ส่วนชิงเหมิ่งกับชายชุดดำสุ่ยฉางจิ้งก็เป็นอัจฉริยะที่ฉีหลิงอวิ๋นเลือก
จากคำพูดของหลิ่วเซียงเชวีย ชิงเหมิ่งกับสุ่ยฉางจิ้งต่างมาจากโลกยอดนิรันดร์ โดยเฉพาะสุ่ยฉางจิ้งยังเป็นบุคคลแห่งยุคคนหนึ่งที่มาจากน่านฟ้าที่หกด้วย
ทั้งสองล้วนฝึกในเมืองจรดฟ้ามาหลายสิบปี ทิ้งชื่อไว้บนกระดานเร้นลับ เป็นที่จับตามองอย่างยิ่ง ถูกขุมอำนาจใหญ่ในน่านฟ้าที่เจ็ดมากมายหมายตา
แต่ทั้งสองล้วนปฏิเสธ
กระทั่งมาถึงศึกครองสังเวียนด่านแรกของโบราณสถานทวยเทพนี้ หลังจากทั้งสองทยอยได้ชัยชนะ ถึงถูกฉีหลิงอวิ๋นชวนมาอยู่ข้างกาย
การได้เข้าไปฝึกปราณในน่านฟ้าที่แปด แน่นอนว่าทั้งสองยินดีเป็นอย่างยิ่ง ยามปฏิบัติตัวกับฉีหลิงอวิ๋นก็ดูเคารพนบนอบมาก
เมื่อรู้เรื่องพวกนี้หลินสวินจึงเข้าใจขึ้นมา ว่ากันตามจริงชิงเหมิ่งกับสุ่ยฉางจิ้งก็เป็นแค่ผู้มีความสามารถที่ฉีหลิงอวิ๋นนั่นหมายตาเท่านั้น
หลินสวินยังมีอีกเรื่องที่ไม่เข้าใจ “ด้วยฝีมือของชิงเหมิ่งนั่น มีหรือจะซัดผู้อาวุโสจนเป็นเช่นนี้ได้”
เซี่ยงเสี่ยวหยวนกล่าวอยู่ด้านข้าง “ชิงเหมิ่งไม่มีความสามารถเช่นนี้ เป็นลิ่นเฟิงนั่นลงมือก่อน โจมตีท่านลุงของข้าจนบาดเจ็บสาหัสแล้วถึงให้ชิงเหมิ่งนั่นฉวยโอกาส”
เซี่ยงเสี่ยวหยวนพูดถึงชิงเหมิ่งแล้วหว่างคิ้วฉายแววเกลียดชังวูบหนึ่ง “ภัยพิบัติครานี้เกิดขึ้นเพราะคนผู้นี้ชักนำมาทั้งสิ้น เขามองฐานะของข้ากับท่านลุงออก บอกว่าแค่จับตัวพวกเราก็บีบให้พี่หลินปรากฏตัวได้ ถึงตอนนั้นก็จะได้ดูว่าพี่หลินแข็งแกร่งเหมือนในข่าวลือหรือไม่กันแน่”
“เมื่อเอ่ยปากออกมาก็ดึงดูดความสนใจของฉีหลิงอวิ๋นนั่น จนกระทั่ง…”
พูดไม่ทันจบ แต่ความนัยเปิดเผยชัดเจนแล้ว
“ชิงเหมิ่งนี่อาจเป็นตัวการ แต่ฉีหลิงอวิ๋นคนนี้ก็เกี่ยวข้อง ไม่ว่าอย่างไรสุดท้ายแล้วก็เป็นเพราะข้า”
นัยน์ตาดำของหลินสวินเยียบเย็นจนน่ากลัว
“พี่หลิน เจ้าอย่าไปสู้กับผู้หญิงคนนั้นเด็ดขาด พยายามอย่าหาเรื่องคนพวกนั้นดีกว่า” เซี่ยงเสี่ยวหยวนรีบร้อนกล่าว
“ไม่ผิด ตระกูลฉีอยู่สูงถึงน่านฟ้าที่แปด อิทธิพลยิ่งใหญ่สามารถปกคลุมน่านฟ้ามากมายในโลกยอดนิรันดร์ ตอนนี้สหายน้อยเดินทางตัวคนเดียว ไม่คุ้มที่จะไปแตกหักกับอีกฝ่ายจริงๆ” หลิ่วเซียงเชวียก็ห้ามปราม
หลินสวินพยักหน้าพลางยิ้มกล่าว “ท่านทั้งสองโปรดวางใจและรักษาบาดแผลก่อน ข้ารู้ตัวดี”
แต่ในใจคิดอย่างไรนั้น เซี่ยงเสี่ยวหยวนกับหลิ่วเซียงเชวียก็เดาไม่ออก
ในเวลาต่อมาทั้งสองเริ่มสงบจิตรักษาบาดแผล ส่วนหลินสวินก็เดินเล่นใกล้ทะเลสาบแห่งนี้
นี่เป็นวันที่สามของการล่าสัตว์แล้ว
อีกไม่กี่ชั่วยามด่านนี้ก็จะปิดฉาก
หลินสวินไม่จำเป็นต้องเดาก็รู้ว่า ยิ่งเป็นเวลานี้ การเข่นฆ่าและต่อสู้ที่เกิดขึ้นในแดนเซียนว่างเปล่านี้ยิ่งคลุ้มคลั่ง
แต่เรื่องพวกนี้ไม่ส่งผลต่อหลินสวินแล้ว
ทั้งเขายังไม่คิดจะล่าอีก มาถึงตอนนี้ แค่ผลงานการต่อสู้ที่สะสมอยู่บนป้ายยืนยันนั่นก็มีถึงสี่สิบสามสายแล้ว
กวาดสายตามองทั่วแดนเซียนว่างเปล่า เกรงว่าคงมีไม่กี่คนที่เทียบได้!
สิ่งเดียวที่เสียดาย อาจเป็นการที่ไม่อาจฉวยโอกาสนี้กำจัดผู้แข็งแกร่งของสองขุมอำนาจใหญ่อย่างตระกูลกู้และตระกูลอวิ๋นได้
กาลเวลาล่วงเลย
ระหว่างนี้มีผู้ฝึกปราณที่ฆ่าคนจนตาแดงก่ำไม่น้อยผ่านมาทางนี้ เมื่อเห็นหลิ่วเซียงเชวียกับเซี่ยงเสี่ยวหยวนที่กำลังนั่งสมาธิรักษาบาดแผล เดิมก็ท่าทีเหิมเกริม คิดจะจับเหยื่อ
แต่เมื่อเห็นเงาร่างสูงตระหง่านที่เดินเล่นริมทะเลสาบนั้นก็ขนพองสยองเกล้า หันหัวจากไปทันใด ไม่กล้าล่าช้าแม้แต่น้อย กระทั่งแน่ใจว่าเงาร่างนั้นไม่ได้ตามมา พวกเขาก็รู้สึกว่าโชคดีที่รอดพ้นเคราะห์ร้ายอย่างอดไม่ได้
แดนเซียนว่างเปล่าในตอนนี้ ใครเล่าไม่รู้ผลงานที่ทั้งนองเลือดและแข็งแกร่งนั้นของหลินสวิน
พูดอย่างไม่เกินจริง ในสายตาผู้ฝึกปราณพวกนั้นคล้ายมองหลินสวินเป็นตัวอันตรายอันดับหนึ่ง ขอเพียงไม่โง่ก็ไม่มีสักคนยินดีไปปะทะกับหลินสวินซึ่งหน้า
นี่ก็คืออานุภาพของการบุกสังหาร
กระทั่งรัตติกาลปรากฏบนเวิ้งฟ้าของแดนเซียนว่างเปล่า ผู้แข็งแกร่งที่กระจายอยู่ในบริเวณต่างๆ ล้วนเป่าปากโล่งอกพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
นี่หมายความว่าเวลาสามวันผ่านไป การล่าสัตว์ด่านที่สองสิ้นสุดแล้ว!
“ในที่สุดก็จบแล้ว…” สายตาหลินสวินมองไปทางเซี่ยงเสี่ยวหยวนกับหลิ่วเซียงเชวียพลางกล่าว “ท่านทั้งสอง ด่านที่สามศึกชิงบัลลังก์มาแล้ว ข้าคนแซ่หลินขอล่วงหน้าไปก่อน!”
เสียงเพิ่งสิ้นสุด แสงเซียนสีเงินดุจประกายดาราสายหนึ่งโน้มลงมาจากเวิ้งฟ้า ห่อหุ้มตัวหลินสวินไว้แล้วหายไปจากจุดเดิม
เงาร่างของหลิ่วเซียงเชวียกับเซี่ยงเสี่ยวหยวนก็ถูกแสงเซียนสีเงินสองสายอาบไล้ และหายลับไปในพริบตานี้เช่นกัน
…
ยังคงอยู่บนแท่นมรรคแห่งนั้น ร่างของหลินสวินปรากฏตัวกลางอากาศ
พื้นที่โล่งกว้างใหญ่ไพศาล อบอวลด้วยหมอกเซียนสีขาว แต่ที่แห่งนี้ไม่มี ‘ตำรามรรคต้นกำเนิด’ ซึ่งแผ่ออกเป็นแผนภาพแล้ว
วู้ม…
ป้ายยืนยันที่บันทึกผลงานรบมากมายในตัวเขาพุ่งออกมา สั่นสะเทือนครวญคร่ำกลางอากาศ คล้ายกำลังสัมผัสและเรียกหาอะไรบางอย่าง
หลินสวินกลั้นหายใจจดจ่อ สงบใจเฝ้ารอ
เหมือนการครองสังเวียนในด่านแรก หลังจากการล่าสัตว์ด่านสองสิ้นสุด ผู้ที่ได้ผลงานการต่อสู้สูงก็ยิ่งได้รางวัลมากมาย
ฟุ่บ!
ไม่นานแสงเซียนสีม่วงที่เจิดจรัสหาใดเปรียบสายหนึ่งก็พุ่งออกมาจากหมอกควันขาวโพลนนั่น หมุนวนกลางอากาศแล้วเปลี่ยนเป็นกระบี่เซียนสีม่วงกระจ่างแวววาวเล่มหนึ่ง
กระบี่นี้ขนาดประมาณฝ่ามือเท่านั้น กว้างสองนิ้วมือ คมกระบี่เปล่งประกายพร่างพราวราวกับผลึก บนตัวกระบี่สลักอักษรเซียนที่เต็มไปด้วยความน่าเกรงขามยิ่งใหญ่ไว้สองคำ…
ยอดเซียน!
แต่เมื่อมองโดยละเอียด กระบี่นี้กลับถูกผนึกมรรคเซียนลึกลับผนึกไว้เป็นชั้นๆ กระทั่งกลิ่นอายที่แผ่ออกมาเต็มไปด้วยความเร้นลับ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์