ตอนที่ 2389 ชี้แนะด้วยวาจาและการกระทำ
เมื่อซูไป๋ตื่นขึ้นมา แวบแรกก็มองเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยดวงหนึ่ง
เขาอึ้งไป คล้ายไม่อยากเชื่อ ครู่ใหญ่กว่าจะพูดด้วยเสียงตื่นเต้น “เป็น… เป็นอาจารย์มาช่วยศิษย์หรือ”
หลินสวินพยักหน้าน้อยๆ “อาการบาดเจ็บของเจ้าสาหัสมาก ยังดีที่ไม่ได้ทำร้ายถึงฐานมรรค ครั้งนี้หลังจากกลับไปกับข้าแล้ว ก็มุ่งหน้าไปยังโลกหมื่นมรรคด้วยกันเถอะ”
ซูไป๋พยักหน้าหงึกๆ
หลายปีมานี้เขาเป็นอันดับหนึ่งในระดับมกุฎกึ่งจักรพรรดิแห่งดินแดนรกร้างโบราณนานแล้ว นิสัยเด็ดเดี่ยวและสันโดษ ได้รับการยกย่องเลื่อมใสจากผู้ฝึกปราณไม่รู้เท่าไหร่
แต่เวลานี้เมื่ออยู่ต่อหน้าหลินสวิน กลับเหมือนเด็กหนุ่มที่ทำอะไรไม่ถูก เผยสีหน้าละอายใจพูดเสียงเบาว่า “อาจารย์ เป็นศิษย์ไร้ความสามารถ ทำให้ท่านขายหน้าแล้ว…”
หลินสวินพยุงเขาลุกขึ้นจากพื้น ตบไหล่เขาเบาๆ แล้วกล่าวว่า “ในช่วงหลายปีที่ข้าจากไป เจ้าสามารถประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้ด้วยตัวเอง ทำให้ข้ารู้สึกเหนือคาดมากแล้ว จะว่าไปคนที่ควรขอโทษเจ้าคือข้าถึงจะถูก…”
เขาถอนหายใจเบาๆ
ปีนั้นหลังรับซูไป๋เป็นศิษย์ไม่นาน เขาก็รีบร้อนจากไป มุ่งหน้าสู่แหล่งสถานคุนหลุน หลายปีผ่านไปนานขนาดนี้ เขาไม่เคยให้คําแนะนําและความช่วยเหลือใดๆ แก่ซูไป๋เลย
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ซูไป๋กลับสามารถพึ่งพาพลังของตัวเอง รุดหน้าก้าวกระโดดในมรรคาได้ ทำให้หลินสวินปลื้มใจนัก ในใจก็มีความรู้สึกติดค้างอย่างเลี่ยงไม่ได้
“อาจารย์ ท่านอย่ากล่าวเช่นนี้เด็ดขาด หากไม่ได้ท่านรับข้าเป็นศิษย์แต่ต้น ข้าซูไป๋มีหรือจะมีโอกาสเหยียบย่างบนมรรคาได้”
ซูไป๋กล่าวอย่างรีบร้อน
หลินสวินยิ้ม แม้ว่าซูไป๋จะโตแล้ว ไม่ใช่เด็กหนุ่มรองเท้าฟางที่เรียบง่ายเก็บตัวในปีนั้นอีกต่อไป แต่ความสัตย์ซื่อแน่วแน่ในตัวเขากลับยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
“ไปเถอะ”
หลินสวินว่าพลางพาซูไป๋ออกจากคุกมืดมิดแห่งนี้
ในวันนี้
หอกระบี่ฟ้าถูกถล่มราบ บุคคลสำคัญระดับสูงทั้งหมดรวมถึงเจ้าสำนักฮว่าอวิ๋นตู้ถูกสังหาร เมื่อข่าวแพร่ออกไป ทั่วทั้งดินแดนโบราณต้าหลัวล้วนสั่นสะเทือน เกิดคลื่นโกลาหลครั้งใหญ่
จนกระทั่งเมื่อผู้คนมุ่งหน้ามาตรวจดู ก็เห็นเขากระบี่ผาเขียวที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์อันดับหนึ่งของดินแดนโบราณต้าหลัวพังทลายกลายเป็นซากปรักแล้ว และปราณวิญญาณที่ฝังอยู่ในภูเขาลูกนี้ล้วนถูกสูบออกไปหมด
จนถึงตอนนี้ ในที่สุดผู้คนจึงกล้ามั่นใจ ว่าสำนักกระบี่อันดับหนึ่งที่ครองอำนาจในดินแดนโบราณต้าหลัวไม่รู้กี่กาลเวลา… กลายเป็นเศษฝุ่นในประวัติศาสตร์โดยสมบูรณ์แล้ว!
ทั้งหมดนี้เป็นฝีมือใคร
ไม่มีใครล่วงรู้
และเป็นในกาลเวลาหลังจากนี้ที่ผู้คนถึงได้เข้าใจในที่สุด ว่าผู้ที่โค่นล้มหอกระบี่ฟ้าด้วยพลังตัวคนเดียวในปีนั้นเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์จากแดนใด
และหลินสวินในเวลานั้น ก็เป็นตํานานสูงสุดที่หมื่นโลกต่างยอมรับนานแล้ว!
…
คล้ายว่าเพื่อเป็นการชดเชยให้ศิษย์ฝากนามอย่างซูไป๋ หลังจากอาการบาดเจ็บของซูไป๋หายดีแล้ว หลินสวินก็ไม่ได้กลับไปที่ดินแดนรกร้างโบราณ
แต่พาซูไป๋มุ่งหน้าไปยัง ‘ดินแดนโบราณมารโลหิต’ ที่อยู่ติดกับดินแดนโบราณต้าหลัวด้วยกัน
ระหว่างทางหลินสวินไม่ได้รีบร้อนเดินทาง แต่พาซูไป๋ทัศนาจรไปตามภูผาธารา บางครั้งยังเข้าไปชมในเขตเมืองด้วย
ผู้เป็นอาจารย์ อบรมชี้แนะไขข้อสงสัยให้ศิษย์
ระหว่างทางนี้หลินสวินยังถ่ายทอดใจความหลักบางส่วนจากการฝึกปราณของตน ใช้วิธีชี้แนะด้วยวาจาและการกระทำ ให้คําแนะนำแก่ซูไป๋
ไม่ได้เร่งให้เติบโต มรรคที่เขาบรรยายล้วนเป็นการหยั่งรู้และประสบการณ์ในการฝึกปราณ นี่เป็นประโยชน์ยิ่งยวดต่อการฝึกปราณของซูไป๋ แต่ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเส้นทางมรรคกระบี่ที่เขาแสวงหา
ซูไป๋เองก็รู้ว่าโอกาสนี้ล้ำค่า ระหว่างทางขอเพียงมีการหยั่งรู้ใดๆ ล้วนจะพูดคุยถกถามกับหลินสวิน แม้ว่าปราณของตนจะไม่ได้ก้าวหน้ามากนัก แต่ความเข้าใจต่อมหามรรค และความรู้ต่อการฝึกปราณกลับลึกซึ้งยิ่งขึ้น
สิบวันต่อมา
หลินสวินและซูไป๋มาถึง ‘โพรงมารถ้ำสวรรค์’ ซึ่งเป็นอาณาเขตของสำนักมารฟ้าประทาน
ขุมอำนาจใหญ่อันดับหนึ่งในดินแดนโบราณมารโลหิตก็คือสำนักมารฟ้าประทาน ‘เซวี่ยชิงอี’ หนึ่งในแปดยอดนภาครามที่หลินสวินพบเจอในสมรภูมิเก้าดินแดนในปีนั้นก็มาจากสำนักนี้
สำนักมารฟ้าประทานเป็นนายเหนือหัวอันดับหนึ่งในดินแดนโบราณมารโลหิตเช่นเดียวกับหอกระบี่ฟ้า
หลังจากสั่งสอนด้วยคําพูดแล้ว ก็เป็นการทำให้ดูเป็นตัวอย่าง
เมื่อมาถึงสำนักมารฟ้าประทาน ในที่สุดซูไป๋ก็ได้เห็นว่าพลังต่อสู้ของอาจารย์คนนี้ของตนน่ากลัวแค่ไหน
เพียงครู่เดียวเท่านั้น โพรงมารถ้ำสวรรค์ที่ป้องกันแน่นหนาแห่งนั้นก็ถูกถล่มกระจุยกลายเป็นซากปรักหักพัง คนใหญ่คนโตระดับสูงทั้งหมดในสำนักมารฟ้าประทานถูกฆ่าตายเพียงชั่วดีดนิ้วราวกับเด็ดวัชพืช!
จนกระทั่งหลินสวินกลับมา ซูไป๋ยังคงมึนงง นี่ก็เร็วเกินไปหน่อยแล้ว ไม่เหมือนไปถล่มขุมอำนาจที่เป็นนายเหนือหัวแห่งดินแดนหนึ่งเลย แต่เหมือนไปเดินเล่นตามอัธยาศัยมากกว่า…
และในวันนี้ ซูไป๋ก็ได้สัมผัสถึงความหมายของคำว่า ‘ทำให้ดูเป็นตัวอย่าง’ แล้ว
เมื่อเผชิญหน้ากับพลังต่อสู้ชั้นเลิศ ขุมอำนาจอันดับหนึ่งอะไร นายเหนือหัวแห่งดินแดนอะไร ก็เป็นเพียงไก่ดินเผาสุนัขกระเบื้อง สิ้นท่าในการโจมตีเดียว!
และในวันนี้ หลินสวินก็ถามซูไป๋คําถามหนึ่งว่า “เจ้าคิดว่าการที่ข้าถล่มสำนักมารฟ้าประทานครั้งนี้ไม่เหมาะสมหรือไม่”
ซูไป๋อึ้งไป ครุ่นคิดอยู่นานแล้วเอ่ยว่า “อาจารย์ย่อมมีเหตุผลในการลงมือแน่นอน”
หลินสวินส่ายหน้า “เรื่องฆ่าคน ทุกคนล้วนมีเหตุผลที่แตกต่างกัน แต่จะแยกแยะได้อย่างไรว่าเหตุผลนี้เป็นการฆ่าผู้บริสุทธิ์หรือเป็นการฆ่าที่สมเหตุสมผลกันแน่”
ซูไป๋ครุ่นคิดอย่างหนัก จนกระทั่งเนิ่นนานถึงเอ่ยว่า “ถ้าอยู่ในโลกปุถุชน เรื่องการฆ่าคนยังมีกฎหมายบังคับอยู่ แต่ในโลกของผู้ฝึกปราณ เรื่องการเข่นฆ่ากลับจะยึดผู้แข็งแกร่งเป็นประมุข ทั่วหล้ากว้างใหญ่ ไม่มีข้อผูกมัด”
“ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ พวกเราต่อสู้เข่นฆ่ากัน ย่อมทำไปเพื่อปกป้องรักษาชีวิตตัวเอง ปกป้องญาติมิตรของตัวเองเป็นบรรทัดฐาน เช่นนี้ก็ไม่ถือว่าฆ่าคนบริสุทธิ์”
หลินสวินพยักหน้า “นี่คือบรรทัดฐาน แต่ไม่ใช่เหตุผล อันที่จริงก็เป็นอย่างที่เจ้าพูด ในโลกที่ผู้ฝึกปราณขวักไขว่นี้ ยากจะกําหนดความดีชั่วในการเข่นฆ่าได้”
ซูไป๋โพล่งขึ้นมาว่า “ในโลกนี้มีผู้ฝึกปราณมากมาย ความคิดเห็นของแต่ละคนย่อมไม่เหมือนกัน ตามความเห็นของศิษย์ พวกเราทำสิ่งใด แค่ถามใจแล้วไม่ละอายก็พอ”
หลินซวินยิ้มแล้วพูดว่า “ถามใจแล้วไม่ละอาย… นั่นยากมาก บางครั้งถึงขั้นยากกว่าแสวงหามหามรรคด้วยซ้ำ”
ซูไป๋กล่าวว่า “ถ้าถามใจแล้วละอาย ก็อย่าได้หมายเอามหามรรคก็พอ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์