ตอนที่ 2639 สมบัติหกชิ้นของเจ้าแห่งมรรคาสวรรค์ – ตอนที่ต้องอ่านของ Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
ตอนนี้ของ Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง ตอนที่ 2639 สมบัติหกชิ้นของเจ้าแห่งมรรคาสวรรค์ จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที
ตอนที่ 2639 สมบัติหกชิ้นของเจ้าแห่งมรรคาสวรรค์
ลู่ป๋อหยาสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง สาวเท้าเดินเข้าไปใกล้ถ้ำสวรรค์แดนมงคล ประคองหลินสวินที่คุกเข่ากับพื้นขึ้นมาแล้วเอ่ยว่า
“เป็นผู้ชายโตๆ ที่กำลังจะบรรลุอมตะแล้ว ภายหน้าอย่าโขกศีรษะให้ใครอีก”
เสียงเจือความยินดีและทอดถอนใจ
ชายหนุ่มที่ตอนนี้มีชื่อสะท้านโลกยอดนิรันดร์ เป็นคนที่เขาเลี้ยงมากับมือ!
ย้อนนึกถึงตอนนั้น ทารกที่ยังห่อผ้าอ้อมอยู่ผู้นั้นถูกคนอื่นชิงชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดไปอย่างโหดร้าย ถ้าไม่ใช่เขามาทันเวลา เป็นไปได้สูงยิ่งที่ทารกผู้นี้จะตายตั้งแต่แบเบาะ
ภายหลังเขาพาทารกน้อยไปเก็บตัวในคุกใต้เหมืองแห่งนั้น ประเดี๋ยวเดียวก็ผ่านไปสิบสองปีแล้ว
ถ้าจะพูดให้ถูกคือสิบสองปี เก้าเดือน สิบสามวัน!
วันนั้นที่ส่งหลินสวินซึ่งเติบโตขึ้นเป็นเด็กหนุ่มแล้วออกไป ในใจลู่ป๋อหยาก็นึกเสียใจอยู่พักใหญ่ รู้สึกเหมือนในใจขาดอะไรไป
และในช่วงหลายปีมานี้ เขาหลบๆ ซ่อนๆ ก็ดี วุ่นวายกับเรื่องชวนบีบคั้นก็ช่าง ทุกครั้งที่นึกถึงหลินสวินที่เขาเลี้ยงดูมาจนเติบใหญ่ ในใจก็มักจะรู้สึกเป็นห่วงและกังวลอย่างเลี่ยงไม่ได้
ยังดีที่ในช่วงหลายปีมานี้เขามักจะได้ยินข่าวเกี่ยวกับหลินสวินเป็นประจำ ข่าวพวกนั้นสามารถบรรเทาความเป็นห่วงในใจเขาไปได้ไม่น้อย
และตอนนี้ในที่สุดก็ได้พบหลินสวิน ลู่ป๋อหยาจะไม่ซึ้งใจได้อย่างไร
ทารกน้อยในตอนนั้น บัดนี้สามารถพึ่งพาตัวเองได้แล้ว หลายปีมานี้ยังก่อคลื่นลมและคาวเลือดในโลกยอดนิรันดร์ไม่รู้เท่าไรอีกด้วย!
ในน่านฟ้าที่หนึ่งถึงหกนั้น ใครไม่รู้จักคนร้ายกาจแซ่หลินแห่งคีรีดวงกมลบ้าง
บรรพจารย์จักรพรรดิเจอเขายังต้องก้มหัวให้!
“ท่านลู่…”
หลินสวินสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง เก็บกลั้นความตื่นเต้นในใจ กำลังจะพูดอะไรแต่กลับพบว่าในใจมีข้อสงสัยมากมายที่อยากถาม ถึงกับไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดีไปชั่วขณะหนึ่ง
“ข้ารู้ว่าในใจเจ้ามีความกังขามากนัก พบกันคราวนี้ข้าจะตอบคำถามเจ้าทั้งหมด ถึงอย่างไรเจ้าในตอนนี้ก็สามารถเผชิญหน้ากับหลายๆ เรื่องได้แล้ว”
ขณะพูดท่านลู่ก็สะบัดแขนเสื้อ
เบาะรองนั่งสองชิ้น โต๊ะเตี๊ยตัวหนึ่ง กาสุราใบหนึ่ง จอกเหล้าสองจอกปรากฏออกมา
เขากับหลินสวินนั่งลงกับพื้น รินเหล้าให้หลินสวินด้วยตัวเองแล้วยิ้มเอ่ยว่า “เมื่อก่อนเจ้ายังเด็ก ข้าไม่เคยดื่มเหล้ากับเจ้า คราวนี้มาดื่มให้สาแก่ใจสักกาดีไหม”
หลินสวินพยักหน้า “ข้ารอคอยวันนี้มาเนิ่นนานมากแล้ว”
ลู่ป๋อหยาแหงนหน้าหัวเราะ
ทั้งสองร่วมร่ำสุรากัน ใช้เรื่องราวในอดีตเป็นกับแกล้ม ไม่นานนักก็ดื่มหมดไปหนึ่งกา
ลู่ป๋อหยาย่อมไม่หมดสนุก หยิบอีกกาหนึ่งออกมา ก็ในตอนนี้เองเขาถึงเอ่ยรำพึงว่า “เหล้าพวกนี้ไม่ถึงกับล้ำค่ามากมาย แต่กลับเป็นเหล้าที่ข้าลงมือบ่มเองโดยเฉพาะในวันที่เจ้าเกิด เพื่อรอให้เจ้าโตเป็นผู้ใหญ่แล้วจะได้มาดื่มด้วยกันได้ แต่คิดไม่ถึงว่าจะรอจนผ่านไปนานหลายปีขนาดนี้…”
หลินสวินส่ายหัว ยิ้มแย้มดีใจ
แต่ก่อนท่านลู่ดุและเข้มงวดกับตนขนาดไหน ใครจะคิดได้ว่าเขาลงมือบ่มเหล้าไว้เองนานแล้ว ด้วยหวังว่ารอให้ตนเป็นผู้ใหญ่จะได้มาดื่มด้วยกัน
ครู่ใหญ่หลังจากดื่มไปเจ็ดแปดกา ท่านลู่ก็วางจอกเหล้าในมือลง สายตามองโลงศพสำริดที่อยู่ไม่ไกลนั้นแล้วเอ่ยว่า “คิดว่าเจ้าคงเดาได้แล้ว นี่เป็นสิ่งที่ตาทวดของเจ้าทิ้งไว้ แต่เจ้าต้องสงสัยมากแน่ๆ ว่าในโลงนี้ผนึกอะไรไว้”
หลินสวินพยักหน้าพูดว่า “ขอท่านลู่ชี้แนะ”
ลู่ป๋อหยาเก็บสีหน้า เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมจริงจัง เอ่ยว่า “โลงนี้มีนามว่า ‘นิรันดร์‘ เป็นสิ่งที่ตาทวดของเจ้าได้มาจากแหล่งสถานศุภโชคสมัยเขายังเยาว์ เพราะอาศัยสิ่งนี้ จึงทำให้ตาทวดของเจ้าครอบครองพรสวรรค์ต้องห้ามอย่าง ‘หุบเหวกลืนกิน’ ได้!”
หลินสวินสะท้านในใจ เผยสีหน้ายากจะเชื่อ
โลงนิรันดร์!
แหล่งสถานศุภโชค!
มิหนำซ้ำยังเกี่ยวกับพรสวรรค์หุบเหวกลืนกินด้วย!
ข้อมูลนี้ก็เหมือนสายฟ้าฟาด เป็นสิ่งที่ก่อนหน้านี้หลินสวินคาดไม่ถึงสักนิด
“หรือพูดอีกอย่างก็คือ เดิมทีตาทวดของเจ้าไม่ได้มีพรสวรรค์หุบเหวกลืนกิน แต่เพราะโลงนิรันดร์ใบนี้จึงทำให้เขาได้พรสวรรค์ต้องห้ามเช่นนี้ไปหรือ” ครู่ใหญ่หลินสวินจึงเอ่ยถาม
ลู่ป๋อหยาพยักหน้า “ไม่ผิด เมธียุคก่อนตั้งแต่บรรพบุรุษต้นตระกูลจนถึงปัจจุบันของตระกูลลั่ว แม้สายเลือดในร่างจะน่าตะลึงหาใดเทียบ แต่พรสวรรค์หุบเหวกลืนกินกลับไม่ใช่สายเลือดของบรรพบุรุษตระกูลลั่ว แต่เป็นสิ่งที่ตาทวดของเจ้าได้มาจากโลงนิรันดร์นี้”
หลินสวินจิตใจปั่นป่วน เพิ่งจะตระหนักได้ว่าที่มาของหุบเหวกลืนกินพิเศษเกินกว่าที่เขาคิดไปไกลมาก มันไม่ใช่พรสวรรค์สายเลือดของตระกูลลั่วแต่กำเนิด แต่ได้มาจากโลงนิรันดร์!
“เป็นเพราะอาศัยพรสวรรค์เช่นนี้ จึงทำให้ตาทวดของเจ้าเหมือนเย้ยฟ้าเปลี่ยนชะตา หลังออกมาจากแหล่งสถานศุภโชคก็ผงาดในมรรคาอย่างก้าวกระโดด เปล่งประกายเหนือธรรมดาหาใดเทียบ ในยุคทองของเขา ความแกร่งกล้าของพลังทั้งหมดที่เขามีถึงกับทำให้สิบยักษ์ใหญ่อมตะน่านฟ้าที่แปดยังหวาดกลัว…”
“ตอนนั้นเดิมทีตระกูลลั่วก็มีโอกาสไปตั้งอาณาเขตที่น่านฟ้าที่แปด พุ่งสู่ตำแหน่งยักษ์ใหญ่ได้ น่าเสียดาย… เพื่อเหยียบย่างบนเส้นทางดารานิรันดร์ ตั้งแต่ตอนนั้นตาทวดของเจ้าก็หายตัวไปไม่รู้เป็นตายร้ายดี”
พูดถึงตรงนี้ลู่ป๋อหยาถอนหายใจยาวอย่างอดไม่ได้ “ตอนนั้นสิบยักษ์ใหญ่อมตะน่านฟ้าที่แปดยืนยันหนักแน่นว่าตาทวดของเจ้าถูกสังหารแล้ว ไม่มีทางรอดชีวิตอีก เรื่องนี้สำหรับตระกูลลั่วในตอนนั้นแล้วก็เหมือนการโจมตีถึงตายครั้งหนึ่ง ตั้งแต่นั้นมาตระกูลลั่วก็ไม่อาจผงาดได้อีก อิทธิพลเสื่อมสลายลง…”
ฟังถึงตรงนี้ในใจหลินสวินก็กระจ่างแล้ว
เกรงว่าหินเทพพรสวรรค์นั้นจะเป็นหินหยกประหลาดที่อยู่ในมือของลั่วหลิงก้อนนั้น สามารถสัมผัสถึงพลังสายเลือดหุบเหวกลืนกิน ภายในประทับ ‘ดาบกาลเวลา’ อภินิหารขั้นที่สามของเจ้าแห่งมรรคาสวรรค์
และถูกตนรับมาแล้ว
ส่วนศาสตรามรรคอมตะที่เต็มไปด้วยพลังกาลเวลาอย่างดาบเงาแสง หลังจากลั่วอวิ๋นซานถูกตนฆ่า ก็ถูกส่งไปอยู่ใน ‘หุบเหวไร้สิ้นสุด’ ภายหน้าตนต้องสามารถนำออกมาและครอบครองได้แน่
ส่วนห้องโถงมรรคาสวรรค์ ตนได้มาตั้งแต่ยังเด็ก ด้านกระบี่ศุภโชค เมื่อไม่นานมานี้มารดาลั่วชิงสวินมอบให้ตนมาแล้ว
หรือพูดอีกอย่างก็คือ บรรดาสมบัติหกชิ้นที่เจ้าแห่งมรรคาสวรรค์ทิ้งไว้ในตอนนั้น ตนได้มาแล้วสี่ชิ้น!
มิหนำซ้ำ โลงนิรันดร์สมบัติชิ้นที่ห้าก็อยู่ตรงหน้าเขา
เหลือเพียงตำราเทพไร้ขอบเขตนั่น ที่ตอนนี้ยังอยู่ที่ตระกูลลั่ว!
ลู่ป๋อหยาพูดต่อ “ตอนนั้นที่โลกชั้นล่างดินแดนรกร้างโบราณ ยามลุงเจ้าจากไปได้มอบกระบี่ศุภโชคให้ข้า และข้าก็มอบให้แม่เจ้าหลังจากนางฟื้นความทรงจำในอดีต”
“ส่วนห้องโถงมรรคาสวรรค์ นั่นเป็นสิ่งที่แม่เจ้าทิ้งไว้ให้เจ้า ตอนนี้เจ้าได้พบข้าแล้ว คิดว่าต้องเคยได้พบแม่เจ้า ได้รู้เรื่องราวบางอย่างที่เกิดขึ้นตอนนั้น คิดว่ากระบี่ศุภโชคนางก็คงมอบให้เจ้าแล้ว”
หลินสวินพยักหน้า เล่าเรื่องที่ตนชิงหินเทพพรสวรรค์และดาบเงาแสงให้ลู่ป๋อหยาฟังทั้งหมด
ได้ยินดังนั้นลู่ป๋อหยาก็อึ้งไป แววโกรธเกรี้ยวฉายวาบในดวงตา “ลั่วฉงคนนี้ ถึงกับส่งระดับอมตะอย่างลั่วอวิ๋นซานมา ทั้งใช้ดาบเงาแสงมาต่อกรกับเจ้า ช่างสติฟั่นเฟือน! ยังดีที่เจ้าไม่เกิดเรื่อง หาไม่แล้ว…”
แค่คิดถึงผลลัพธ์เช่นนั้นลู่ป๋อหยายังอดหวาดหวั่นไม่ได้
หลินสวินยิ้มเอ่ย “ท่านลู่ ยิ่งเป็นแบบนี้ก็ยิ่งพิสูจน์ว่าการมีอยู่ของข้าทำให้ตระกูลลั่วรู้สึกได้ถึงภัยคุกคามรุนแรง ข้าคิดว่าการตายของลั่วอวิ๋นซาน รวมถึงการหายไปของดาบเงาแสง สามารถทำให้พวกคนตระกูลลั่วอย่างลั่วฉงหัวฟัดหัวเหวี่ยงได้แล้ว”
ลู่ป๋อหยาสีหน้าซับซ้อน ถอนใจเอ่ยว่า “ข้ารับปากตาทวดเจ้าไว้ ชาตินี้จะไม่ยุ่งเรื่องภายในตระกูลลั่ว และจะไม่ลงมือกับใครก็ตามที่เป็นคนในตระกูลลั่ว นี่ย่อมรวมถึงคนในตระกูลสายรองพวกนั้นด้วย ถ้าไม่ใช่เพราะเป็นเช่นนี้ หลายปีนี้อาจจะไม่เกิดเรื่องมากมายขนาดนี้ก็ได้…”
สีหน้าละอายผุดขึ้นบนใบหน้าชราซูบตอบของเขา
ก่อนหน้านี้หลินสวินได้รู้เรื่องนี้จากลั่วชิงสวินแล้ว จะไปโทษลู่ป๋อหยาได้อย่างไร เอ่ยเสียงเบาทันทีว่า
“ท่านลู่ ตอนข้ายังเล็กท่านก็เคยพูดมาแล้วว่า ชายชาตรีกระทำการใด ต่อให้เป็นเรื่องชี้เป็นชี้ตายก็ต้องทำตามคำพูด นี่เป็นสัญญาของท่าน ท่านแม่ข้ากับข้า… ไม่เคยคิดกล่าวโทษท่านสักนิด”
เขาหยุดไปครู่หนึ่ง ดวงตาดำปรากฏแววแน่วแน่ “ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ข้ามาถึงน่านฟ้าที่หกแห่งนี้แล้ว เรื่องตระกูลลั่วก็ให้ข้าสะสางเถอะ!”
——
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์