ตอน ตอนที่ 2764 ลานมรรคเปิดสวรรค์ จาก Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง
ตอนที่ 2764 ลานมรรคเปิดสวรรค์ คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย
ตอนที่ 2764 ลานมรรคเปิดสวรรค์
เลื่อนมองข้างชื่อของศิษย์พี่เฉิงอวี๋เขียนกำกับตำแหน่งไว้ว่า ‘ราชันวิญญาณ’
หรือกล่าวได้ว่าตอนนี้ศิษย์พี่เฉิงอวี๋ก็เป็นคนใหญ่คนโตในหอบรรพจารย์ลัทธิวิญญาณ เทียบเท่ากับผู้ดูแลสามหอของลัทธิแรกกำเนิด!
สังเกตเห็นจุดนี้หลินสวินก็อดตกใจไม่ได้
เมื่อมองเช่นนี้ สถานการณ์ของพวกศิษย์พี่สามในลัทธิวิญญาณก็ไม่ได้ย่ำแย่
นี่ย่อมเป็นเรื่องดีอย่างหนึ่ง
‘ต้องหาเวลาคุยกับศิษย์พี่เฉิงอวี๋สักหน่อย’
หลินสวินลอบกล่าวในใจ
เช้าวันรุ่งขึ้น
พื้นที่ใจกลางแดนแรกเริ่ม
พร้อมกับเสียงอึงอล ลานมรรคเก่าแก่แห่งหนึ่งค่อยๆ โผล่ขึ้นมาจากใต้ผืนดิน แสงมงคลนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาพร้อมกัน ทะยานขึ้นสู่ชั้นเมฆ
กลางฟ้าดินมีเสียงมหามรรคเก่าแก่ดังขึ้นแว่วๆ
ยามที่ลานมรรคแห่งนั้นปรากฏชัดเจนอย่างแท้จริง ในพื้นที่ใกล้เคียงล้วนเดือดปะทุทั้งแถบ
ลานมรรคเปิดสวรรค์!
ลานมรรคแห่งหนึ่งที่เจ้าลัทธิแรกกำเนิดสร้างขึ้นเองกับมือในตอนก่อตั้งลัทธิแรกกำเนิด ลือกันว่าเก็บเกี่ยวเก้าบ่อเกิดแรกกำเนิดใหญ่ ผสานกับเหล็กเทพอมตะสามพันชนิด ใช้มหาอภินิหารสูงสุดหลอมขึ้นมา
นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ทุกๆ พันปีงานถกมรรคเก้ายอดเขาจะจัดขึ้นที่ลานมรรคเปิดสวรรค์ ทุกครั้งล้วนปรากฏคนสะท้านยุคที่เฉิดฉายพร่างตากลุ่มใหญ่
เหมือนอย่างเหล่าคนใหญ่คนโตที่ดำรงตำแหน่งสำคัญในสามหอเก้ายอดเขาในตอนนี้ สมัยยังเยาว์วัยล้วนเคยเข้าร่วมงานถกมรรคเก้ายอดเขา และเคยโดดเด่นเฉิดฉายในลานมรรคเปิดสวรรค์!
เวลานี้ผู้นำยอดเขา ผู้อาวุโสและผู้สืบทอดเก้ายอดเขาใหญ่ล้วนปรากฏตัวในเก้าพื้นที่ใกล้กับลานมรรคตามลำดับ
อีกด้านหนึ่งของลานมรรคเป็นแท่นเมฆาที่งดงามตระการตา
ที่นี่คือแท่นพิธี ทูตจากสามหอบรรพจารย์อย่างลัทธิวิญญาณ ลัทธิพ่อมดและลัทธิฌาน รวมถึงเหล่าคนใหญ่คนโตที่สิบยักษ์ใหญ่อมตะส่งมาล้วนนั่งอยู่บนแท่นเมฆาแล้ว
สุ่มเลือกสักคนจากในนั้น ล้วนมีอานุภาพล้นฟ้าที่สามารถทำให้คนแหงนมองและยำเกรง!
นอกจากนี้ยังมีพวกเฒ่าดึกดำบรรพ์จากขุมอำนาจปลายยอดในน่านฟ้าที่เจ็ดบางส่วน พลังปราณแต่ละคนล้วนอยู่ขั้นดับเทพขึ้นไป
คนขั้นอายุขัยเทียมฟ้าก็มีเช่นกัน แต่ล้วนเป็นเพียงตัวประกอบ
ลำพังแค่จำนวนทูตและผู้ชมงานก็อลังการเช่นนี้แล้ว แค่คิดก็รู้ว่างานถกมรรคเก้ายอดเขาที่มีทุกๆ พันปีของลัทธิแรกกำเนิดมีอิทธิพลยิ่งใหญ่ปานใด!
ห่างจากแท่นเมฆาไม่ไกล มีเหล่าคนใหญ่คนโตในสามหอของลัทธิแรกกำเนิดนั่งอยู่
รองหัวหน้าหอแรกนภาเสวียนเฟยหลิง ฝูเหวินหลี ฉีเซียวอวิ๋น
รองหัวหน้าหอแรกมายาตู๋กูยง หยวนอู่เทียน ชือเวิน
รองหัวหน้าหอแรกพิสุทธิ์ฟางเต้าผิง อวี๋สิ่ง ทังชิว
ล้วนเข้าร่วมอยู่ในนั้น
ด้านล่างพวกเขาเป็นคนระดับผู้อาวุโสในสามหอ
ส่วนบรรดาผู้ดูแลและรองผู้ดูแลในสามหอต่างกระจายตัวรอบลานมรรคเปิดสวรรค์ ส่วนหนึ่งคอยดูแลกฎระเบียบของงานถกมรรคเก้ายอดเขา อีกส่วนรับผิดชอบเรื่องต่างๆ ในงานถกมรรคเก้ายอดเขา
หลินสวินก็ถูกจัดให้อยู่ข้างตัวเถาเหลิ่ง ยืนอยู่ด้านข้างลานมรรคเปิดสวรรค์ รับผิดชอบดูแลกฎระเบียบงานถกมรรคเก้ายอดเขา
แม้จะกล่าวเช่นนี้แต่อันที่จริงไม่มีงานให้ทำสักนิด
บริเวณใกล้เคียงลานมรรคเปิดสวรรค์แห่งนี้ คนใหญ่คนโตเนืองแน่น คว้ามือคราเดียวรวบได้กำใหญ่ ใครจะกินดีหมีหัวใจเสือกล้าก่อเรื่องวุ่นวายที่นี่
เท่าที่หลินสวินรู้ ในบรรดาเฒ่าชราที่มุ่งหน้ามาชมงานครั้งนี้ ลำพังแค่ขั้นหลุดพ้นก็มีถึงเก้าคน!
นอกจากนี้ขั้นดับเทพก็มีหกสิบกว่าคน!
นี่เป็นจำนวนที่ทำให้ทั่วทั้งโลกยอดนิรันดร์ล้วนใจสะท้าน เมื่อขุมอำนาจเช่นนี้รวมตัวกัน ล้วนสามารถกวาดล้างทั่วหล้าได้
ลองคิดว่าขุมอำนาจอย่างสี่หอบรรพจารย์ สิบยักษ์ใหญ่อมตะ กอปรกับขุมอำนาจปลายยอดบางส่วนของน่านฟ้าที่เจ็ด นอกเสียจากเผ่าเทพนิรันดร์แห่งน่านฟ้าที่เก้าเหล่านั้นจะปรากฏตัว หาไม่นี่ย่อมเป็นตัวแทนพลังอันแข็งแกร่งที่สุด เกรียงไกรที่สุด และน่าสะพรึงที่สุดของโลกยอดนิรันดร์แล้ว!
เวลานี้บรรยากาศในลานเข้มงวดและเงียบกริบ
หลินสวินยังดี เขาไม่มีคุณสมบัติเข้าร่วมการถกมรรคนี้ สภาวะจิตจึงเยือกเย็นยิ่ง
แต่อย่างผู้สืบทอดแกนหลักเก้ายอดเขาใหญ่เหล่านั้น แต่ละคนล้วนตื่นเต้นฮึกเหิม แววตาคึกคะนองกระเหี้ยนกระหือรือ
ใครๆ ต่างรู้ดีว่างานถกมรรคเก้ายอดเขาเป็นเวทีใหญ่อย่างหนึ่ง ขอเพียงสามารถแสดงความสามารถโดดเด่น ย่อมสามารถโด่งดังทั่วหล้า ชื่อเสียงเลื่องลือทั่วสิบทิศอย่างแน่นอน!
หลินสวินทอดสายตามองทางแท่นพิธี
สถานที่นั้นมีเงาร่างคนใหญ่คนโตนั่งกันแน่น คนทั่วไปมองจากที่ไกลๆ ย่อมต้องเกิดความรู้สึกสะเทือนไหวประหนึ่งทวยเทพมาเยือนโลกอย่างแน่นอน
แม้จะเป็นหลินสวิน ในใจก็เย็นวาบไม่หยุดเช่นกัน
แม้ว่าคนใหญ่คนโตเหล่านั้นจะเก็บงำกลิ่นอาย ทว่าแต่ละคนนั่งอยู่ตรงนั้นก็เหมือนทวยเทพประทับเก้าชั้นฟ้า อานุภาพแต่ละคนล้วนแข็งแกร่ง
หืม?
หลินสวินสังเกตเห็นว่าในหอบรรพจารย์ลัทธิฌานถึงกับมีเงาร่างคุ้นตาสายหนึ่งนั่งอยู่…
จอมมุนีชื่อเย่!
หลินสวินนัยน์ตาหดรัดทันที
สองเดือนก่อนเขากับศิษย์พี่สองคนอย่างผู่เจินและเสวี่ยหยาเพิ่งต่อสู้ดุเดือดกับอีกฝ่าย ไหนเลยจะคิดว่าอีกฝ่ายถึงกับมายังหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดอย่างโจ่งแจ้งหน้าตาเฉย!
ทั้งยังเป็นผู้นำคณะทูตของหอบรรพจารย์ลัทธิฌานอีกด้วย
จอมมุนีชื่อเย่มีมรรควิถีขั้นหลุดพ้น ยามสายตาหลินสวินมองไป เขาก็รับรู้ได้ในทันที เงยหน้าขึ้นน้อยๆ
และยามที่เห็นเงาร่างหลินสวินที่อยู่ไกลออกไปชัดเจน จอมมุนีชื่อเย่ยิ้มบางๆ พนมสองมือ พยักหน้าให้หลินสวินจากที่ไกลๆ สีหน้าสงบเยือกเย็น
มองความผิดปกติไม่ออกแม้เพียงเสี้ยว และไม่มีไอเข่นฆ่าใดๆ สักนิด สบายและสงบนิ่งเกินไป ราวกับพานพบสหายเก่าคนหนึ่ง
คนใหญ่คนโตบริเวณใกล้เคียงแท่นชมงานล้วนสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของจอมมุนีชื่อเย่ อดมองตามสายตาของเขาเข้ามาไม่ได้
“ที่แท้เป็นเจ้าหมอนี่”
“หลินสวินหลินเต้ายวน ในที่สุดก็ได้พบตัวจริงแล้ว”
“น่าสนใจ”
ภาพที่ทั้งคู่จากไปด้วยกันถูกคนมากมายเห็นอยู่ในสายตา เหล่าคนใหญ่คนโตลัทธิแรกกำเนิดเหล่านั้นล้วนอึ้งไป สีหน้าแปลกไปจากเดิม
ทว่าไม่มีใครขัดขวาง
จนกระทั่งมาถึงถ้ำสถิตของหลินสวิน เฉิงอวี๋ถอนหายใจยาว คล้ายทั้งตัวผ่อนคลายขึ้นมาก
“ก่อนหน้านี้ศิษย์พี่เกร็งมากหรือ”
ในถ้ำสถิต หลินสวินยิ้มพลางรินน้ำชาให้เฉิงอวี๋
เฉิงอวี๋ก้มหน้าอย่างขวยเขิน กล่าวว่า “รู้สึกเกร็งนิดหน่อยจริงๆ”
หลินสวินอึ้งไปครู่หนึ่ง
ได้ยินศิษย์พี่จวินหวนบอกนานแล้วว่าศิษย์พี่สิบหกเฉิงอวี๋นิสัยเก็บตัวขี้อาย แต่กลับนึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายเป็นถึงระดับอมตะแล้ว นิสัยยังขี้อายเช่นนี้อยู่อีกได้อย่างไร
“ไม่เป็นไร ที่นี่คือลัทธิแรกกำเนิด พวกเราไม่ได้ทำอะไรที่น่าอับอาย ไม่จำเป็นต้องสนใจความคิดเห็นของพวกเขาสักนิด”
หลินสวินกล่าวยิ้มๆ
เฉิงอวี๋ร้องอืมคราหนึ่ง ประคองถ้วยชาที่หลินสวินยื่นมาให้ด้วยสองมือ นัยน์ตาดุจดวงดาราหลุบต่ำ ท่าทางเชื่อฟังและนิ่งเงียบ
นี่ทำให้หลินสวินเกิดความรู้สึกแปลกๆ อย่างหนึ่ง เสมือนคนที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่ศิษย์พี่สิบหก แต่เป็นเด็กน้อยว่าง่ายที่ต้องให้ตนปกป้องและเป็นห่วง พาให้คนเมตตาเอ็นดู
“ศิษย์น้อง เจ้าเรียกข้ามาทำไมหรือ”
บรรยากาศเงียบแบบแปลกๆ อยู่บ้าง เฉิงอวี๋ลังเลครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ยังเอ่ยถามเสียงเบา
“เอ่อ ก็ไม่มีอะไร แค่อยากถามเรื่องของท่านและพวกศิษย์พี่สามในหอบรรพจารย์ลัทธิวิญญาณสักหน่อย” หลินสวินกล่าว
เฉิงอวี๋เสียงนุ่มนวลใสไพเราะ เพียงแต่ยังคงหลุบตากล่าวดังเดิม “พวกเราสบายดีมาก ตอนที่ข้ามา ศิษย์พี่สามบอกว่าหากพบเจ้าให้บอกเจ้าว่าไม่ต้องเป็นห่วงพวกเรา ศิษย์พี่ผู่เจินและศิษย์น้องเสวี่ยหยาล้วนบอกสถานการณ์เร็วๆ นี้ของเจ้าให้ทุกคนฟังแล้ว”
เมื่อรู้ว่าศิษย์พี่ผู่เจินและศิษย์พี่เสวี่ยหยาได้พบกับพวกศิษย์พี่สามแล้ว หลินสวินก็ผ่อนคลายลงไม่น้อยทันที ยิ้มกล่าวว่า “เช่นนี้ก็ดี”
ว่าจบเขาก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรไปชั่วขณะ
ศิษย์พี่เฉิงอวี๋ทำให้เขารู้สึกผิดแผกไปมากจริงๆ เสมือนเผชิญหน้ากับเด็กสาวที่เชื่อฟังและขี้อายคนหนึ่ง กลัวเหลือเกินว่าหากพูดอะไรไม่ถูกจะล่วงเกินนาง
ความรู้สึกนี้แปลกชอบกล
ดังนั้นบรรยากาศจึงเปลี่ยนเป็นแปลกประหลาดจนเริ่มอึดอัด
“อืม… ศิษย์พี่ไม่มีอะไรจะพูดกับข้าหรือ”
ในที่สุดหลินสวินก็อดเอ่ยถามไม่ได้
เฉิงอวี๋อึ้งงัน วางถ้วยชาในมือลงเบาๆ ลังเลอยู่นานถึงค่อยกล่าวเสียงเบา “ศิษย์น้อง ข้าติดตามอาจารย์มาฝึกปราณในสำนักตั้งแต่เด็ก ไม่เข้าใจความรักชายหญิงอะไร ดังนั้น ข้า… ข้าเกรงว่า… เกรงว่า…”
หลินสวินอึ้งไป “เกรงว่าอะไร”
ดวงหน้างดงามเกลี้ยงเกลาของเฉิงอวี๋แดงเรื่อทั้งแถบ คล้ายประกายเพลิงลุกโชนไม่มีผิด นางคล้ายรวบรวมความกล้าแล้วกล่าวว่า “ข้าเกรงว่าจะรับไมตรีของเจ้าไม่ได้”
กล่าวจบนางก้มหน้าผากมนงุด คล้ายอยากแทรกแผ่นดินหนีให้รู้แล้วรู้รอด เขินอายอย่างยิ่ง
หลินสวินราวถูกสายฟ้าฟาด “???”
……………………….
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์