เมื่อมองออกไปไกลๆ ก็เห็นเงาร่างสีดำสายหนึ่งเคลื่อนตัวอยู่บนท้องฟ้าสูงหลายร้อยจั้ง ไอชั่วร้ายโหมกระหน่ำไปทั้งตัว กลิ่นคาวเลือดล้นฟ้าแผ่อบอวล
เขาถือธงศึกสีเลือดขาดวิ่นธงหนึ่ง ธงศึกแผ่สยาย มีสุริยันจันทราดาราแดงก่ำดั่งโลหิตปรากฏ สะเทือนจนท้องนภาปั่นป่วน
ขณะโบกมือ ระดับจักรพรรดิบางส่วนที่หนีไม่ทันถูกม้วนกลืนเข้าไปในธงศึกสีเลือดนั้น ร่างกายพังทลายเน่าเปื่อยในพริบตา สลายกลายเป็นธุลี
เมื่อมองธงศึกสีเลือดนั้นอีกครั้ง มันเหมือนกลืนกินของบำรุงอย่างดีเข้าไป แผ่แสงแดงก่ำที่ดูแปลกหาใดเปรียบ ย้อมฟ้าดินแถบนั้นจนกลายเป็นสีแดง
นี่คือลานสังหาร เป็นเขตผนึกของวิญญาณร้ายระดับบรรพจารย์ตัวหนึ่ง คนนอกห้ามก้าวล่วง!
ไม่นานสถานที่นี้ก็เงียบสงบลง
เงาร่างสีดำสูงหลายร้อยจั้งนั้นอ้าปากสูดกลืน ธงศึกสีเลือดก็กลายเป็นแสงรุ้งสายหนึ่งโฉบเข้าไปในร่างของมัน
จากนั้นเงาร่างสีดำกลายเป็นหมอกควันโหมกระหน่ำ หายไปในยอดเขามหึมาแถบหนึ่ง
“แข็งแกร่งเกินไปแล้วกระมัง” เวลานี้เยวี่ยตู๋ชิวที่เห็นภาพทุกอย่างอยู่ในสายตาสูดหายใจเย็นเยียบอย่างอดไม่ได้ สีหน้าจริงจังหาใดเปรียบ
วิญญาณร้ายตัวหนึ่งกลับครอบครองอาวุธประหลาด ปลิดชีพเหล่าจักรพรรดิ!
“ลือกันว่าวิญญาณร้ายที่จำศีลอยู่ในโบราณสถานมหามรรคนี้ เป็นสิ่งที่วิวัฒน์มาจากซากศพของยอดผู้แข็งแกร่งยุคก่อน ยุคก่อนดับสิ้นไปแล้ว แต่ซากศพพวกนี้กลับไม่ถูกทำลาย แค่คิดก็รู้แล้วว่าตอนที่ยอดผู้แข็งแกร่งพวกนี้มีชีวิตจะน่ากลัวระดับใด”
เซี่ยงเสี่ยวหยวนกล่าว “แต่ซากศพพวกนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกาลเวลาไร้สิ้นสุด จึงกลายเป็นวิญญาณร้ายครึ่งคนครึ่งผีเช่นนี้”
จากนั้นนางก็ขมวดคิ้ว “พี่หลิน ตามการชี้นำของแผนภาพลับ ถ้าอยากไปถึงแดนแห่งวาสนานั้น จำเป็นต้องผ่านยอดเขาที่วิญญาณร้ายระดับบรรพจารย์นั่นซ่อนตัว ภายในนั้นมีประตูห้วงอากาศบานหนึ่ง มีเพียงเข้าไปในนั้นจึงจะไปต่อได้”
หลินสวินคิดดูครู่หนึ่งแล้วกล่าวตรงไปตรงมา “ข้าเบิกทางเอง พวกเจ้าสองคนช่วยเป็นกองหนุนให้ข้า”
“นี่…”
เซี่ยงเสี่ยวหยวนกับเยวี่ยตู๋ชิวต่างอึ้งไป
“อย่าลืมสิ ไม่กี่วันก่อนข้าถูกเฒ่าชราระดับบรรพจารย์สามคนล้อมโจมตีก็ยังไม่เป็นไร” หลินสวินพูดพลางเคลื่อนที่ไปยังยอดเขาลูกนั้นก่อน
“ช่างเถอะ ก็ทำตามที่พี่หลินบอกแล้วกัน ถึงตอนนั้นขอเพียงเห็นท่าไม่ดีค่อยใช้ไพ่ตายทันที” นัยน์ตาเซี่ยงเสี่ยวหยวนฉายแววตัดสินใจ
เยวี่ยตู๋ชิวก็พยักหน้าน้อยๆ
ยอดเขามหึมา หมอกสีดำอบอวล แต่ขณะเดียวกันก็มีกลิ่นอายมหามรรคเข้มข้นหาใดเทียบอัดแน่น เหมือนแดนสมบัติมหามรรคที่ถูกไอชั่วร้ายบดบังแห่งหนึ่ง
ยังเห็นโอสถโบราณที่อัศจรรย์หายากหลายต้นหยั่งรากลงในซอกหินบนเทือกเขาเป็นครั้งคราว ดูดกลืนแสงพิสุทธิ์ รัศมีมรรคไหลวน น่าเย้ายวนหาใดเปรียบ
ก่อนหน้านี้เห็นชัดว่าระดับจักรพรรดิพวกนั้นถูกโอสถโบราณพวกนี้ดึงดูด แต่ผลลัพธ์กลับเป็นการล่อวิญญาณร้ายระดับบรรพจารย์ตัวนั้นออกมา
ไม่จำเป็นต้องสงสัย วิญญาณร้ายระดับบรรพจารย์นั่นต้องเป็นราชันของอาณาเขตนี้แน่ ไม่เหมือนวิญญาณร้ายทั่วไป พลังของมันแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง!
เมื่อหลินสวินเข้ามาใกล้
ตูม!
เสียงกัมปนาทราวฟ้าพลิกดินตลบพลันดังขึ้น เงาร่างวิญญาณร้ายสีดำที่สูงหลายร้อยจั้งนั้นปรากฏตัวอีกครั้ง มือถือธงสีเลือดขนาดใหญ่ไว้ผืนหนึ่ง
แต่ตอนนี้เมื่อเห็นหลินสวินที่เข้ามาใกล้ วิญญาณร้ายระดับบรรพจารย์นี้คล้ายอกสั่นขวัญแขวน รู้สึกเหมือนถูกเทพองค์หนึ่งจับจ้อง หนาวสะท้านไปทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า
นี่คือเรื่องที่ไม่เคยมีมาก่อน!
“หยุด!”
วิญญาณร้ายระดับบรรพจารย์นี้เอ่ยปากอย่างพบเห็นได้น้อยครั้งนัก เสียงแหบแห้งเยียบเย็นเหมือนดังมาจากนรก ไอชั่วร้ายรอบตัวมันม้วนซัด อานุภาพชวนประหวั่นอบอวล ปิดฟ้าคลุมตะวัน
โดยเฉพาะธงสีเลือดในมือที่แม้จะขาดวิ่นแต่กลับปลดปล่อยกลิ่นอายราวกับจะทลายฟ้ามลายดิน ในความรางเลือนมีเสียงเหมือนทวนทองม้าเหล็ก เทพมารคำรามดังออกมา
นัยน์ตาดำของหลินสวินลุ่มลึก ริมฝีปากขยับพูดออกมาสองคำเบาๆ “หลีกไป!”
เคร้ง!
เตากระบี่ไร้ก้นบึ้งปรากฏออกมา ลอยคว้างอยู่เหนือศีรษะหลินสวิน แสงมรรคนับหมื่นแสนไหลวน อาบไล้เงาร่างสูงตระหง่านของเขาไว้ภายใน
วิญญาณร้ายระดับบรรพจารย์เงียบไป ร่างสูงหลายร้อยจั้งมีแสงโลหิตน่ากลัวหลากสายหลั่งชโลม อานุภาพชวนสะพรึงยิ่งกว่าเดิมแล้ว แต่ส่วนลึกในใจมันกลับเต็มไปด้วยความหวาดกลัวอย่างน่าประหลาด
มันจำศีลอยู่ที่นี่มานานปี เคยเจอผู้เข้าร่วมการทดสอบบุกเข้ามานับไม่ถ้วน ทั้งเคยกลืนกินพวกอวดตัวว่าไม่ธรรมดาไปมากมาย
แต่เพิ่งเคยรู้สึกถึงภัยคุกคามร้ายแรงเป็นครั้งแรก!
คนผู้นั้นเหินห้วงอากาศมาแต่ไกล รูปร่างผอมบาง ผมดำสยาย นัยน์ตาล้ำลึก สง่างามราวกับเซียน แต่ในร่างสูงโปร่งนั้นเหมือนแฝงพลังที่หล่อหลอมจักรวาลได้ ทำให้มันหวาดหวั่นขึ้นมาเป็นพักๆ
หลินสวินในตอนนี้ดูเหมือนเงียบสงบ ท่าทางผ่อนคลาย สันโดษปลีกวิเวก แต่กลับสร้างแรงกดดันให้มันอย่างมาก
ผิดปกติเกินไปแล้ว!
ขณะเดียวกันหลินสวินก็สังเกตเห็นความไม่ชอบมาพากลของวิญญาณร้ายระดับบรรพจารย์ตัวนี้ เขาเลิกคิ้วอย่างอดไม่ได้ ส่งสัญญาณบอกเซี่ยงเสี่ยวหยวนกับเยวี่ยตู๋ชิวที่อยู่ข้างกายว่าไม่ต้องลงมือ
จากนั้นเขาจึงเอ่ยว่า “เจ้ากำลังกลัวอะไร”
“เจ้า… มาจากแดนนรกหรือ” วิญญาณร้ายระดับบรรพจารย์นั้นเงียบไปครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าว
ประโยคเดียวทำให้นัยน์ตาดำของหลินสวินฉายแววประหลาดวูบหนึ่ง หรือเป็นเพราะพลังมหามรรคนรกที่ตนครอบครอง ทำให้วิญญาณร้ายระดับบรรพจารย์นี้รู้สึกว่าอันตรายโดยสัญชาตญาณ
“ไม่ผิด” หลินสวินพยักหน้า
เซี่ยงเสี่ยวหยวนกับเยวี่ยตู๋ชิวล้วนอึ้งไป จากนั้นก็เข้าใจ เป็นไปได้สูงว่าหลินสวินกำลังหลอกอีกฝ่าย
แต่ใครจะคิดว่าครู่ต่อมาวิญญาณร้ายระดับบรรพจารย์นั่นกลับส่งเสียงคำรามเยียบเย็น “นรกดับสิ้นแล้ว แดนนรกไม่คงอยู่ เจ้ายังคิดจะหลอกข้า ปล่อยเจ้าไว้ไม่ได้!”
ตูม!
มันสะบัดธงสีเลือด พุ่งโจมตีใส่หลินสวิน
พริบตานี้ฟ้าดินราวกับถูกบดบัง แสงโลหิตแดงก่ำชวนประหวั่นปกคลุม สุริยันจันทราดาราปรากฏ ทั้งหมดเหมือนอาบเลือดมา ครอบคลุมไปทางพวกหลินสวิน คล้ายจะม้วนกลืนพวกเขาทั้งหมดเข้าไปในนั้น
ก่อนหน้านี้พวกหลินสวินเคยเห็นอานุภาพนั้นมาก่อน มีหรือจะกล้าประมาท
ก็เห็นหลินสวินกระตุ้นเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งทันที ส่องประกายสว่างไสว ก่อให้เกิดละอองแสงมหามรรคไร้สิ้นสุดพุ่งโฉบออกไป
เขาไม่กล้าประมาท ใช้ความสามารถทั้งหมด ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นวิญญาณร้ายตนหนึ่งที่ทัดเทียมบรรพจารย์จักรพรรดิ น่ากลัวหาใดเปรียบ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์