ในตรอกแคบมืดมนและซอมซ่อ
ยามหลินสวินพาฉือฉางเหมยเดินออกมาก็ไม่ได้อำพรางกลิ่นอายรอบตัวอีก
ยามเฝ้าที่ลอบซ่อนตัวแทบจะเห็นทั้งสองคนตั้งแต่พริบตาแรกทันที
เพียงแต่นี่ก็กลายเป็นภาพสุดท้ายที่พวกเขาเห็นก่อนตาย
เมื่อหลินสวินพาฉือฉางเหมยเดินออกมาจากตรอกนี้ ตลอดทางไม่มีเสียงอะไรดังขึ้นเลยสักนิด
นี่ทำให้ฉือฉางเหมยใจหล่นวูบ นางรับรู้ว่ายามที่กระจายอยู่ใกล้เคียงเกรงว่าคงประสบเคราะห์แล้ว
ส่วนสิ่งที่ทำให้นางตื่นตระหนกคือ ตั้งแต่ต้นจนจบล้วนไม่สังเกตเห็นว่าหลินสวินลงมืออย่างไร!
เวลานี้เองฉือฉางเหมยเพิ่งตระหนักบางอย่างขึ้นได้ฉับพลัน หลังจากผ่านมาหลายปี หลินสวินที่กลับมาโลกชั้นล่างอีกครั้งมีพลังปราณระดับใดกันแน่
“ข้าต้องสืบข่าวบางอย่างจากจิตวิญญาณของเจ้า เจ้าอย่าต่อต้านดีกว่า”
หลินสวินพลันเอ่ยปาก
ระหว่างที่ฉือฉางเหมยตกตะลึง จิตวิญญาณของนางพลันสั่นระรัว เหมือนถูกมือเยียบเย็นนับไม่ถ้วนสัมผัสเข้าไปในนั้น
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง
หลินสวินเก็บจิตรับรู้กลับมา ในใจได้รู้เรื่องราวมากมายแล้ว
ตัวอย่างเช่นอาณาเขตของตระกูลฉือ ตระกูลฮวา ตระกูลฉี รวมถึงอิทธิพลที่สามตระกูลทรงอิทธิพลนี้ครอบครองในปัจจุบันเป็นต้น
“หรือว่าเจ้า… คิดเป็นศัตรูกับคนทั้งโลกจริงๆ”
ฉือฉางเหมยหน้าซีดเผือดเจือความยากจะเชื่อ
“คนทั้งโลก?”
หลินสวินเผยรอยยิ้มหยัน “ขุมอำนาจดินแดนรกร้างโบราณพวกนั้นนับเป็นตัวอะไร สามารถเป็นตัวแทนของคนทั้งโลกได้หรือ”
หากไม่ใช่ว่าตอนนี้ตกเป็นเชลย ฉือฉางเหมยคงเหน็บแนมหลินสวินโดยไม่เกรงใจแน่ บ้าไปแล้วจริงๆ ขุมอำนาจดินแดนรกร้างโบราณพวกนั้นยืนอยู่บนปลายยอดของโลกชั้นล่างนี้แล้ว อิทธิพลที่พวกเขาครอบครองสามารถเป็นตัวแทนของความแข็งแกร่งที่สุดบนโลก จะไม่อาจเป็นตัวแทนของคนทั้งโลกได้อย่างไร
เห็นชัดว่าถึงตอนนี้นางก็ไม่เชื่อว่าหลินสวินสามารถสู้กับขุมอำนาจใหญ่ดินแดนรกร้างโบราณได้
หลินสวินย่อมคร้านจะอธิบายเป็นธรรมดา
เงาร่างเขามีแสงมรรคไหลวน กายมรรคไม้เขียวและกายมรรคเพลิงแดงปรากฏตัวออกมา
‘ไป!’
‘ไป!’
หลินสวินขับเคลื่อนความคิด กายมรรคไม้เขียวและกายมรรคเพลิงแดงเริ่มเคลื่อนไหวทันที โฉบพุ่งไปคนละทิศทาง
ก่อนหน้านี้หลินสวินรู้แล้วว่าสหายเก่าที่ติดร่างแหเพราะตนจนถูกศัตรูจับตัวไปพวกนั้น ตอนนี้ต่างถูกตระกูลฉือ ตระกูลฮวา ตระกูลฉีกักขังเฝ้าดู
ในเมื่อเป็นการช่วยคน แน่นอนว่าต้องจู่โจมศัตรูดุจสายฟ้าในเวลาอันสั้นที่สุด เช่นนี้จึงจะหลีกเลี่ยงการเกิดเหตุไม่คาดฝันได้
ด้วยเหตุนี้หลินสวินจึงส่งกายมรรคไม้เขียวและกายมรรคเพลิงแดงไปตระกูลฉีกับตระกูลฮวา
ส่วนร่างต้นของเขาก็พาฉือฉางเหมยมุ่งหน้าไปตระกูลฉือ!
นครต้องห้ามยังเจริญรุ่งเรือง อึกทึกครึกครื้น มีม้าเกวียนสวนกันขวักไขว่ ผู้คนคราคร่ำทุกแห่งหน
หลินสวินดูเหมือนเดินเล่นในสวนบ้าน แต่ทุกย่างก้าวกลับเหมือนดาวเคลื่อนดาราคล้อย ย่นย่อระยะทางเหลือเพียงคืบ ในฝูงชนกว้างใหญ่นั้นไม่มีใครสังเกตเห็นการปรากฏตัวของเขาสักคน
สาเหตุอยู่ที่ความเร็วของเขาว่องไวถึงขั้นสะเทือนใต้หล้าแล้ว
สิ่งมหัศจรรย์ที่สุดคือยามเคลื่อนที่ไปข้างหน้า ไม่มีพลังถาโถมออกมาแม้แต่น้อย เลือนรางเหมือนลำแสงสายหนึ่งที่ไร้สุ้มเสียง เทพผีไม่แตกตื่น
ในสายตาของฉือฉางเหมย ตลอดทางเต็มไปด้วยภาพบิดเบี้ยวเหมือนเงาแฉลบผ่าน การมองเห็นและการได้ยินรับรู้สิ่งใดไม่ได้อีก
ยังดีที่ทุกอย่างนี้เกิดขึ้นเพียงครึ่งเค่อ
เมื่อทัศนวิสัยกลับมาชัดเจน ฉือฉางเหมยถอนหายใจยาวเหมือนยกภูเขาออกจากอก แต่เมื่อเห็นภาพที่อยู่ห่างไปอย่างชัดเจน ทั้งตัวนางราวกับถูกฟ้าผ่า
ยอดเขามรกต!
นี่คืออาณาเขตของตระกูลฉือที่ส่งผ่านมารุ่นต่อรุ่น!
ข้ามผ่านระยะทางไกลเช่นนี้ในครึ่งเค่อ สำหรับฉือฉางเหมยนี่เป็นเรื่องที่ไม่อาจจินตนาการได้จริงๆ
ต่อให้เป็นระดับกึ่งจักรพรรดิเคลื่อนไหวเต็มกำลัง จากตรอกนั้นถึงกลางยอดเขามรกต อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาสามเค่อ!
“ผ่านวันนี้ไปที่แห่งนี้ก็จะหายไปแล้ว”
หลินสวินสองมือไพล่หลัง เอ่ยปากเนิบนาบ
“เจ้าจะเป็นศัตรูกับตระกูลฉือของข้าจริงหรือ” ฉือฉางเหมยยังไม่กล้าเชื่อ
“ไม่ ตระกูลฉือของเจ้ายังไม่มีคุณสมบัติพอจะเป็นศัตรูของข้า”
หลินสวินพูดพลางก้าวไปข้างหน้า “ยืนอยู่ที่นี่แล้วดูให้ดีเถอะ”
พลังรอบตัวฉือฉางเหมยถูกพันธนาการ ยืนอยู่ตรงนั้นโดยไม่อาจขยับเขยื้อน
สีหน้านางอึ้งงัน ทั้งหมดนี้ล้วนล้มล้างความเข้าใจของนางจริงๆ นี่เป็นถึงนครต้องห้าม ไอวิญญาณฟื้นคืนกลับมาห้าสิบปี ไม่เหมือนแต่ก่อนนานแล้ว!
เขาหลินสวินเอาความมั่นใจมาจากไหน ถึงกล้ามาล้างแค้นตระกูลฉือของนางด้วยตัวคนเดียว
สิ่งที่น่าเหลือเชื่อที่สุดคือหลินสวินในตอนนี้ไม่ได้ปกปิดกลิ่นอายและซ่อนตัว แต่เดินไปยังยอดเขามรกตอย่างผ่าเผยเช่นนั้น!
“นี่เจ้าจะรนหาที่ตายรึ!” นัยน์ตาของฉือฉางเหมยฉายแววคลุ้มคลั่ง
…
“เอ๋ นั่นคือคุณหนูใหญ่ของตระกูลฉือไม่ใช่หรือ”
ผู้ฝึกปราณมากมายสังเกตเห็นฉือฉางเหมยและหลินสวินแต่ไกล
ที่นี่คือยอดเขามรกต เป็นอาณาเขตของตระกูลฉือ หนึ่งในตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูง ตั้งแต่ตระกูลฉือสวามิภักดิ์เป็นบริวารของแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ อิทธิพลก็กลับมาแข็งแกร่งยิ่งกว่าแต่ก่อน ในนครต้องห้ามนี้ถือเป็นขุมอำนาจท้องถิ่นที่มากอำนาจฝ่ายหนึ่งเช่นกัน
ส่วนบุตรสาวของผู้นำตระกูลฉืออย่างฉือฉางเหมย ใครเล่าจะไม่รู้จัก
“ชายหนุ่มคนนั้นเป็นใคร ทำไมดูแล้วเหมือนจะคุ้นเคยอยู่บ้าง”
คนรุ่นอาวุโสคนหนึ่งมุ่นคิ้ว จากนั้นนัยน์ตาพลันหดรัดแล้วกล่าวตื่นตะลึง “หรือว่าเป็นเขา”
“ใครหรือ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์