ตอน ตอนที่ 2385 หวนคืนด่านตะวัน จาก Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง
ตอนที่ 2385 หวนคืนด่านตะวัน คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย
ตอนที่ 2385 หวนคืนด่านตะวัน
สามวันให้หลัง
กายมรรคเพลิงแดงและกายมรรควารีดำของหลินสวิน พากู้ซีที่หายบาดเจ็บสนิทแล้วออกจากสำนักยุทธ์ก่อเกิดไปด้วยกันอย่างไร้สุ้มเสียง
ส่วนกายมรรคไม้เขียว กายมรรคทองขาว กายมรรคดินเหลืองก็ดูแลอยู่บนภูเขาชำระจิตต่อไป
ในช่วงหลายปีมานี้ที่ไอวิญญาณฟื้นคืน เส้นทางจากดินแดนรกร้างโบราณเข้าสู่โลกชั้นล่างมีมากมาย แต่ในสามปีมานี้เส้นทางพวกนั้นแทบจะถูกหลินสวินทำลายทั้งหมด
ถึงกระนั้นสำหรับหลินสวินแล้ว หากอยากจะข้ามผ่านห้วงอากาศไปดินแดนรกร้างโบราณ ก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรมานานแล้ว
หนึ่งวันให้หลัง
ดินแดนรกร้างโบราณ เทือกเขาอิงเมฆา
กายมรรคเพลิงแดงและกายมรรควารีดำของหลินสวินทยอยปรากฏออกมา
แทบจะในชั่วขณะหลินสวินก็สังเกตเห็นว่า เทียบกับปีนั้น ดินแดนรกร้างโบราณตอนนี้ก็เปลี่ยนไปเช่นกัน กลางฟ้าดินไอวิญญาณอบอวล หนาแน่นกว่าเมื่อก่อนมากกว่าสิบเท่า
‘ดูท่าข่าวจะเป็นจริง ที่ที่ได้ผลกระทบจากไอวิญญาณฟื้นคืนไม่ใช่เพียงโลกชั้นล่างเท่านั้น แม้แต่ดินแดนรกร้างโบราณเองก็ได้รับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่…’
‘แต่ว่าจากสถานการณ์เช่นนี้ แม้ดินแดนรกร้างโบราณจะมีไอวิญญาณฟื้นคืนเช่นกัน แต่กลับไม่อาจเทียบแกนกลางของแดนต้นกำเนิดหมื่นอย่างโลกชั้นล่างได้’
‘มิน่าขุมอำนาจใหญ่ในดินแดนรกร้างโบราณพวกนั้นถึงเข้าไปแย่งชิงอาณาเขตที่โลกชั้นล่าง ต่อไปดินแดนรกร้างโบราณนี้… ต้องถูกกำหนดให้ถูกโลกชั้นล่างอยู่เหนือกว่าแน่’
ในมุมมองของหลินสวิน สภาพสุดท้ายของการเปลี่ยนแปลงที่มาจากไอวิญญาณฟื้นคืนของโลกชั้นล่าง ย่อมต้องเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ที่เทียบได้กับแคว้นกลางมรรคของโลกใหญ่หงเหมิง
ส่วนดินแดนรกร้างโบราณนี้ กลับจะเป็นส่วนที่ขับให้โลกชั้นล่างโดดเด่นขึ้นไปอีก!
“ข้าไปเขาเทพพยับคราม ตามหารากปฐมจิตวิญญาณของต้นเทพชางอู๋”
ไม่นานนักกายมรรคเพลิงแดงก็ออกเดินทางทันที มุ่งหน้าสู่อาณาเขตซึ่งเป็นที่ตั้งเดิมของแดนฐิติประจิม
ก่อนจะกลับสู่โลกชั้นล่าง หลินสวินก็รู้เรื่องทั้งหมดจากปากทางระฆังไร้กฎแล้ว เป็นไปได้อย่างยิ่งว่ารากปฐมจิตวิญญาณของต้นเทพชางอู๋ก็คือ ‘โอสถราชันกายสิทธิ์’ ต้นที่เจอเมื่อปีนั้น!
และร่างแยกสองร่างของหลินสวินเคลื่อนไหวพร้อมกัน หนึ่งเพื่อช่วยศิษย์ซูไป๋ สองก็เพื่อตามหาต้นเทพซางอู๋นี้
ขอเพียงเก็บวัตถุดิบเทพนี้ได้ เขาก็จะสามารถควบรวมต้นกล้าของต้นแรกกำเนิดได้!
จนกระทั่งกายมรรคเพลิงแดงจากไปไกลแล้ว กายมรรควารีดำถึงค่อยปล่อยกู้ซีออกมาจากในสมบัติ
จากนั้นทั้งคู่ก็มุ่งหน้าไปกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิทันที
สวบ!
หลินสวินเคลื่อนย้ายผ่านห้วงอากาศจนทั้งร่างประหนึ่งลำแสงเคลื่อนไหวสายหนึ่ง ทุกครั้งที่พริบไหว เหมือนดั่งดาราเคลื่อนคล้อย พันภูผาหมื่นวารีล้วนแต่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
ตลอดทางหลินสวินสัมผัสได้อย่างชัดเจน ว่าแม้ไอวิญญาณฟื้นคืนของดินแดนรกร้างโบราณจะสู้โลกชั้นล่างไม่ได้ แต่พลังที่รองรับได้กลับแข็งกร้ากว่าโลกชั้นล่างอยู่มากโข ทำให้พลังปราณระดับจักรพรรดิขั้นห้าของเขา ถูกกดไว้เพียงระดับจักรพรรดิขั้นสามสัมบูรณ์เท่านั้น
‘ก็ไม่รู้ว่าพวกผู้อาวุโสในปีนั้นยังอยู่ที่กำแพงเมืองด่านจักรพรรดิหรือไม่…’
ขณะที่เร่งเดินทางหลินสวินก็นึกถึงประสบการณ์ครั้งแรกที่มากำแพงเมืองด่านจักรพรรดิในปีนั้น
ตอนนั้นผู้เฒ่าอิ๋นของหอฤทธิ์เทพเป็นคนพาข้ามผ่านเส้นทางห้วงอากาศ ถึงสามารถไปถึงกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิได้
ตอนนั้นหลินสวินได้รู้จักสัตว์ประหลาดเฒ่ามากมาย อย่างซุ่นจี้ ฮูหยินมู่ หลิงเซียวจื่อ
เมื่อนึกถึงช่วงเวลานั้น แววตาหลินสวินก็แรกฏความทอดถอนใจเสี้ยวหนึ่ง
ตอนนั้นปราณของเขาเพิ่งอยู่ระดับอริยะแท้ ถูกเหล่ากึ่งจักรพรรดิมองเป็นคนรุ่นหลัง แต่ตอนนี้เขาเป็นมกุฎมหาจักรพรรดิที่สะเทือนไปทั่วฟ้าดารานานแล้ว
กาลเวลาแปรผัน ไม่อาจเทียบได้กับกาลก่อน!
สองวันถัดมา
พื้นที่ที่ห่างไปไกลโพ้น เส้นสีดำเส้นหนึ่งทอดตัวเป็นแนวยาวขึ้นๆ ลงๆ พาดขวางกลางฟ้าดิน ยืดยาวประหนึ่งไร้สิ้นสุด ยิ่งใหญ่ไพศาล ใหญ่จนทำให้คนมองไม่เห็นความสูงและความยาวของมัน
แต่เมื่อมองโดยละเอียดแล้ว กลับแยกได้ว่านั่นคือกำแพงเมืองที่คดเคี้ยวกลางฟ้าดินแถบหนึ่ง กว้างใหญ่หาใดเปรียบ สูงตระหง่านยิ่งยวด พาดผ่านฟ้าดิน!
แค่มองจากไกลๆ ก็ทำให้คนรู้สึกว่าเล็กจ้อย เพราะกำแพงนี้ใหญ่โตเกินไป ทั้งสี่ด้านของกำแพงยังมีดวงดาวโคจร ราวกับคงอยู่มานิรันดร์กาลหมื่นยุคจนถึงตอนนี้
ยิ่งใหญ่!
สง่างาม!
สูงตระหง่าน!
แม้แต่ดวงดาวทั้งหมดยังทำได้แค่โคจรไปรอบๆ กำแพง นี่จะต้องใหญ่โตขนาดไหนกัน
นี่ก็คือด่านตะวัน!
หนึ่งใน ‘ฐานทัพ’ จำนวนมากของกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิ!
ปีนั้นที่หลินสวินมาครั้งแรก ก็เคยถูกภาพนี้ทำเอาสั่นสะท้าน
และยามนี้เมื่อกลับมาอีกครั้ง ก็ยังคงมีความรู้สึกหวาดหวั่นอย่างอดไม่ได้เช่นเคย
กำแพงเมืองนี้สร้างโดยการรวบรวมดวงดาวนอกดินแดนด้วยฝีมือของเหล่าจักรพรรดิสมัยดึกดำบรรพ์ พาดขวางกลางฟ้าดิน ประหนึ่งปราการนิรันดร์ขวางกั้นศัตรูภายนอก
และฐานทัพยักษ์เช่นนี้ ก็มีอยู่มากมายในกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิ!
กล่าวอย่างไม่เกินจริง การที่กำแพงเมืองด่านจักรพรรดิถูกยกย่องว่าเป็น ‘ปราการฟ้าด่านแรกดินแดนรกร้างโบราณ สถานที่หยุดเท้าของจอมจักรพรรดิ’ ได้ ไม่ใช่เรื่องเหลวไหล
ยิ่งไปกว่านั้นหลินสวินก็รู้มานานแล้วว่าสมรภูมิหลักของศึกมรรคสิบทิศในสมัยดึกดำบรรพ์ ก็คือใกล้ๆ กับกำแพงเมืองด่านจักรพรรดินี้
ตอนนั้นเพื่อต้านพลังระเบียบต้องห้ามของจอมจักรพรรดิไร้นาม ไม่รู้ว่ามีมหาจักรพรรดิเท่าไหร่ที่พลีชีพหลั่งเลือดในนี้ สร้างตำนานไร้เทียมทานแห่งยุคซึ่งหลอมขึ้นมาจากโลหิตและอัคคี
และหลังจากศึกมรรคสิบทิศปิดฉากลง กำแพงเมืองด่านจักรพรรดิก็กลายเป็นแนวป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดของดินแดนรกร้างโบราณ ในช่วงเวลาหลายปีมานี้ก็ยังคงปกป้องอยู่ที่นี่ ต้านทานศัตรูแปดดินแดนที่มาจากภายนอก
หากดินแดนโบราณต้าหลัวลงมือจับซูไป๋ไปจริงๆ จะเป็นเพราะพรสวรรค์กระดูกกระบี่บนร่างของซูไป๋หรือไม่
นี่มีความเป็นไปได้จริงๆ!
“เหล่าซุ่น เร็วเข้า! การต่อสู้ใกล้จะปะทุแล้ว!” จู่ๆ เสียงเร่งเร้าดังมาจากในด่านตะวัน
ซุ่นจี้อึ้งไป เผยสีหน้าเหี้ยมเกรียมทันที “แม่งเอ๊ย นี่ไม่ทันถึงสามวัน เจ้าพวกต่างเผ่านั่นก็มาอีกแล้วรึ ยังตามหลอกหลอนไม่เลิกไม่ราจริงๆ…”
เขาหันมองหลินสวิน “สหายน้อย หรือไม่เจ้าพักที่ด่านตะวันสักหน่อยก่อน รอข้ากลับมาจากสังหารศัตรูค่อยมารำลึกความหลังกัน”
“ข้าไปกับท่านด้วย” หลินสวินกล่าว
“เจ้าน่ะรึ เกรงว่าเจ้ายังไม่รู้ชัด กำแพงเมืองด่านจักรพรรดิตอนนี้ไม่เหมือนกับเมื่อปีนั้นแล้ว เมื่อไอวิญญาณฟื้นคืน ในช่วงสิบกว่าปีมานี้ศัตรูแปดดินแดนเปิดฉากโจมตีอยู่หลายครั้ง มีระดับจักรพรรดิอยู่ในนั้นด้วย…”
ซุ่นจี้ลังเลน้อยๆ แต่กล่าวมาได้ถึงครึ่งเขาก็อึ้งไป เพราะบนร่างหลินสวินมีกลิ่นอายแห่งระดับจักรพรรดิแผ่ออกมาเงียบๆ!
“คุณสมบัติพอหรือไม่” หลินสวินแย้มถามกลับ
“พอ! เกินพอแล้ว!”
นัยน์ตาซุ่นจี้วาวโรจน์ กล่าวชื่นชมอย่างตกใจ “ข้าเฝ้าอยู่ที่นี่รบรามาไม่รู้กี่ปี เพิ่งจะคว้าโอกาสบรรลุจักรพรรดิได้เมื่อสิบกว่าปีก่อน แต่นี่เพิ่งไม่เจอกันไม่กี่ปี เจ้าหนูอย่างเจ้าถึงกับเป็นระดับจักรพรรดิคนหนึ่งไปแล้ว!”
“ไปๆๆ เวลาไม่คอยท่า ข้าจะพาเจ้าไปเปิดหูเปิดตา ว่าสมรภูมิเลือดบนกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิยิ่งใหญ่เพียงใด”
ขณะพูดเขาก็หมุนตัวพุ่งไปในด่านตะวัน
หลินสวินใคร่ครวญแล้วเก็บกู้ซีเข้าไปในสมบัติ ปราณของฝ่ายหลังเพิ่งจะระดับอริยะเท่านั้น หากถูกลูกหลงอะไรจะเป็นอันตรายได้
จากนั้นเขาถึงทะยานตามซุ่นจี้ไป
ในด่านตะวัน
บรรยากาศบีบคั้นกดดัน ในด่านกว้างใหญ่พอๆ กับโลกใบหนึ่ง เงาร่างจำนวนมากกำลังเคลื่อนไหว ล้วนพุ่งไปยังที่เดียวกัน
เงาร่างพวกนี้ต่างก็แผ่กลิ่นอายสังหารกร้าวแกร่ง มากประสบการณ์ คนที่มีพลังอ่อนด้อยที่สุดยังเป็นระดับกึ่งจักรพรรดิ
ส่วนผู้นำทัพ ถึงกับเป็นระดับจักรพรรดิสองคน เพียงแต่ไม่คุ้นหน้า หลินสวินไม่เคยเห็นมาก่อน
หลังจากซุ่นจี้แนะนำ หลินสวินถึงรู้ว่าระดับจักรพรรดิสองคนนั้น คนหนึ่งนามว่า ‘จักรพรรดิสงครามฉงอวิ๋น’ เป็นระดับจักรพรรดิขั้นสอง
อีกคนนามว่า ‘จักรพรรดิสงครามเชียนเสวี่ย’ ระดับจักรพรรดิขั้นหนึ่ง
ล้วนเป็นผู้อาวุโสที่เฝ้าอยู่ที่กำแพงเมืองด่านจักรพรรดิมาหลายปีเหมือนซุ่นจี้ และบรรลุระดับจักรพรรดิในช่วงไม่กี่สิบปีนี้เช่นกัน
และเมื่อหลินสวินถามถึงบรรดาผู้อาวุโสที่คุ้นเคยอย่างพวกฮูหยินมู่ หลิงเซียวจื่อ ซุ่นจี้กลับเผยสีหน้าเศร้าโศกหดหู่ ขอบตาแดงรื้น
เนิ่นนานเขาถึงส่ายหน้าถอนหายใจ “พวกเขาน่ะ… ล้วนล่วงหน้าไปก่อนข้ากันหมดแล้ว…”
…………………………
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์