ตอนที่ 2733 เขาตำรา – ตอนที่ต้องอ่านของ Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
ตอนนี้ของ Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง ตอนที่ 2733 เขาตำรา จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที
ตอนที่ 2733 เขาตำรา
งานเลี้ยงมีเพียงสามคน หลินสวินจึงเอาโต๊ะตัวอื่นออกไป
เขากับเฟิงซีซีและหลิวอวิ๋นเฟิงนั่งดื่มเหล้าพูดคุยล้อมโต๊ะตัวหนึ่ง
ยามค่ำมาเยือน ดวงดาวน้อยนิดจันทราอับแสง หมอกภูเขาปกคลุม บรรยากาศก็ชื่นมื่นกลมเกลียว
เฟิงซีซีอยู่อันดับสองตั้งแต่การถกมรรคเก้ายอดเขาเมื่อพันปีก่อน และพันปีนี้ยังมีโอกาสบรรลุมรรคาอมตะหลายครั้ง แต่นางเก็บกลั้นไว้
เพราะเป้าหมายของนางสูงยิ่งกว่า
หลิวอวิ๋นเฟิงก็มีชื่อเสียงยิ่งในเก้ายอดเขา เพราะเขาบ้าระห่ำนัก หากต่อสู้ขึ้นมาก็ไม่เสียดายชีวิตอย่างกับคนเสียสติ มองความเป็นตายเหมือนความว่างเปล่า
เป็นพวกร้ายกาจที่เลื่องชื่อลือนามในบรรดาผู้สืบทอดลัทธิแรกกำเนิด
เพียงแต่หลังจากพวกเขาเข้าหอแรกนภา สถานการณ์ล้วนยากเข็ญ ถูกคนไม่น้อยละทิ้งและต่อต้าน แม้ไม่กระทบมรรควิถี แต่ในใจอย่างไรย่อมไม่เบิกบานอยู่ดี
สาเหตุก็ง่ายดายนัก ในลานมรรคสำแดงสวรรค์ก่อนหน้านี้ พวกเขาคนหนึ่งยอมแพ้เอง อีกคนสละสิทธิ์การต่อสู้ ทำให้ถูกคนใหญ่คนโตบางส่วนหมายหัวแล้ว
หรือพูดอีกอย่าง เท่ากับติดร่างแหไปด้วยเพราะหลินสวิน
ยามนี้เมื่อเฟิงซีซีชวนหลิวอวิ๋นเฟิงมาสร้างพันธมิตรด้วยกัน ฝ่ายหลังลังเลเล็กน้อย แต่ก็พยักหน้าตกลงอยู่ดี
หลินสวินย่อมไม่คัดค้าน
เขาเพิ่งมาได้ไม่นาน หากได้เฟิงซีซีกับหลิวอวิ๋นเฟิงเป็นพันธมิตรย่อมเป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่ง
“จริงสิ ศิษย์พี่หลิวเคยได้ยินชื่อศิษย์พี่กู่อวี๋เจียนไหม” หลินสวินเอ่ยถาม
หลิวอวิ๋นเฟิงดวงตานิ่งขึงเล็กน้อย พยักหน้าเอ่ยว่า “รู้จัก เมื่อนานมาแล้วเขาเป็นบุคคลชั้นผู้นำในหมู่ผู้สืบทอดแกนหลักยอดเขาที่สาม ความสามารถเหนือธรรมดา คนใหญ่คนโตในสำนักให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง”
“แต่เมื่อแปดพันปีก่อนตอนศิษย์พี่กู่อวี๋เจียนออกไปปฏิบัติภารกิจของสำนัก กลับหายสาบสูญไปอย่างประหลาด จนตอนนี้ยังไม่ได้ยินข่าวคราว”
“ตอนนั้นเรื่องนี้ก็ทำให้ทั้งสำนักสั่นสะเทือน ต่างสงสัยว่าศิษย์พี่กู่อวี๋เจียนประสบเหตุไม่คาดฝัน แต่คนใหญ่คนโตในสำนักพวกนั้นสืบหาอยู่นานก็หาสาเหตุไม่เจอ ในที่สุดเรื่องนี้ก็จบลงโดยไม่มีข้อสรุป”
“แปดพันปีก่อน…” หลินสวินหรี่ตาลงเล็กน้อย
“ทำไมศิษย์น้องถามถึงเรื่องนี้ขึ้นมา” หลิวอวิ๋นเฟิงเอ่ย
“ไม่มีอะไร ข้าก็เคยได้ยินเรื่องของเขามาบ้าง รู้สึกว่าประหลาดยิ่ง” หลินสวินกล่าว “ศิษย์พี่หลิว ท่านก็มาจากยอดเขาที่สาม ผู้นำยอดเขาหนานป๋อหงเคยให้ท่านตั้งสัตย์สาบานว่าจะสวามิภักดิ์ต่อเขาหรือไม่”
หลิวอวิ๋นเฟิงหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย เอ่ยว่า “ศิษย์น้องเจ้าได้ยินเรื่องนี้มาจากใคร”
หลินสวินกล่าว “ใครเล่าไม่สำคัญ ที่สำคัญก็คือเรื่องนี้เป็นจริงหรือไม่”
หลิวอวิ๋นเฟิงกวาดตามองรอบๆ ปราดหนึ่ง สื่อจิตเอ่ยว่า ‘ย่อมเป็นเรื่องจริง ในหมู่ผู้สืบทอดแกนหลักของยอดเขาที่สาม พวกคนที่หนานป๋อหงให้ความสำคัญทุกคนผ่านเรื่องแบบนี้กันแทบทั้งนั้น แต่หนานป๋อหงไม่ได้บังคับให้ใครต้องตอบรับ’
เขาหยุดไปแล้วพูดต่อว่า ‘เรื่องพวกนี้ล้วนเป็นความลับของยอดเขาที่สาม ขอเพียงเป็นคนที่ถูกหนานป๋อหงถาม ต่างรับรองว่าจะไม่แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป ข้าก็ไม่เว้น แต่ข้ากลับคิดไม่ถึงว่าศิษย์น้องก็รู้เรื่องนี้ด้วย’
เขาตกตะลึงนัก
หลินสวินครุ่นคิดครู่หนึ่ง ในที่สุดก็เก็บกลั้นไว้ ไม่ได้บอกความจริงเรื่องกู่อวี๋เจียนประสบเคราะห์ออกไป
“พวกเจ้ากระซิบกระซาบอะไรกันอยู่” เฟิงซีซีเห็นทั้งสองสื่อจิตพูดคุยกันก็เอ่ยปากอย่างอดไม่ได้
หลินสวินยิ้มให้ ไม่ได้ปิดบัง บอกเนื้อหาที่คุยกันก่อนหน้านี้
“เจ้าเฒ่านี่มีฐานะเป็นผู้นำยอดเขา แต่กลับรวมลอบรวบรวมกำลังส่วนตัว เขาคิดจะตั้งตัวเป็นเจ้าในอาณาเขตของลัทธิแรกกำเนิดหรือไร”
เฟิงซีซีหัวเราะหยัน แววตาเผยความชิงชัง “จะว่าไปผู้นำยอดเขาที่สองอวิ๋นเทียนหมิงก็ไม่ได้ต่างกัน สนใจแต่ผู้สืบทอดที่มาจากน่านฟ้าที่แปดพวกนั้น ขอเพียงมีผลประโยชน์อะไร จะต้องถูกเขาจัดแจงให้ผู้สืบทอดที่เขาให้ความสำคัญพวกนั้นก่อน ทำให้ศิษย์สืบทอดแท้จริงไม่พอใจมาไม่รู้เท่าไรแล้ว”
หลินสวินยิ้มกล่าวว่า “ภายหน้าไม่ช้าก็เร็วพวกเขาต้องถึงคราวซวย”
ไม่ว่าจะเป็นอวิ๋นเทียนหมิงหรือหนานป๋อหงต่างก็มาจากขุมอำนาจที่เป็นศัตรูกับเขา ภายหน้าย่อมไม่อาจปล่อยพวกเขาไป
“ข้าล่ะคิดไม่ถึง หลังหลุดจากโคลนตมอย่างยอดเขาที่สองมาแล้ว เดิมทีนึกว่าพอเข้าหอแรกนภาก็จะไม่มีเรื่องแย่มากมายขนาดนั้นแล้ว แต่ตอนนี้ดูท่าข้ายังคิดง่ายเกินไป”
เฟิงซีซีถอนใจเบาๆ
“พวกเจ้ารู้ไหมว่าทำไมคืนนี้ผู้สืบทอดหอแรกนภาคนอื่นถึงไม่มาตามนัด” หลิวอวิ๋นเฟิงเอ่ย
สายตาของหลินสวินกับเฟิงซีซีต่างมองไปอย่างไม่อาจห้าม
หลิวอวิ๋นเฟิงไม่อุบไว้อีก เอ่ยตรงๆ ว่า “เพราะนี่เป็นคำสั่งของฉีหลิงเจิ้น”
“เป็นเขาดังคาด!”
เนตรงามของเฟิงซีซีนิ่งขึง
ฉีหลิงเจิ้น ผู้นำเหล่าผู้สืบทอดหอแรกนภา ตั้งแต่เมื่อประมาณสามร้อยปีก่อนก็แจ้งมรรคอมตะ บรรลุระดับอมตะขั้นอายุขัยเทียมฟ้าแล้ว โดดเด่นสะดุดตาเป็นอย่างยิ่ง
เดิมทีด้วยมรรควิถีของเขาก็มีคุณสมบัติเป็นรองผู้ดูแลคนหนึ่งแล้ว
แต่ตามกฎของลัทธิแรกกำเนิด หลังจากบรรลุระดับอมตะขั้นอายุขัยเทียมฟ้า ยังต้องเข้าทดสอบครั้งหนึ่ง
มีเพียงเอาชนะหนึ่งในรองผู้ดูแลยี่สิบสี่คนจึงจะสามารถเข้าแทนที่ กลายเป็นรองผู้ดูแลคนหนึ่งได้
แต่คนอย่างรองผู้ดูแลจะธรรมดาสามัญได้หรือ
อย่ามองว่าเป็นเพียงรองผู้ดูแล มรรควิถีของบางคนในกลุ่มนั้นบรรลุระดับอมตะขั้นอายุขัยเทียมฟ้าสัมบูรณ์ไปแล้ว อีกทั้งพวกที่มีรากฐานน่ากลัวยังมีไม่ขาด
ในสามร้อยปีที่บรรลุระดับอมตะขั้นอายุขัยเทียมฟ้านี้ ฉีหลิงเจิ้นเคยท้าทายหลายต่อหลายครั้ง แต่คว้าน้ำเหลวทุกครั้งไป
ทำให้แม้ตอนนี้ฉีหลิงเจิ้นจะเป็นระดับอมตะขั้นอายุขัยเทียมฟ้า แต่ก็ยังมีฐานะเป็นศิษย์หอแรกนภาเช่นเดิม
ความจริงแล้วคนเช่นฉีหลิงเจิ้นในสามหอก็มีไม่น้อย
แค่ในหมู่ศิษย์หอแรกนภาสามสิบกว่าคน ก็มีระดับอมตะขั้นอายุขัยเทียมฟ้าห้าคนแล้ว
หลินสวินก้าวไปข้างหน้า กุมมือคารวะ
เขาจำอีกฝ่ายได้ มีนามว่าเจี่ยงเยี่ย ยามเขามารับเบี้ยประจำเดือนที่เรือนสมบัติสวรรค์ครั้งแรกเคยถูกเฉาจ้งหลินกลั่นแกล้ง ภายหลังผู้ที่ลงมือจัดการเฉาจ้งหลินก็คือผู้อาวุโสเจี่ยงเยี่ยคนนี้
ว่ากันว่าหลายปีมานี้เจี่ยงเยี่ยดูแลเขาตำรามาตลอด และตัวเขาเองยังเป็นผู้อาวุโสที่เปี่ยมด้วยตำนานคนหนึ่งในหอแรกนภา มรรควิถีทั้งตัวลึกสุดหยั่ง
ในขณะเดียวกันเจี่ยงเยี่ยก็ถูกมองเป็นมือซ้ายขวาของรองหัวหน้าหอแรกมายาตู๋กูยง
บนเก้าอี้โยก เจี่ยงเยี่ยลืมตาขึ้นช้าๆ เอ่ยว่า “เจ้ามาคราวนี้คงเพราะคิดจะยืมอ่านมรดกอมตะกระมัง”
หลินสวินพยักหน้า
เรื่องนี้ย่อมไม่อาจปิดบังอยู่แล้ว ทั้งลัทธิแรกกำเนิดในตอนนี้ต่างรู้ว่าเขาทำภารกิจเก้าดาราสามอย่างได้สำเร็จ
“ข้าคาดไว้ก่อนแล้วว่าจะต้องมีวันนี้ แต่คิดไม่ถึงว่าจะเร็วปานนี้”
เจี่ยงเยี่ยลุกจากเก้าอี้โยก เอ่ยเจือแววทอดถอนใจว่า “จะว่าไปข้าก็ไม่ได้เจอคนมายืมอ่านมรดกอมตะมานานแล้ว เจ้าตามข้ามาเถอะ”
ขณะพูดก็หันหลังเดินไปทางตำหนักเก่าแก่นั้นแล้ว
หลินสวินตามไปติดๆ
ในตำหนักกว้างขวางยิ่งนัก ตู้ตำราเรียงเป็นแถวแน่นขนัด ถึงกับมีถึงหลักพัน บนตู้ตำราแต่ละตู้ต่างมีของอย่างม้วนหยก ม้วนตำรา ผ้าทอหยก หนังสัตว์ ม้วนไม้ไผ่วางเรียงอยู่
ยามหลินสวินเห็นภาพนี้ก็รู้สึกตาพร่าอย่างอดไม่ได้
“นี่เป็นตำหนักแรกของเขาตำรา มีตำราต่างๆ เรียงกันอยู่หนึ่งล้านหนึ่งแสนหกหมื่นสี่พันสามร้อยยี่สิบเจ็ดชนิด รวมวิชาต่างๆ ในการฝึกมรรควิถี นอกจากนี้ยังมีตำราลับกับมรดกหลอมอาวุธ หลอมยา เลี้ยงสัตว์ ปลูกพืชวิญญาณ ตรวงสอบวัตถุด้วย”
เจี่ยงเยี่ยพูดพลางพาหลินสวินเดินไปในส่วนลึกของตำหนัก
จนกระทั่งมาถึงสุดทาง ประตูสำริดปิดสนิทบานหนึ่งก็ปรากฏ ยามผลักประตูเข้าไป ภายในถึงกับเป็นที่เก็บคัมภีร์อีกแห่ง!
“นี่เป็นตำหนักที่สอง เก็บคัมภีร์ไว้ห้าแสนเก้าหมื่นชนิด เทียมกับตำราตำหนักที่หนึ่งแล้ว พวกที่เก็บที่นี่ย่อมล้ำค่ากว่ามาก”
ขณะพูดเจี่ยงเยี่ยก็เดินหน้าต่อ
ก็ด้วยการเดินแนะนำตลอดทางเช่นนี้ ทั้งสองจึงผ่านตำหนักหลังแล้วหลังเล่ามาโดยไม่รู้ตัว
และความสะท้านก็ผุดขึ้นในใจหลินสวินอย่างเลี่ยงไม่ได้ ตลอดทางมานี้ที่เขาเห็นมีแต่ตำรามรดกมากมายมหาศาลเหมือนทะเลควัน ภาพเช่นนั้นเกรียงไกรเกินไปจริงๆ
มรดกเป็นรากฐานของสำนักแห่งหนึ่ง
และจากจำนวนคัมภีร์มรรคที่เก็บไว้นี้ ก็ดูออกว่าภูมิหลังและรากฐานของลัทธิแรกกำเนิดน่ากลัวปานไหน!
ก็ในตอนนี้เองเจี่ยงเยี่ยหยุดเท้าที่หน้าประตูสำริดที่อยู่สุดตำหนักหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “หลังประตูบานนี้ก็คือตำหนักที่เก้า มรดกอมตะที่เจ้าอยากยืมอ่านก็เก็บไว้ในนั้น”
หลินสวินเงยหน้าขึ้นทันที
——
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์