เกี้ยวสมบัติอันว่องไวนั้นหยุดลงทันที
ก็เห็นว่ามือเรียวยาวขาวกระจ่างเกลี้ยงเกลาข้างหนึ่งแหวกม่านออก ใบหน้างามล้ำผุดผาดดุจภาพวาดดวงหนึ่งยื่นออกมา ริมฝีปากแดงเผยอน้อยๆ ดวงตามีชีวิตชีวาเผยแววประหลาดใจอย่างยากปิดบัง มองดูหลินสวินที่อยู่ด้านหนึ่งของถนน
กลุ่มคนที่อยู่ใกล้เคียงส่งเสียงอุทาน ผู้ชายหลายคนยังเผยสีหน้าตื่นตะลึงหลงใหล และมีบางคนจำฐานะของลั่วเจียได้ล้วนรู้สึกพิศวง บุคคลที่เหมือนกับนางเซียนบนสวรรค์ผู้นี้ปรากฏตัวในเมืองวันนี้ตอนนี้ได้อย่างไร
ในขณะเดียวกันหลินสวินอึ้งไป ทั้งยังรู้สึกเกินคาดอย่างอดไม่ได้ “แม่นางลั่วเจียหรือ”
ลั่วเจียพลันยิ้มออกมา จากนั้นดวงตางามก็กวาดเร็วๆ ไปรอบๆ โบกมือให้หลินสวินแล้วเอ่ยว่า “คุณชายหลิน ขอเชิญมาพูดคุยกันสักหน่อย”
หลินสวินตอบรับอย่างรวดเร็ว เดินตรงไปหา
เขามาเมืองจักรพรรดิหมื่นเพลิงคราวนี้ เดิมทีก็อยากจะมาหาคนเผ่าหงส์เซียน พอได้พบกับลั่วเจียก็จะลดเรื่องยุ่งยากให้เขาได้ไม่น้อย
ทว่าตอนขึ้นเกี้ยวสมบัตินั้น ชายวัยกลางคนชุดม่วงที่ขับเกี้ยวสมบัติก็นิ่วหน้าอย่างอดไม่ได้ แววเย็นชาฉายวาบในดวงตา เอ่ยว่า “คุณหนู…”
“อาหรง คุณชายหลินเป็นเพื่อนดีที่สุดของข้า คบหากันมาหลายสิบปีแล้ว ไม่ใช่คนนอก” เสียงนุ่มนวลของลั่วเจียแว่วออกมาจากในเกี้ยวสมบัติ
อาหรงจ้องหลินสวินอยู่ครู่หนึ่งจึงพยักหน้า “เชิญ”
หลินสวินยิ้มให้ ไม่ได้ถือสา ตรงขึ้นเกี้ยวสมบัติไป
เกี้ยวสมบัติเดินหน้าต่อ ไม่นานนักก็หายลับไปบนถนนอันครึกครื้นจอแจสายนี้
“คุณชายหลิน ทำไมเจ้าถึงมาแดนหงส์เซียนของข้าหรือ” ในเกี้ยวสมบัติกลิ่นหอมอ่อนจางอบอวล ลั่วเจียมองหลินสวินด้วยสีหน้าประหลาดใจ
นางนั่งขัดสมาธิตามสบาย ชุดคลุมขนนกสีเขียวอ่อนทั้งชุด ผมยาวสีดำขลับรวบเป็นมวยง่ายๆ เรือนกายผิวพรรณขาวสะอาดเปล่งปลั่งงดงามอ่อนช้อย
เทียบกับเมื่อก่อนแล้ว บุคลิกลั่วเจียยิ่งนุ่มนวลสง่างาม ผิวเรียบลื่นผุดผ่อง สะสวยเป็นธรมชาติ มีความงามดั่งกล้วยไม้บานในหุบเขา
ขณะที่พูดนางก็ยกกาน้ำชาหยกกาหนึ่งขึ้น รินชาหมอกวิญญาณที่กลิ่นหอมกำชายไปทั่วเต็มถ้วย มือทั้งสองยกถ้วยชาส่งให้
“ข้าคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะมาเจอเจ้าเช่นนี้”
หลินสวินยิ้มรับถ้วยชามา จากนั้นก็เล่าเรื่องที่ตนไปยังแดนเจินหลงให้ฟังคร่าวๆ สุดท้ายยังบอกเป้าหมายที่ตนมาแดนหงส์เซียนอีกด้วย
ลั่วเจียฟังจบจึงเข้าใจได้ เม้มริมฝีปากอิ่มเอิบบางๆ ยิ้มอย่างอดไม่ได้ เอ่ยว่า “พูดแบบนี้ เจ้ากับข้าได้พบกันคราวนี้เป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ”
หลินสวินก็พยักหน้าทอดถอนใจ ว่าไปแล้วครั้งก่อนยามพบลั่วเจียคือยามอยู่ที่แหล่งสถานคุนหลุน
หลายสิบปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว ตนเองเป็นมกุฎมหาจักรพรรดิแล้ว ส่วนลั่วเจียก็เป็นระดับมกุฎกึ่งจักรพรรดิขั้นบริบูรณ์คนหนึ่งแล้ว
ลั่วเจียคิดๆ แล้วเอ่ยว่า “คุณชายหลิน เรื่องกลับทางเดินโบราณฟ้าดาราจัดการได้ง่ายนัก ให้ข้าจัดการก็พอ แต่…”
พอพูดถึงตรงนี้เสียงต่ำลึกของชายวัยกลางคนชุดม่วงก็ลอยมาจากนอกเกี้ยวสมบัติ “คุณหนู เส้นทางสู่ทางเดินโบราณฟ้าดารานั้นต้องให้ผู้อาวุโสใหญ่สามท่านในเผ่าร่วมมือกันถึงจะเปิดได้สักครั้ง เรื่องนี้… ไม่ง่ายนัก ยิ่งไปกว่านั้นสถานการณ์ของท่านในตอนนี้…”
ไม่ทันพูดจบลั่วเจียก็ตัดบท “อาหรง เจ้าอย่าพูดอะไรอีก ข้ามีความคิดเป็นของตัวเอง”
พอพูดจบนางก็เอ่ยกับหลินสวินคล้ายจนใจอยู่บ้าง “อาหรงเป็นคนเก่าแก่ข้างกายท่านพ่อข้า หลายปีมานี้ดูแลอยู่ข้างกายข้ามาตลอด มองข้าเหมือนลูกเหมือนหลาน คำพูดของเขาเจ้าอย่าเอามาใส่ใจ”
หลินสวินยิ้มน้อยๆ เอ่ยคล้ายขบคิด “ลั่วเจีย เจ้าเจอเรื่องยุ่งยากใช่ไหม”
ลั่วเจียชะงักไป กะพริบตายิ้มเอ่ยว่า “นี่เป็นอาณาเขตของแดนหงส์เซียนของข้า ข้าจะไปมีเรื่องยุ่งยากได้อย่างไร”
หลินสวินวางถ้วยชาในมือลง ถอนใจเบาๆ เอ่ยว่า “ถ้าเจ้าเห็นข้าเป็นเพื่อนจริงๆ ก็อย่าปกปิดหรือปิดบังอีก เล่าให้ข้าฟังที ข้าอาจจะช่วยเจ้าได้”
“คุณชายท่านนี้ เรื่องของคุณหนู เจ้าเป็นคนนอกคนหนึ่งจะเข้ามาสอดไม่ได้”
เสียงอาหรงดังขึ้นอีกครั้ง “ถ้าเจ้าคิดเพื่อคุณหนูจริงๆ ข้าแนะนำให้จากไปเสียตั้งแต่ตอนนี้จะดีที่สุด จะได้ไม่กลายเป็นภาระ และถูกดึงเข้าไปอยู่ในคลื่นลมที่ไม่จำเป็น”
คำพูดนี้เอ่ยด้วยเสียงราบเรียบ แต่ไม่เกรงใจอย่างที่สุด
หลินสวินนิ่วหน้า ไม่ได้โมโห มองดูลั่วเจียแล้วพูดว่า “ดูท่าเจ้าจะเจอปัญหาที่รับมือได้ยากจริงๆ”
ลั่วเจียแววตาซับซ้อน ยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “เดิมทีได้พบกับเพื่อนสนิท ข้าซึ่งเป็นเจ้าบ้านก็ควรจะดูแลเจ้าให้ดี ตอนนี้ยังไม่ทันได้ดูแลกลับทำให้เจ้าต้องมาเป็นห่วงเรื่องของข้าแล้ว”
นางหยุดไป ดวงตางดงามเรียบสงบ เอ่ยอย่างจริงจังว่า “พี่หลิน เรื่องของข้ายุ่งยากเป็นที่สุด ไม่ใช่ไม่อยากให้เจ้าช่วย แต่เพราะเกี่ยวโยงถึงเผ่าหงส์เซียนของข้ากับสองเผ่าใหญ่อย่างพยัคฆ์ขาวกับเต่าดำ ถ้าเจ้าถูกดึงเข้าไปเกี่ยวด้วย ข้า… รังแต่จะสงบใจได้ยาก”
“คุณหนู เวลาไม่มากแล้ว พวกเราต้องรีบไป ‘ตำหนักแก่นวิญญาณ’ เดี๋ยวนี้ หาไม่หากประวิงเวลานานไป คุณชายน้อยจะ…”
เสียงอาหรงดังมาอีกครั้ง เผยน้ำเสียงเร่งเร้า คราวนี้ยังพูดไม่จบก็ถูกลั่วเจียตัดบทเหมือนเคย
“ข้ารู้แล้ว หยุดเกี้ยว”
นางสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง พลิกมือส่งยันต์หยกสีม่วงชิ้นหนึ่งให้หลินสวิน สื่อจิตว่า ‘พี่หลิน เก็บสิ่งนี้ไว้ให้ดี รอเรื่องของข้าคลี่คลายแล้วจะไปรำลึกความหลังกับเจ้า’
พูดจบนางก็ไม่อธิบายอะไร ดันหลินสวินลงจากเกี้ยว สีหน้าเจือแววขอโทษทั้งยังเผยแววแน่วแน่ เห็นได้ชัดว่าไม่คิดจะให้หลินสวินเข้ามายุ่งด้วย
หลินสวินทอดถอนใจในใจ ไม่ยื้ออีก เดินลงเกี้ยวสมบัติไป
‘พี่หลิน วันหลังข้าจะมาขอโทษเจ้า เจ้าอย่าโกรธไปเลย’ ลั่วเจียสื่อจิตอย่างอดไม่ได้ เสียงเผยความรู้สึกผิด
เสียงพูดยังไม่ทันเงียบลง ชายวัยกลางคนชุดม่วงคนนั้นก็ขับเกี้ยวสมบัติจากไปอย่างรวดเร็ว
การพบกันอันแสนสั้นครั้งนี้กลับจบลงลวกๆ เช่นนี้
หลินสวินยืนอยู่ที่เดิม ลอบเอ่ยว่า “เจ้าเห็นข้าหลินสวินเป็นเพื่อน ข้าจะไปยืนดูเฉยๆ ได้อย่างไร”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์