ตอนที่ 2567 ทำหน้าที่แทนอาจารย์
ตั้งแต่ตอนอยู่ตำหนักเซียนใจกลาง หลินสวินก็สังเกตเห็นแล้วว่ายามเผชิญการโจมตีขนาบของระดับอมตะทั้งสี่ ศิษย์พี่สี่หลิงเสวียนจื่อเห็นชัดว่าได้เปรียบ
ถึงแม้หลินสวินไม่สามารถเข้าใจพลังของระดับอมตะ แต่มีประสบการณ์ต่อสู้อยู่ มีหรือจะไม่รู้ว่าหากเอาจริง การต่อสู้ครั้งนี้เกรงว่าคงจะสิ้นสุดไปนานแล้ว
แต่การต่อสู้กลับยังดำเนินต่อไปไม่จบสิ้น…
ปากหลิงเสวียนจื่อบอกว่าจะหยิบยกโอกาสนี้มาชี้แนะให้เขา ทำให้เขาสัมผัสพลังของระดับอมตะ แต่หลินสวินกลับไม่อาจไม่สงสัยว่าศิษย์พี่สี่คนนี้ของตนกำลังใช้โอกาสนี้มาสั่งสอนตนอยู่หรือไม่
หากเป็นเช่นนี้หลินสวินก็จะทนเอา ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้เขาก็วางอุบายหลิงเสวียนจื่ออย่างไม่ถูกไม่ควร
แต่สิ่งสำคัญคือ ตอนนี้สู้กันมาจนถึงกลางจักรวาลแล้ว ไม่มีการกำบังของโบราณสถานทวยเทพ ทุกสิ่งล้วนปรากฏแก่สายตาผู้ฝึกปราณที่อยู่ในที่นี้ทั้งหมด
ถ้ามีพวกร้ายกาจบางส่วนพุ่งออกมาในเวลานี้ มีแต่จะทำให้สถานการณ์เปลี่ยนเป็นเหนือการควบคุมมากขึ้น!
หลิงเสวียนจื่อก็คล้ายตระหนักได้เช่นกันว่าอารมณ์หลินสวินย่ำแย่มาก จึงกล่าวกลั้วหัวเราะ “เอาล่ะๆ ข้าจะช่วยศิษย์น้องกำจัดศัตรูตัวฉกาจเดี๋ยวนี้แหละ!”
ว่าจบนัยน์ตาเขาดุจสายฟ้า กวาดมองพวกหนานเฟยตู้สี่คนแล้วเอ่ยเสียงกังวาน
“ทุกท่าน เรื่องเอะอะครั้งนี้ควรยุติได้แล้ว ศิษย์น้องเล็กของข้าไม่มีความอดทนฟังข้าชี้แนะแล้ว ช่วยไม่ได้ ข้าหลิงเสวียนจื่อได้แต่ส่งทุกท่านไปตามทางแล้ว”
เสียงดุจระฆังเช้ากลองยามค่ำ ดังก้องทั่วจักรวาลแถบนี้
ผู้ที่ชมการต่อสู้อยู่ไกลๆ ล้วนเผยสีหน้าตะลึงอึ้งค้าง
ศิษย์น้องเล็กหรือ
เบื้องหลังคนร้ายกาจแซ่หลินถึงกับมีสำนักหนึ่งหนุนอยู่หรือ
ศิษย์พี่ของเขายังเป็นระดับอมตะ เช่นนั้นอาจารย์ของเขา… จะแข็งแกร่งปานใดกัน
ข่าวนี้ราวกับพายุคลั่ง ซัดโหมสภาวะจิตของผู้คน เรียกเสียงฮือฮาและความโกลาหลในที่นั้นขึ้น
มีเพียงคนจากสี่ตระกูลตงหวงอย่างพวกกู้ปั้นจวง อวิ๋นลั่วหงที่ดูเยือกเย็นที่สุด เพราะพวกเขารู้แต่แรกแล้วว่าหลินสวินเป็นผู้สืบทอดคีรีดวงกมล
เพียงแต่กระทั่งพวกเขายังไม่รู้ว่าตอนนี้เวลานี้ ดันมีผู้สืบทอดคีรีดวงกมลที่น่าพรั่นพรึงถึงขั้นสามารถต้านระดับอมตะสี่คนได้อย่างหลิงเสวียนจื่อโผล่มา
นี่อยู่เหนือการคาดเดาของพวกเขาโดยสิ้นเชิง
ตูม!
และขณะที่ทุกคนกำลังตกใจและสงสัย ในสนามรบไกลๆ อานุภาพของหลิงเสวียนจื่อก็เปลี่ยนไปทันควัน เงาร่างที่แต่เดิมหล่อเหลาราวเด็กหนุ่มถึงกับทะลักอานุภาพเกรียงไกรออกมา
ฮูม…
แสงเขียวเป็นสายๆ ควบรวม แปลงเป็นแท่นบัวสีเขียวสามสิบหกชั้นแท่นหนึ่ง เรืองแสงสว่างไสวในจักรวาล ก่อเกิดภาพอัศจรรย์ไร้สิ้นสุด
หลิงเสวียนจื่อยืนตระหง่านอยู่บนนั้น มือหนึ่งถือแส้หางม้า อีกมือรองเจดีย์ไร้สิ้นสุด ดุจดั่งเทพศักดิ์สิทธิ์ที่ยืนอยู่เหนือเก้าสวรรค์ ให้ความรู้สึกแกร่งกล้าเกินเอื้อม สูงเกินป่ายปีน
พริบตานี้พวกหนานเฟยตู้ที่ต่อสู้จนตาแดงก่ำล้วนเย็นวาบไปทั่วร่าง หน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย สัมผัสได้ถึงความไม่เข้าที
เพราะหลิงเสวียนจื่อราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน กลิ่นอายที่ปลดปล่อยออกจากร่างทำให้พวกเขาล้วนรู้สึกถึงอันตรายที่เสียดแทงกระดูกระลอกหนึ่ง
“เวลานี้ขืนยังเก็บซ่อนต่อไป เกรงว่าจะมีภัยมากกว่าโชคแล้ว” หนานเฟยตู้สีหน้าอึมครึมยิ่ง
“เช่นนั้นก็ใช้ไพ่ตายของแต่ละคน สังหารตัวเกะกะนี่ซะ!”
อวิ๋นจิ่วเวยตะโกนลั่น
ขณะพูดเขาโบกแขนเสื้อคราหนึ่ง รุ้งเทพเจิดจ้างดงามสายหนึ่งพุ่งขึ้น แปรสภาพเป็นดาบบินห้าสีเล่มหนึ่ง ส่องแสงเจิดจ้าอยู่กลางอากาศ แสงห้าธาตุไหลหลั่ง
พลังระเบียบบาดตาเป็นริ้วๆ สาดออกมาจากคมประกายดาบบิน ลำพังแค่กลิ่นอายที่ปลดปล่อยออกมาก็ทำให้ฟ้าดาราแถบนี้สั่นโคลง ห้วงอากาศใกล้เคียงล้วนถูกกรีดแหวกเป็นรอยแยกนับไม่ถ้วน สยดสยองน่าตกใจ
ดาบห้าเร้นฟันวิญญาณ!
สมบัติลับที่ประทับกลิ่นอายระเบียบ ภายในบรรจุแก่นของต้นกำเนิดห้าธาตุ ขนาดราวฝ่ามือ แต่แค่โจมตีเบาๆ ก็สามารถแหวกพลังระเบียบที่ปกคลุมโลกใบหนึ่งได้ น่าพรั่นพรึงไร้ขอบเขต
“ฟัน!”
อวิ๋นจิ่วเวยตะโกนลั่น ดาบบินห้าสีพุ่งออกมา มองจากไกลๆ ประดุจแสงที่กรีดแหวกจักรวาลสายหนึ่ง ปลดปล่อยอานุภาพทำลายล้างได้ทุกสิ่งออกมา
ดวงตาของผู้ฝึกปราณที่อยู่ห่างไปไกลล้วนเจ็บแปลบ จิตวิญญาณสะเทือนไหว แม้จะอยู่ห่างไกลลิบก็ยังรู้สึกหวาดกลัวราวกับมีคมดาบจ่อคอ
จากนั้นภาพที่ทำให้คนหนังศีรษะชาวาบพลันปรากฏ
ดาบบินห้าสีเพิ่งมาถึงหน้าแท่นบัวสีเขียวสามสิบหกชั้นนั้น ก็ถูกกลีบดอกสีเขียวที่เหมือนควบรวมขึ้นจากละอองแสงขวางเอาไว้ กักขังอยู่ตรงนั้น ไม่ว่าจะดิ้นรนอย่างไรก็ไม่สามารถหลุดไปได้
ก็เห็นหลิงเสวียนจื่อยื่นมือออกไปคว้า ดาบบินห้าสีเล่มนี้ตกสู่กลางฝ่ามือเขา ปลายนิ้วบดขยี้เบาๆ สมบัติที่ถูกอวิ๋นจิ่วเวยมองเป็นไพ่ตายชิ้นนี้ก็แตกเป็นเสี่ยงๆ กลายเป็นละอองแสงร่วงโปรยปราย ปลิวออกจากง่ามนิ้วมือหลิงเสวียนจื่อ
พรูด!
สมบัติถูกทำลาย ทำให้อวิ๋นจิ่วเวยพลอยโดนผลกระทบไปด้วย กระอักเลือดออกมาโดยพลัน เขาหน้าเปลี่ยนสีอย่างที่สุด แววตาเต็มไปด้วยความพรั่นพรึง
“ไป!”
ไกลออกไปทันทีที่หลิงเสวียนจื่อชูมือขึ้น เจดีย์ไร้สิ้นสุดเหินทะยานและอันตรธานหายไปในอากาศ
ไม่รอให้ทุกคนตอบสนองก็ได้ยินเสียงหนักทึบดังขึ้นคราหนึ่ง เจดีย์ไร้สิ้นสุดถึงกับปรากฏอยู่บนอากาศเหนือศีรษะอวิ๋นจิ่วเวยอย่างคาดไม่ถึง ก่อนจะกดกำราบลงไป ตัวเจดีย์เรียบง่ายเก่าแก่ราวกับหล่อขึ้นจากทองเทพ ปลดปล่อยกระแสมหามรรคบาดตาออกมา แผ่ครอบไปยังร่างของอวิ๋นจิ่วเวย
ไม่ใช่อวิ๋นจิ่วเวยไม่อยากถอยหนี หากแต่ห้วงอากาศใกล้เคียงล้วนถูกคุมขัง ดุจดั่งกรงขึงมหามรรค ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้สักนิด!
เขาเดือดดาลจนตาถลน เร่งกระตุ้นมรรควิถีอมตะในตัวสุดกำลัง แต่ก็ยังไม่อาจดิ้นหลุด ได้แต่มองเจดีย์ไร้สิ้นสุดองค์นั้นกดกำราบลงมาตาปริบๆ
เสียงกึกก้องสะเทือนฟ้าระลอกหนึ่งดังตามมาติดๆ ศีรษะ ลำคอ ทรวงอกของอวิ๋นจิ่วเวย… ถูกกระแทกแตกหักดับสายไปทั้งหมด
ในที่นั้นเหลือเพียงละอองแสงท่วมฟ้า เจดีย์ไร้สิ้นสุดที่ประดุจยืนยงคงนิรันดร์ลอยอยู่เงียบๆ
การโจมตีเดียว สังหารระดับอมตะที่ครอบครองกฎเกณฑ์ระดับสวรรค์ขั้นเก้าคนหนึ่ง!
ภาพนองเลือดนั้นทำให้ทุกคนที่อยู่ไกลๆ ล้วนสั่นเทิ้ม อึ้งค้างอยู่ตรงนั้น รู้สึกไม่อยากเชื่อ
แม้แต่หลินสวินก็คิดไม่ถึงว่าสมบัติที่อยู่ข้างกายตนมาตั้งแต่สมัยเด็กอย่างเจดีย์ไร้สิ้นสุดชิ้นนี้ จะถึงกับมีอานุภาพน่าเหลือเชื่อเช่นนี้ และเมื่อได้เห็นภาพนี้กับตา เขาเองยังอดสูดหายใจสะท้านไม่ได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์