุคคลระดับจักรพรรดิอยู่ที่นี่อาจจะมองทะลุที่มาที่ไปบางอย่างได้ก็ได้”

มีคนเอ่ยเสียงเบาอย่างห้ามไม่อยู่

“เอ๊ะ ใช่แล้ว เฒ่าชราระดับจักรพรรดิพวกนั้นล่ะ”

มีคนตกตะลึง

คำพูดเดียวปลุกทุกคนให้ตื่นจากภวังค์ ผู้แข็งแกร่งทุกคนจึงพบว่าฟ้าดินแห่งนี้กลับไม่มีระดับจักรพรรดิปรากฏตัวสักคน!

ภาพอันพิสดารนี้ทำให้หลายคนต่างเกร็งในใจ

แม้แต่ผู้สืบทอดจากขุมอำนาจใหญ่อย่างหกรือนมรรคใหญ่กับสิบเผ่านักรบใหญ่ยังหน้าเปลี่ยนสี

ที่พึ่งที่ใหญ่ที่สุดของพวกเขาก็คือผู้อาวุโสระดับจักรพรรดิในสำนัก เดิมคิดว่าจะให้ผู้อาวุโสเหล่านี้เป็นผู้นำ อย่างน้อยก็มีสิ่งคุ้มครองเพิ่มในแดนปรินิพพานอันลึกลับเป็นปริศนาได้บ้าง

ใครจะคิดได้ว่า…

ผู้อาวุโสระดับจักรพรรดิของพวกเขาเหล่านั้นต่างไม่ปรากฏตัวสักคน!

นี่ย่อมเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายที่ไม่อาจคาดคิดได้ของใครๆ ทั้งยังทำให้ทุกคนยิ่งฉงนใจไม่ว่างเว้นอย่างไม่ต้องสงสัย

สวบ!

จู่ๆ ก็มีคนทะยานขึ้นฟ้า แปลงร่างเป็นรุ้งเทพสายหนึ่งพุ่งไปยังตำหนักเทพที่อยู่ไกลออกไปนั้น

ภาพนี้ทำให้ผู้แข็งแกร่งมากมายกระสับกระส่าย หมายใจจะลองดู หรือพูดได้ว่าเดิมทีพวกเขาก็คิดจะไปสืบข้อเท็จจริงของตำหนักเทพนั่นเช่นกัน

เผียะ!

กลับพบว่าเงาร่างนั้นยังไม่ทันเข้าใกล้ก็ถูกโซ่เทพที่แปลงจากระเบียบมหามรรคเส้นหนึ่งฟาดใส่ ตัวเขาถูกกระแทกกระเด็นออกไป ล้มลงมาหัวแตกเลือดไหล ยับเยินเป็นที่สุด

เสียงสูดหายใจเย็นระลอกหนึ่งดังขึ้น

ผู้คนจำได้ว่าเงาร่างนั้นเป็นมกุฎกึ่งจักรพรรดิผู้หนึ่งมาจากเผ่าจักรพรรดิดึกดำบรรพ์สักเผ่า ในฟ้าดินที่ไม่มีระดับจักรพรรดิปรากฏตัวสักคน เรียกได้ว่าเป็นผู้อยู่ระดับสูงสุดแล้ว

แต่ตอนนี้กลับถูกซัดกระเด็นกลับมาเหมือนแมลงวันอ่อนแอ!

ทันใดนั้นทั้งที่นั้นเงียบสงัด ขณะนี้เหล่าผู้กล้าที่เดิมหมายจะลงมือล้วนล้มเลิกความคิดที่จะไปสืบดู

“ทางเข้าแดนปรินิพพานยังไม่ปิด ตำหนักเทพนั่นคงยังไม่ถึงเวลาเปิด”

ทางฝั่งเรือนมรรคยุทธจักร หมีอู๋หยาที่เงาร่างสูงโปร่ง แววตาแจ่มใสเอ่ยราบเรียบ

“ไม่พูดเรื่องอื่น ตอนนี้ที่แน่ใจได้คือคนที่อยู่ระดับจักรพรรดิขึ้นไปคงถูกเคลื่อนย้ายไปบริเวณอื่นของแดนปรินิพพานแห่งนี้”

เสียงสนทนาเบาๆ ดังขึ้น ต่างคนต่างรอคอยอยู่เงียบๆ

จู่ๆ ก็มีคนเอ่ยถามว่า “ใครรู้บ้างว่าผู้ร้ายในหมายจับฟ้าดารานั่นมาหรือยัง”

แม้ไม่ได้ขานชื่อ แต่ทุกคนในที่นั้นยังเดาออกได้ในชั่วพริบตาว่าพูดถึงใคร สีหน้าต่างไปจากเดิมทันที

สายตาบางคู่มองไปยังคนที่เอ่ยถามคนนั้น แล้วมองออกว่านั่นเป็นกึ่งจักรพรรดิคนหนึ่งจากเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ มีนามว่าอวี่เหวินปิน

เสียงเผยแววเย็นยะเยือก ทำให้บรรยากาศที่นี่ตึงเครียดไปหมด ผู้แข็งแกร่งหลายคนต่างหลีกทางให้ ไม่กล้าขวางไม่ให้เฟิงหลัวจื่อเดินหน้า

ขณะนี้สายตาทั้งที่นั้นต่างมองมาทางนี้

เหล่าผู้สืบทอดเรือนมรรคดึกดำบรรพ์อย่างอวี่เหวินปินต่างมีความสุขที่เห็นคนอื่นเป็นทุกข์อย่างห้ามไม่ได้

เสวียนจิ่วอิ้นผู้นี้ก็โง่เขลาเสียจริง ใต้หล้าตอนนี้ใครยังกล้าข้องแวะกับหลินสวิน หลบยังหลบไม่ทันเลย

แต่ดูเขาสิ ไปเรียกร้องความเป็นธรรมให้หลินสวินต่อหน้าเหล่าผู้กล้า นี่มันกระโดดเข้ากองไฟเองชัดๆ!

“เอ๋ เจ้าหมอนี่จะลงมือ พวกเราถอยก่อนไหม” หลิงเคอจื่อถามอย่างอดไม่ได้

“ถอยให้โง่”

เสวียนจิ่วอิ้นจ้องเฟิงหลัวจื่อที่เดินมา เอ่ยง่ายๆว่า “เจ้าก็อยู่เฉยๆ ดูซิว่าข้าจะฆ่าเจ้าทุเรศที่มาหาที่ตายถึงที่นี่อย่างไร”

“เจ้าทุเรศหรือ”

ไอสังหารฉายวาบในส่วนลึกของดวงตาเฟิงหลัวจื่อ เงาร่างหายลับไปจากที่เดิมทันที

ครู่ต่อมาเขาก็ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเสวียนจิ่วอิ้น นิ้วมือดุจดาบเหนี่ยวนำไอแหลมคมเปล่งประกายหาใดเทียบแทงไปที่คอเสวียนจิ่วอิ้นอย่างจัง

เร็ว!

เร็วจนเหลือเชื่อ!

เหล่าบุคคลแห่งยุคที่สามารถจับภาพนี้ได้ พอได้เห็นภาพนี้เข้าก็หวาดหวั่นใจอย่างห้ามไม่ได้

เสวียนจิ่วอิ้นย่อมไม่อาจนอนรอความตาย เขาก็บรรลุมกุฎกึ่งจักรพรรดิตั้งแต่สมัยเขตต้องห้ามเซียนโบราณแล้วเช่นกัน ทั้งยังเหยียบย่างเข้าสู่ขั้นสามชั้นฟ้าเหมือนกันด้วย

ดังนั้นเมื่อเผชิญหน้ากับเฟิงหลัวจื่อ การตอบสนองของเขาเรียกได้ว่ารวดเร็ว ปลายนิ้วมือขวาที่รวบอยู่ในแขนเสื้อมีไอสีขาวดำปรากฏ

เพียงแต่ในตอนที่เขากำลังจะลงมือนี้เอง

เงาร่างของเฟิงหลัวจื่อพลันหยุดชะงักอยู่กลางอากาศ ทั้งตัวเขาถูกมือใหญ่มือหนึ่งหิ้วขึ้นมา ใบหน้าอัดอั้นจนแดงเป่ง แววตาเต็มไปด้วยความตกตะลึง

เขายิ่งดิ้นรนอย่างบ้าคลั่ง แต่มรรควิถีทั้งตัวถูกผนึกไว้มั่น ร่างกายไม่อาจขยับได้!

ภาพที่เกิดขึ้นกะทันหันนี้ทำให้เสวียนจิ่วอิ้นอึ้งไป ทั้งยังทำให้ผู้แข็งแกร่งทั้งที่นั้นต่างรู้สึกไม่ทันตั้งตัว ในใจสั่นสะท้าน

เฟิงหลัวจื่อเป็นถึงระดับมกุฎกึ่งจักรพรรดิสามชั้นฟ้า แต่ชั่วพริบตากลับถูกจับไว้เหมือนลูกไก่!

ก็ตอนนี้เอง ผู้คนถึงมองเห็นคนที่มาเยือนได้ชัดเจน เสื้อผ้าสีขาวพระจันทร์ทั้งชุด ผมดำปลิวสยาย เงาร่างสูงโปร่ง ราบเรียบดุจเมฆไหลเคลื่อน โดดเด่นเหนือธรรมดา

“หลินสวิน!”

เสียงอุทานเสียงหนึ่งดังขึ้น ราวกับสายฟ้าฟาดทำลายความเงียบของฟ้าดินแห่งนี้ ทำให้ใจทุกคนปั่นป่วน และทำให้พวกเขาต่างหน้าเปลี่ยนสีไปด้วย

เจ้าคนที่ถูกจักรพรรดิสวรรค์ดำรงสั่งจับด้วยตัวเอง ถึงกับกล้ามาแดนปรินิพพานแห่งนี้จริงหรือนี่

ใครก็คิดไม่ถึง!

——

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์