Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ นิยาย บท 2568

สรุปบท ตอนที่ 2568 ยักษ์ใหญ่!: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

อ่านสรุป ตอนที่ 2568 ยักษ์ใหญ่! จาก Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ โดย Internet

บทที่ ตอนที่ 2568 ยักษ์ใหญ่! คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

ตอนที่ 2568 ยักษ์ใหญ่!

ในจักรวาลไพศาล กระแสเชี่ยวกรากปานทำลายล้างยังคงแผ่กว้างพลิกม้วน แต่ผู้คนที่อยู่ห่างออกไปไกลกลับเหมือนวิญญาณหล่นหาย อึ้งค้างอยู่ตรงนั้น

ผู้ยิ่งใหญ่สี่คนจากขุมอำนาจใหญ่ปลายยอดในน่านฟ้าที่เจ็ด กลับถูกเจดีย์สมบัติองค์นั้นกระแทกตายติดต่อกันเช่นนี้หรือ!?

ควรรู้ว่าพวกที่ยังสามารถยืนดูการต่อสู้ในจักรวาลแถบนี้ในขณะนี้ได้ แทบจะมีแต่พวกกร้าวแกร่งในระดับจักรพรรดิทั้งสิ้น

ทว่าเมื่อเผชิญกับภาพนองเลือดเช่นนี้ก็หนาวสะท้านเสียววาบ สั่นเทิ้มไปทั้งตัว และหนังศีรษะชาหนึบอย่างอดไม่ได้

น่ากลัวเกินไปแล้ว!

ผู้สืบทอดคีรีดวงกมลหลิงเสวียนจื่อนั่นยืนนิ่งอยู่บนแท่นบัวสีเขียวสามสิบหกชั้น มือหนึ่งถือแส้หางม้า อีกมือรองเจดีย์สมบัติ ประหนึ่งเทพศักดิ์สิทธิ์ในตำนาน!

นี่หากเป็นก่อนหน้านี้ใครจะไปคาดคิดกัน

ในใจของทุกคน พวกหนานเฟยตู้เป็นยักษ์ใหญ่ไร้ใดเปรียบที่ต้องแหงนมอง ทว่าตอนนี้กลับหลั่งเลือดในจักรวาลวังเวงนี้ ถูกโจมตีสังหารต่อเนื่อง แรงกระเทือนนี้ยิ่งใหญ่เกินไป ไม่ว่าใครเห็นเข้าเกรงว่าต้องตกใจกรามค้าง หวาดกลัวกับภาพนี้!

‘ท่านลุง ข้าเคยเห็นเขาไปต่อสู้กับมารเทพตี้สือในโบราณสถานยอดยุทธ์ครั้งหนึ่ง’

เซี่ยงเสี่ยวหยวนสื่อจิต ดวงตาใสกระจ่างเต็มไปด้วยแววตื่นเต้นและเลื่อมใส ‘เขาคือศิษย์พี่ของหลินสวิน ไม่มีสิ่งใดทำไม่ได้ ไร้ศัตรูทัดเทียมโดยแท้’

หลิ่วเซียงเชวียก็อดสะทกสะท้านไม่ได้เช่นกัน กล่าวว่า ‘เมื่อนานมาแล้วข้าก็เคยได้ยินว่ามีผู้สืบทอดคีรีดวงกมลกลุ่มหนึ่งมายังโลกยอดนิรันดร์ เพียงเก้าวันสั้นๆ ก็บุกไปถึงน่านฟ้าที่หก… แต่กลับคิดไม่ถึงว่าผู้สืบทอดคีรีดวงกมลจะน่ากลัวปานนี้…’

ท่าทางยามหลิงเสวียนจื่อสังหารระดับอมตะทั้งสี่ขณะที่พูดคุยสะดุดตาเกินไปจริงๆ ทำให้หลิ่วเซียงเชวียยังสะท้านสะเทือน เกิดความนับถือเลื่อมใส

“เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร… นี่เป็นไปไม่ได้… เป็นไปไม่ได้…”

ด้านสี่ตระกูลตงหวง พวกกู้ปั้นจวง อวิ๋นลั่วหงต่างเหมือนวิญญาณหลุดจากร่าง ราวสูญเสียบุพการี สะท้านสะเทือนยิ่งยวดจนจวนจะพังทลาย

แม้แต่ในเผ่าจักรพรรดิอมตะอย่างพวกเขา จำนวนระดับอมตะก็ยังมีจำกัด!

และตอนนี้ทุกคนกลับร่วงหล่น จะให้พวกเขารับไหวได้อย่างไร

จักรวาลแถบนี้สั่นไหวรุนแรง จมสู่แรงสะเทือนยิ่งใหญ่

การต่อสู้ครั้งนี้ยังทำให้ผู้คนจดจำหลิงเสวียนจื่อได้อย่างตราตรึง ไม่ว่าใครก็ลืมไม่ลง ว่าในหมู่ผู้สืบทอดคีรีดวงกมลมีผู้ยิ่งใหญ่ที่บารมีสะท้านยุคเช่นนี้อยู่ด้วย!

ในสนามรบ

แสงมรรคสีเขียวไหลเวียน เรื่อประกายแสงอมตะ นัยน์ตาหลิงเสวียนจื่อยังเจือความรู้สึกไม่สาแก่ใจ เลียริมฝีปากเบาๆ เอ่ยว่า

“ศิษย์น้องเล็ก เจ้าคิดว่าพลังต่อสู้ของศิษย์พี่อย่างข้า สามารถเรียกว่าฆ่าระดับอมตะเหมือนฆ่าไก่ได้หรือไม่”

เขาเอ่ยพูดเนิบๆ

การต่อสู้สิ้นสุดลง หลินสวินที่โดนระลอกคลื่นการต่อสู้หวดซัดมาตลอด ในที่สุดก็ฟื้นตัวจากแรงโจมตีอันขมขื่นไม่อาจบรรยายนั่น ร่างกายล้วนผ่อนคลายลง

เมื่อได้ยินคำพูดของหลิงเสวียนจื่อ เขาเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ในเมื่อจะฆ่าจริงๆ ก็ง่ายดายเช่นนี้ เหตุใดก่อนหน้านี้ต้องยื้อเวลานานขนาดนั้น ท่านอย่าบอกข้าเชียวว่านี่ทำไปเพื่อให้ข้าสัมผัสพลังของระดับอมตะ”

ด้วยพลังในตอนนี้ของเขา ต่อให้สัมผัสพลังของระดับอมตะก็ไม่ต่างอะไรกับชมดอกไม้กลางหมอก หยั่งรู้อะไรไม่ได้สักนิด

หลิงเสวียนจื่อยิ้มกล่าว “เจ้าจะปรักปรำคนดีไม่ได้เชียว”

“เลิกพูดพล่าม รีบไปเร็ว”

นัยน์ตาดำของหลินสวินกวาดมองรอบบริเวณ สีหน้าไม่ได้ผ่อนคลายนัก

ถึงจะบอกว่าระดับอมตะจากสี่ตระกูลตงหวงถูกกำจัดไปแล้ว แต่ใครจะกล้ามั่นใจว่าในจักรวาลไพศาลแห่งนี้ยังมีศัตรูที่น่ากลัวยิ่งกว่าซ่อนตัวอยู่อีกหรือไม่

“พวกเราไม่อาจออกไปได้แล้ว”

กลับเห็นหลิงเสวียนจื่อหุบยิ้มลงอย่างหาได้ยาก แววตาลุ่มลึกจ้องไปไกลๆ พลางเอ่ยเสียงเบา “สี่คนเมื่อครู่เป็นเพียงอาหารเรียกน้ำย่อย ต่อจากนี้ต่างหากจึงจะเป็นละครบทหลัก”

คำพูดต่ำลึกแผ่วเบา ทำเอาหลินสวินเสียวใจวาบ รีบสื่อจิตเอ่ยถาม ‘พุ่งเข้าเมืองจรดฟ้าก่อนได้หรือไม่’

หลิงเสวียนจื่ออึ้งไป คล้ายเดาออกว่าหลินสวินคิดจะทำอะไร กล่าวอย่างขบคิด ‘นี่ก็พอให้ลองดูได้สักตั้ง’

เขาโบกแขนเสื้อ เก็บแท่นบัวสีเขียวสามสิบหกชั้นพลางยกมือแหวกห้วงอากาศ เตรียมจะพาหลินสวินและคงเจวี๋ยที่อยู่ข้างตัวจากไปพร้อมกัน

เป็นเวลานี้เอง…

ปราณกระบี่สีม่วงสายหนึ่งพริบวาบ กรีดห้วงอากาศไร้สิ้นสุดฟันเข้ามาในชั่วอึดใจ เร็วจนน่าเหลือเชื่อ

“เฮอะ ทนไม่ไหวดังที่คาดไว้แล้วไม่ใช่หรือ”

หลิงเสวียนจื่อเลิกคิ้ว โบกสามพันเคลื่อนคล้อย ภายในเสียงอึงอล ปราณกระบี่สีม่วงที่ฟันมานี้พลันแตกทลาย

“จัดการเดรัจฉานคีรีดวงกมลอย่างพวกเจ้า ทำไมต้องอดทนด้วย”

ตูม!

ในจักรวาลแถบนี้พลันปรากฏลำแสงสีม่วงสายหนึ่ง พุ่งทะลวงพื้นที่ว่างเปล่าโดยรอบตรงๆ ส่องสว่างทั่วหล้า จากนั้นเงาร่างสายหนึ่งปรากฏตามมาติดๆ

นี่เป็นชายสวมหมวกเกี้ยวจักรพรรดิ สวมชุดดำทั้งตัว รูปร่างกำยำคนหนึ่ง ยามกะพริบตามีภาพจักรวาลแตกดับปรากฏ น่าหวาดหวั่นนัก

พร้อมกับที่เขาปรากฏตัว ประกายศักดิ์สิทธิ์อมตะทั่วฟ้าราวครอบฟ้าคลุมดิน บดบังเวิ้งฟ้าแถบนี้ ทำให้ทุกคนที่อยู่ห่างออกไปยังแข็งทื่อไปทั้งตัว จิตมรรคไม่เสถียร ดุจขุนนางเจอกับจอมประมุข เกิดความยำเกรงขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุม

ฉีเทียนหลิน!

ระดับอมตะชั้นยอดคนหนึ่งในตระกูลฉีจากน่านฟ้าที่แปด!

เหล่าคนที่อยู่ไกลๆ แตกตื่น ราวกับเห็นเทพศักดิ์สิทธิ์ที่มีตัวตนในตำนานมาเยือน แต่ละคนล้วนเผยสีหน้าไม่อยากเชื่อ

ลือกันว่าในน่านฟ้าที่แปด ฉีเทียนหลินเรียกได้ว่าเป็นยักษ์ใหญ่คนหนึ่ง อานุภาพกดครอบทั่วหล้า!

เห็นชัดว่าฉีเทียนหลินก็รู้จุดนี้เช่นกัน สีหน้าเริ่มเย็นเยียบขึ้นเรื่อยๆ เขาฝืนข่มไอสังหารในใจ กล่าวว่า “ให้โอกาสพวกเจ้าครั้งเดียว ปล่อยหลิงอวิ๋นซะ แล้วข้าจะไปทันที”

“ไม่ได้ รอพวกเราเข้าเมืองจรดฟ้าย่อมจะปล่อยคนไป” หลิงเสวียนจื่อกล่าว

ฉีเทียนหลินโมโหจัดจนหัวเราะออกมา “ช่างวางแผนไว้แยบยลจริงๆ!”

ใครไม่รู้บ้างว่าเมืองจรดฟ้ามีระเบียบเฮ่าเทียนดูแลอยู่ ไม่มีใครสามารถลงมือโดยพลการในนั้นได้ นี่คือพลังระเบียบของเผ่าเทพนิรันดร์ ต่อให้เป็นยักษ์ใหญ่อมตะจากน่านฟ้าที่แปดก็ยังไม่กล้าละเมิด

หากปล่อยให้หลิงเสวียนจื่อและหลินสวินเข้าสู่เมืองจรดฟ้าจริงๆ เว้นแต่เผ่าเทพนิรันดร์จะออกหน้า หาไม่ทั่วหล้านี้เกรงว่าคงไม่มีใครสามารถทำอะไรพวกเขาสองคนได้

“เจ้าแค่บอกว่าเจ้าจะตกลงหรือไม่เท่านั้น”

หลิงเสวียนจื่อกล่าวอย่างหมดความอดทน ยิ่งยืดเยื้อเท่าไหร่ก็ยิ่งเป็นผลเสียกับพวกเขามากเท่านั้น

ฉีเทียนหลินรู้สึกเพียงว่าในอกอึดอัดไปหมด ผมเคราของเขาชี้ตั้ง ขณะเตรียมจะพูดอะไรเสียงก้องกระหึ่มเหมือนฟ้าร้องสายหนึ่งดังขึ้น

“อยากเข้าเมืองจรดฟ้าหรือ ฝันไปเถอะ!”

ทุกคำในเสียงนั้นซัดเวิ้งฟ้าสั่นสะท้อน ห้วงอากาศปั่นป่วน ต่อให้อยู่ห่างไปไกล ระดับจักรพรรดิบางส่วนยังถูกสะเทือนจนเบื้องหน้าปรากฏดาวสีทอง อึดอัดจนเกือบกระอักเลือด

ตูม!

จากนั้นชายชราในชุดสีทองทั้งตัว ผมขาวเหมือนขนกระเรียน ผิวแก้มแดงราวเด็กทารกคนหนึ่งก็มาถึง ความยิ่งใหญ่ของอานุภาพระดับนั้นถึงกับไม่เป็นรองฉีเทียนหลิน

จงหลีเจวี๋ย!

ผู้ยิ่งใหญ่ในตระกูลจงหลี ยักษ์ใหญ่อมตะจากน่านฟ้าที่แปด!

เมื่อเห็นเช่นนี้ผู้คนที่ดูการต่อสู้จำนวนมากล้วนถอยไปอีก ฉีเทียนหลินคนเดียวก็น่ากลัวยิ่งแล้ว ยังมีจงหลีเจวี๋ยเพิ่มมาอีกคน ทันทีที่เปิดศึกฟ้าดาราแถบนี้ต้องถูกซัดทำลายเป็นแน่

ถึงตอนนั้นค่อยคิดหนีก็ไม่ทันการแล้ว

“อาศัยแค่เจ้าน่ะหรือ” หลิงเสวียนจื่อแววตาวาวโรจน์ ถ้อยคำเจือแววดูแคลนเหยียดหยัน ต่อให้เป็นเวลานี้ก็ยังมีมาดสะท้านยุค

“ยังมีข้า!”

และยามนี้ปีกสีเงินคู่หนึ่งแผ่ครอบฟ้าดิน ในส่วนลึกของห้วงอากาศว่างเปล่ามีเงาร่างสูงพันจั้งเต็มสายหนึ่งเดินออกมา เขาสูงทะลุชั้นเมฆ เท้าเหยียบดารา แผ่นหลังมีปีกสีเงิน กลิ่นอายอมตะแผ่คลุ้ง นัยน์ตาดุจอาทิตย์สีทองดวงใหญ่ ส่องสว่างทั่วฟ้าดาราแถบนี้

มองจากไกลๆ เขาราวกับเทพยักษ์ในยุคบุกเบิกฟ้าดิน ก้าวออกมาจากส่วนลึกของกาลเวลา เสียงกึกก้องสะเทือนสี่ทิศ

ชื่อชางหุน!

ผู้ยิ่งใหญ่จากยักษ์ใหญ่อมตะตระกูลชือแห่งน่านฟ้าที่แปด ฉายาจอมมารอมตะในขั้นดับเทพ ในกาลเวลาไร้สิ้นสุด เคยสังหารศัตรูนับไม่ถ้วน ซัดลมคาวฝนเลือดขึ้นในโลกยอดนิรันดร์หลายครั้ง!

…………………..

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์