Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ นิยาย บท 2589

สรุปบท ตอนที่ 2589 ศาสตร์ปกครองทั่วหล้า: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

ตอนที่ 2589 ศาสตร์ปกครองทั่วหล้า – ตอนที่ต้องอ่านของ Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

ตอนนี้ของ Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง ตอนที่ 2589 ศาสตร์ปกครองทั่วหล้า จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

ตอนที่ 2589 ศาสตร์ปกครองทั่วหล้า

เมืองหลิวเขียว

บนท้องถนนพลุกพล่านจอแจ เสี่ยวซีดูเหม่อลอยจิตใจไม่อยู่กับตัว

เรื่องที่ประสบมาก่อนหน้านี้สร้างแรงโจมตีให้นางมากเกินไป จำเป็นต้องใช้เวลาทำให้ตัวเองสงบลง

หลินสวินไม่ได้พูดอะไรอีก

นี่อาจเป็นราคาของการเติบโต

กระดาษที่ขาวสะอาดแค่ไหน เมื่อผ่านการเคี่ยวกรำของเรื่องราวบนโลก ก็ต้องเปลี่ยนเป็นม้วนภาพที่ต่างออกไป

“สหายยุทธ์”

เนี่ยชิงหรงในชุดคลุมนกกระเรียนสีม่วงเข้ม มาดงามสง่าไล่ตามหลังมา หญิงสาวคนนี้ผิวพรรณนวลผ่อง งดงามมีเสน่ห์ เอวกลมกลึงมือเดียวโอบรอบ เนินอกอวบอิ่มชวนตะลึงสุดขีด เดิมเป็นคนงามไร้ทัดเทียม แต่บุคลิกกลับเย็นชาดุจน้ำแข็ง ให้ความรู้สึกตัดกันเด่นชัดแก่สายตาผู้คน

“มีธุระเชิญพูดมาตรงๆ”

หลินสวินชะงักเท้า หันมองเนี่ยชิงหรง ไม่ได้แปลกใจที่อีกฝ่ายตามมา

เนี่ยชิงหรงหลุบตางามลง เอ่ยเสียงเบา “ข้าเห็นว่าน้องสาวคนนี้จะลงชื่อเข้าร่วมคัดเลือก คิดว่าคงตั้งใจจะมุ่งหน้าไปฝึกปราณที่สำนักศึกษาสองลักษณ์เช่นกัน”

หลินสวินพยักหน้า “ถูกต้อง”

เนี่ยชิงหรงสูดหายใจลึก คล้ายเรียกความกล้า ใช้ดวงตาโตเรียวคู่นั้นมองหลินสวินแล้วเอ่ยว่า “สหายยุทธ์ หากเจ้าเชื่อใจข้า เรื่องนี้ข้าสามารถช่วยเหลือได้”

“เหตุใดต้องทำเช่นนี้” หลินสวินถาม

เนี่ยชิงหรงพิจารณาครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยวาจา “หากข้าบอกว่าอยากผูกสัมพันธ์อันดีกับสหายยุทธ์ สหายยุทธ์จะเชื่อหรือไม่”

หลินสวินกล่าว “เชื่อ”

คำตอบที่ไม่เสียเวลาหยุดคิดเช่นนี้ทำให้เนี่ยชิงหรงอดแปลกใจไม่ได้ เดิมทีนางเตรียมพร้อมจะอธิบายอย่างอดทน แต่ตอนนี้กลับไม่รู้ว่าควรพูดอะไรแล้ว

“ยายหนู เจ้ายินดีมุ่งหน้าไปฝึกปราณที่สำนักศึกษาสองลักษณ์กับนางหรือไม่” หลินสวินเบนสายตามองเสี่ยวซีที่อยู่ข้างตัว

เสี่ยวซีเห็นชัดว่าตื่นเต้นมาก นัยน์ตาใสกระจ่างทอประกายปรารถนา แต่ยังคงกล่าวอย่างลังเลว่า “พี่เต้ายวน ข้าเชื่อฟังท่าน”

ภาพนี้ จู่ๆ ทำให้หลินสวินนึกถึงจ้าวจิ่งเซวียนขึ้นมา

ปีนั้นตอนอยู่ที่ทะเลหมากดาราในดินแดนรกร้างโบราณ อ๋าวเจิ้นเทียนเคยมุ่งหน้ามาหมายจะรับจ้าวจิ่งเซวียนไปร่วมงานชุมนุมเซียนหมื่นมังกรในแดนเจินหลง จ้าวจิ่งเซวียนในตอนนั้นก็ให้อารมณ์และคำตอบแบบนี้เช่นเดียวกัน

เมื่อนึกถึงอดีตที่ผ่านมา หลินสวินก็อดทอยิ้มบางๆ ไม่ได้ ก่อนเอ่ยว่า “เช่นนั้นก็ไป”

เขาเองก็เข้าใจกระจ่างแล้วเช่นกัน ภายหน้าอยู่ในสำนักศึกษาสองลักษณ์ หากมีการดูแลจากเนี่ยชิงหรง ยายหนูเสี่ยวซีคนนี้ไม่มีทางถูกรังแกแน่นอน

และเพราะเหตุนี้เอง ก่อนหน้านี้ตอนที่ตอบคำถามเนี่ยชิงหรง เขาจึงให้คำตอบชัดเจนแก่อีกฝ่าย และถือเป็นการแสดงไมตรีจิตอยู่ในที

เนี่ยชิงหรงเห็นชัดว่าแข็งขันยิ่ง เนตรงามวาววับ ชุ่มฉ่ำดุจริ้วคลื่นยามสารท กล่าวเสียงนุ่ม “ด้วยพรสวรรค์ของน้องสาว ภายหน้าต้องโดดเด่นเฉิดฉายในสำนักศึกษาสองลักษณ์เป็นแน่”

หลินสวินกล่าว “ข้าหวังเพียงให้นางสงบสุขปลอดภัยก็พอ”

เนี่ยชิงหรงอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนกล่าว “สหายยุทธ์วางใจได้ ในสำนักศึกษาสองลักษณ์ไม่มีใครกล้ามารังแกน้องสาวคนนี้แน่”

เสียงเปี่ยมความมั่นอกมั่นใจอย่างยิ่ง

“ข้าว่างอยู่พอดี ไม่รู้ว่าสำนักศึกษาสองลักษณ์จะต้อนรับคนนอกอย่างข้าไปเยี่ยมเยือนหรือไม่” หลินสวินถาม

เนตรงามของเนี่ยชิงหรงวาววับ น้ำเสียงนุ่มนวลเจือความยินดีเสี้ยวหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “หากสหายยุทธ์สามารถมาเยี่ยมได้ ต้องเป็นเกียรติแก่สำนักศึกษาสองลักษณ์ของข้าแน่”

“ใต้เท้า”

ไกลออกไปฮั่วซิงตูกุลีกุจอเข้ามา โค้งคำนับอย่างเคารพนบนอบให้กับเนี่ยชิงหรงก่อนเป็น จากนั้นจึงหันไปโค้งคำนับกล่าวกับหลินสวิน “พ่อลูกตระกูลฉินจัดการตามสมควรแล้ว ข้าจึงมารายงานต่อผู้อาวุโสโดยเฉพาะ”

หลินสวินร้องอืมคราหนึ่ง ไม่ยินดียินร้าย

เนี่ยชิงหรงจึงเอ่ยขึ้นว่า “ฮั่วซิงตู วันนี้ข้าจะจากไปแล้ว เรื่องคัดเลือกศิษย์ยกให้เจ้าเป็นผู้รับผิดชอบ”

ฮั่วซิงตูรีบพยักหน้าขานรับเป็นพัลวัน

“สหายยุทธ์ จะออกเดินทางเดี๋ยวนี้เลยหรือไม่” เนี่ยชิงหรงทอดสายตามองหลินสวิน

“ได้”

หลินสวินตอบรับ

กระทั่งมองส่งเงาร่างเขาและเนี่ยชิงหรงจนหายลับในบริเวณไกลออกไป ฮั่วซิงตูจึงลอบปาดเหงื่อเย็นคราหนึ่ง ในฐานะบรรพจารย์จักรพรรดิ เขาไม่ได้หวาดหวั่นครั่นคร้ามจากใจเช่นนี้มานานแล้ว

สวบ!

ส่วนลึกของชั้นเมฆบนเวิ้งฟ้า ยานสมบัติมหึมาเท่าภูเขาลำหนึ่งบินทะยาน

บนยานสมบัติ หลินสวินเอนพิงหัวยานอย่างสบายๆ ถือน้ำเต้าสุรายกขึ้นดื่ม

ในตัวยานด้านหลังมีเสียงหัวเราะเสนาะหูดังลอยออกมาเป็นพักๆ เสียงหนึ่งหวานหยาดเยิ้มชวนหลงใหล เสียงหนึ่งเจื้อยแจ้วใสกังวาน

นั่นคือบทสนทนาระหว่างเนี่ยชิงหรงกับเสี่ยวซี ตั้งแต่เริ่มเหยียบขึ้นยานสมบัติ เนี่ยชิงหรงก็ตั้งใจผูกมิตรกับเสี่ยวซี ปล่อยวางมาดพูดคุยกับเสี่ยวซี ไม่ทันไรความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ก็ค่อนข้างสนิทสนมกลมเกลียวกันแล้ว

หลินสวินมองเห็นอยู่ในสายตา แต่ไม่ได้พูดอะไร

อันที่จริงเสี่ยวซีเพิ่งออกจากหมู่บ้านเงาเมฆา ได้เห็นและสัมผัสทุกสิ่งทุกอย่างในน่านฟ้าที่หนึ่งเป็นครั้งแรก ทว่าเขาเองก็ไม่ใช่เหมือนกันหรอกหรือ

แต่สิ่งที่ต่างไปจากเสี่ยวซีคือ เขาแค่มีประสบการณ์เจนจัดโชกโชนก็เท่านั้น

หลินสวินดื่มสุราไปพลางขณะหยิบม้วนหยกอันหนึ่งออกมา

นี่คือตำราโบราณชื่อว่า ‘ศาสตร์ปกครองทั่วหล้า’ ที่ซื้อมายามเดินเล่นในเมืองหลิวเขียว บนนั้นบันทึกเรื่องราวบางส่วนที่เกี่ยวกับน่านฟ้าที่หนึ่งเอาไว้

‘สี่แดนใหญ่’

‘สี่สำนักศึกษาใหญ่’

นี่เปรียบได้กับการ ‘จ่ายภาษี’ ในราชวงศ์โลกมนุษย์ โดยเก็บรวบรวมภาษีจากมณฑล รัฐ เมืองเป็นชั้นๆ จากนั้นจึงนำส่งเมืองหลวงของจักรวรรดิ

ในทำนองเดียวกัน การสอบเคอจวี่ที่ดำเนินการในมณฑล รัฐ และเมืองนั้น ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการส่งผู้มีความสามารถไปยังเมืองหลวงของจักรพรรดิ

หากเปรียบเทียบเช่นนี้ น่านฟ้าที่หนึ่งก็เท่ากับอยู่ในบทบาทของระดับมณฑล

และสี่สำนักศึกษาใหญ่ของน่านฟ้าที่หนึ่ง ก็เท่ากับจวนว่าการสี่แห่งที่มีหน้าที่เก็บรวบรวมภาษีและคัดเลือกผู้มีความสามารถประจำมณฑล

เมื่อทำความเข้าใจสิ่งเหล่านี้แล้ว หลินสวินยังอดตกใจและสะท้านสะเทือนไม่ได้

กำลังทรัพย์ สิ่งของ และกำลังคนจากห้าน่านฟ้าใหญ่ ถูกรวมไปให้กับเผ่าจักรพรรดิอมตะจากน่านฟ้าที่หกเหล่านั้นทั้งหมด เผ่าจักรพรรดิอมตะเหล่านั้นไม่อยากแข็งแกร่งยังยาก!

แต่หลินสวินก็รู้ดีว่านี่ก็เหมือนกฎปลาใหญ่กินปลาเล็ก ทรัพยากรฝึกปราณที่เผ่าจักรพรรดิอมตะในน่านฟ้าที่หกเหล่านั้นรวบรวมได้ เกรงว่าก็คง ‘ส่งบรรณาการ’ ไปให้กับน่านฟ้าที่เจ็ดเช่นกัน

การส่งเป็นทอดทีละชั้นเช่นนี้ ก่อให้เกิดระบบและโครงสร้างขุมอำนาจของทั่วทั้งโลกยอดนิรันดร์

คิดๆ แล้วหลินสวินเริ่มจดจ่อศึกษาขุมอำนาจของสี่สำนักศึกษาใหญ่

เบื้องหลังสำนักศึกษาสองลักษณ์มีสามเผ่าจักรพรรดิอมตะคอยหนุนอยู่ ได้แก่ ตระกูลเฮ่อ ตระกูลจู้ และตระกูลหง

หนึ่งในนั้นหลินสวินคุ้นเคยกับตระกูลเฮ่อมาก เป็นตระกูลเฮ่อในสี่เผ่าจักรพรรดิอมตะใหญ่ที่มีตระกูลเหวิน เหิง เผิง และเฮ่อ ซึ่งก็คือเผ่าจักรพรรดิอมตะที่ ‘บรรพจารย์จักรพรรดิอวิ้นหยวน’ อยู่

ตระกูลจู้ หลินสวินก็ไม่ได้รู้สึกแปลกหน้า

ปีนั้นตอนอยู่เมืองพยัคฆ์ครองในด่านนภาอมตะที่สองของแดนใหญ่พันศึก เขาเคยเข้าร่วมงานเลี้ยงที่เผิงเทียนเสียงจัดขึ้นที่จวนเจ้าเมือง ในงานเลี้ยงครั้งนั้นหลินสวินได้สังหารมกุฎมหาจักรพรรดิคนหนึ่งที่ชื่อจู้หลิน

จู้หลินคนนี้ก็คือคนตระกูลจู้จากน่านฟ้าที่หก!

เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ หัวคิ้วหลินสวินก็อดขมวดน้อยๆ ไม่ได้

เขาไม่นึกเลยว่าในขุมอำนาจเผ่าจักรพรรดิอมตะที่หนุนอยู่เบื้องหลังสำนักศึกษาสองลักษณ์ ถึงกับมีขุมอำนาจศัตรูคู่แค้นเช่นนี้อยู่ด้วย

ควรรู้ว่าบรรดาเผ่าจักรพรรดิอมตะทั้งหมดที่ออกประกาศจับหลินสวินในประกาศจับที่กระจายไปทุกเมืองทั่วหล้าในตอนนี้ ก็มีตระกูลจู้ที่ว่านี้ด้วย!

หลินสวินไม่ได้นึกกลัวอะไร แต่เขากลับไม่อาจไม่พิจารณาว่าภายหน้าหากฐานะของตนเปิดเผย เสี่ยวซีที่เกี่ยวข้องกับตนจะพลอยเดือดร้อนยามอยู่ในสำนักศึกษาสองลักษณ์ด้วยหรือไม่

‘ดูท่า เรื่องนี้จำเป็นต้องจัดการสักหน่อยถึงจะได้…’ หลินสวินใคร่ครวญ หากไม่กำจัดภัยเงียบเช่นนี้ทิ้ง จะส่งผลร้ายไม่เกิดประโยชน์ต่อเสี่ยวซีแน่นอน

ขณะที่กำลังครุ่นคิดพิจารณา หลินสวินคล้ายรู้สึกถึงบางอย่าง นัยน์ตาหันขวับไปมองบริเวณไกลๆ ทันที

เกือบจะในเวลาเดียวกัน เสียงหัวเราะลั่นสายหนึ่งดังลอยมาจากส่วนลึกของชั้นเมฆไกลโพ้น

“ฮ่าๆๆ ไม่นึกว่าจะถึงกับพบยานสมบัติของรองเจ้าสำนักเนี่ยอยู่ที่นี่ นี่คงจะเป็นลิขิตสวรรค์กระมัง”

ก็เห็นชั้นเมฆถล่มทลาย ห้วงอากาศสั่นรุนแรง เงาร่างที่อานุภาพกร้าวแกร่ง ประกายคมแสบตาทั้งกลุ่มพลันเคลื่อนไหวผ่านอากาศเข้ามา

ทันทีที่ปรากฏตัวก็ขวางเส้นทางเบื้องหน้ายานสมบัติอยู่ไกลๆ จัดวางกระบวน จิตรับรู้เป็นสายๆ กวาดขวางเข้ามาประหนึ่งครอบฟ้าคลุมดิน

อานุภาพเกรียงไกร!

………………..

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์