Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ นิยาย บท 2779

สรุปบท ตอนที่ 2779 เปิดโลง: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

ตอนที่ 2779 เปิดโลง – ตอนที่ต้องอ่านของ Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

ตอนนี้ของ Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง ตอนที่ 2779 เปิดโลง จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

ตอนที่ 2779 เปิดโลง

ระดับนิรันดร์!

สำหรับหลินสวิน นี่เป็นระดับที่จะปรากฏเพียงในหมู่เผ่าเทพนิรันดร์แห่งน่านฟ้าที่เก้าเท่านั้น

ราวกับตำนาน

แต่ตอนนี้กลับมีระดับนิรันดร์ตัวเป็นๆ อยู่ตรงหน้าเขา

ผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งที่เขาเคารพเลื่อมใสมาตั้งแต่สมัยเป็นเด็กหนุ่ม…

ไท่เสวียน!

ชั่วขณะนั้นสายตาที่หลินสวินมองไปยังไท่เสวียนก็เปลี่ยนไป แฝงความใคร่รู้และสะท้านสะเทือน

นิรันดร์ สามารถไร้กลัวเกรงต่อเคราะห์มรรคห้าเสื่อม คงอยู่เป็นนิรันดร์ไม่เสื่อมสลายในการดับสิ้นของยุคสมัยได้อย่างแท้จริงหรือ

ก็เป็นตอนนี้เองไท่เสวียนดีดนิ้วคราหนึ่งบนกระดานหมากที่อยู่ตรงหน้า

ในจักรวาลไพศาลผืนนี้ ทิศทางของดวงดาวมากมายเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเงียบๆ ทันที เหมือนดวงดาวหมุนเคลื่อนฉับพลัน!

“ดูไม่ออก ไม่เข้าใจจริงๆ”

เสวียนเฟยหลิงจับจ้องครู่หนึ่งก่อนส่ายหน้าไม่หยุด

ไท่เสวียนเงยหน้าขึ้นแล้วกล่าวว่า “หากเจ้าสามารถดูออกได้คงแจ้งมรรคนิรันดร์ไปนานแล้ว จะถูกขังอยู่ที่ขั้นหลุดพ้นนานขนาดนี้ได้อย่างไร”

เสวียนเฟยหลิงถอนหายใจเบาๆ “เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าตอนนี้เจ้าเหมือนกำลังสั่งสอนลูกหลานของตน ต่อหน้าเจ้าหนูนี่จะไว้หน้าข้าหน่อยได้หรือไม่”

ไท่เสวียนกลับไม่สนใจเขา สายตามองไปยังหลินสวินแล้วเอ่ยว่า “เฒ่าเสวียนบอกข้าแล้ว เจ้าอยากไปแหล่งสถานศุภโชคหรือ”

หลินสวินพยักหน้า

ไท่เสวียนกล่าว “ที่นั่นมีซากสถานยุคสมัยที่เก่าแก่ไม่น้อย ในซากสถานยุคสมัยทุกแห่งล้วนมีสิ่งมีชีวิตอมตะของยุคสมัยนั้นๆ สามารถเรียกพวกนั้นว่า ‘เผ่าเทพ’ ได้”

“เผ่าเทพหรือ” หลินสวินตกใจ

“ไม่ผิด พวกเขาเป็นเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งในยุคสมัยที่อยู่ เมื่อรอดชีวิตจากการดับสิ้นของยุคสมัยย่อมสามารถเรียกว่าเผ่าเทพได้”

ไท่เสวียนกล่าว “ความแตกต่างเดียวของพวกเขากับเผ่าเทพนิรันดร์แห่งน่านฟ้าที่เก้าคือ ไม่ว่าพวกเขาจะมาจากยุคสมัยไหน ล้วนไม่สามารถออกจากแหล่งสถานศุภโชคได้”

“พูดง่ายๆ คือ เจ้าสามารถมองแหล่งสถานศุภโชคเป็นคุกแห่งยุคสมัยแห่งหนึ่ง ซากสถานยุคสมัยที่อยู่ภายในก็เหมือนคุกแต่ละหลัง คนที่ถูกขังอยู่ภายในคือเผ่าเทพที่เหลือรอดมาจากการดับสิ้นของยุคสมัย”

“แน่นอนว่านี่เป็นเพียงการเปรียบเทียบ อันที่จริงซากสถานยุคสมัยทุกแห่งล้วนเรียกได้ว่าเป็นโลกที่กว้างใหญ่ไพศาลแห่งหนึ่ง เผ่าเทพที่อยู่ภายในสถานการณ์ก็ไม่ได้ย่ำแย่เหมือนนักโทษ”

“ถึงขั้นที่หากเข้าไปภายใน เจ้าอาจคิดว่าซากสถานยุคสมัยไม่ต่างอะไรกับโลกยอดนิรันดร์นัก…”

แววหวนระลึกวาบผ่านในดวงตาไท่เสวียน “เมื่อนานมาแล้วข้าเคยไปเสาะหาวาสนาที่แหล่งสถานศุภโชคกับพวกอู๋ยาง เฉินหลินคง ซิงเจีย บังเอิญได้เข้าไปในซากสถานยุคสมัยแห่งหนึ่ง ที่แห่งนั้นเหมือนกับร่องรอยเทพในตำนาน เผ่าเทพที่อาศัยอยู่ในนั้นแทบจะเหมือนเผ่าเทพนิรันดร์ของน่านฟ้าที่เก้า บรรพบุรุษของพวกเขาเคยมีผู้มากสามารถระดับนิรันดร์ที่แท้จริง…”

ในใจหลินสวินสะท้านไหว คิดไม่ถึงเด็ดขาดว่าแหล่งสถานศุภโชคจะเหลือเชื่อเช่นนี้

ซากสถานยุคสมัย เผ่าเทพ…

ทั้งหมดนี้ดูเหลือเชื่อขนาดนั้น

ไท่เสวียนเก็บความคิด พูดอย่างจริงจัง “ซากสถานยุคสมัยในแหล่งสถานศุภโชคมีเท่าไหร่กันแน่ไม่มีใครรู้ แต่สามารถมั่นใจได้ว่าในซากสถานยุคสมัยทุกแห่ง ล้วนมีอารยธรรมฝึกปราณที่สมบูรณ์อย่างหนึ่ง ในนั้นมีทั้งอันตรายแต่ก็มีวาสนา”

“หากเจ้าจะไป อย่าไปล่วงเกินเผ่าเทพในซากสถานยุคสมัยเหล่านั้นจะดีที่สุด ไม่เช่นนั้นเกรงว่าคงไม่สามารถออกมาได้อีก”

“แน่นอน หากเจ้าโชคดีก็สามารถได้รับมหาศุภโชคที่คาดไม่ถึง”

“นึกถึงตอนนั้นข้าเองก็ได้มหาศุภโชคจากใน ‘อารยธรรมยุคสมัยมรรคกระบี่’ ทำให้มรรควิถีแห่งตนบรรลุได้สำเร็จ”

ฟังถึงตรงนี้เสวียนเฟยหลิงที่อยู่ข้างๆ อดหวั่นไหวไม่ได้ เอ่ยถามว่า “ที่แห่งนั้นมีศุภโชคแจ้งมรรคนิรันดร์หรือไม่”

ไท่เสวียนพูดโจมตีอย่างไม่เกรงใจสักนิด “แจ้งมรรคนิรันดร์ไม่ใช่อาศัยวาสนาก็จะได้มา มีเพียงเจ้าไปสัมผัสและหยั่งรู้เอง”

เสวียนเฟยหลิงกลับไม่เห็นด้วย กล่าวว่า “ในเผ่าเทพนิรันดร์ของน่านฟ้าที่เก้าใช่ว่าทุกคนจะเหมือนเจ้า พึ่งพาเพียงความสามารถในการหยั่งรู้และความมุ่งมั่นของตนก็สามารถแจ้งมรรคบนมรรคานิรันดร์ได้ จากที่ข้าดู หมายแจ้งมรรคนี้ หากมีวาสนาช่วยก็ประสบความสำเร็จไปกว่าครึ่งแล้ว”

ไท่เสวียนถอนหายใจเบาๆ เอ่ยว่า “หากเจ้าคิดเช่นนี้ตลอด เช่นนั้นเกรงว่าคงไม่สามารถสัมผัสธรณีประตูของระดับนิรันดร์ได้”

เสวียนเฟยหลิงหัวเราะฮ่าๆ พูดอย่างมาดมั่น “เช่นนั้นก็คอยดู”

สายตาของไท่เสวียนมองไปยังหลินสวินอีกครั้ง เอ่ยว่า “สหายน้อย ขอถามสักคำ เจ้าไปแหล่งสถานศุภโชคครั้งนี้คิดจะทำอะไร”

หลินสวินคิดๆ แล้วเล่าเรื่องที่จะไปช่วยบิดามารดาออกมา

ไท่เสวียนฟังจบก็เอ่ยถามว่า “พูดเช่นนี้ กระบี่ศุภโชคของลั่วทงเทียนตาทวดของเจ้าก็อยู่ในมือเจ้าแล้วหรือ”

หลินสวินกล่าว “ไม่ผิด นอกจากกระบี่ศุภโชคยังมีโลงนิรันดร์ด้วย”

โลงนิรันดร์!

เสวียนเฟยหลิงและไท่เสวียนตาวาบประกาย

เห็นชัดว่าพวกเขาก็รู้จักสมบัติที่ถูกลั่วทงเทียนนำออกมาจากแหล่งสถานศุภโชคเช่นกัน

“สหายน้อย ให้ข้าดูหน่อยได้หรือไม่”

ไท่เสวียนอดถามไม่ได้

หลินสวินนำโลงนิรันดร์ออกมาทันที ปรากฏอยู่เบื้องหน้าสายตาเสวียนเฟยหลิงและไท่เสวียน

ไท่เสวียนลุกมามองโลงนิรันดร์อยู่นาน จู่ๆ ก็เผยสีหน้าประหลาดใจแล้วเอ่ยว่า “ในโลงนี้คล้ายปิดผนึกพลังน่ากลัวที่ลึกลับอย่างที่สุดเอาไว้ ก่อนหน้านี้สหายน้อยรู้หรือไม่”

ในใจหลินสวินสะท้าน นึกถึงตอนที่สัมผัสได้ถึงความรู้สึกน่าสะพรึงที่อันตรายถึงชีวิตยามแง้มเปิดโลงนี้ก่อนหน้านี้ เขาพยักหน้าทันที “เคยสัมผัสได้ แต่ไม่รู้ว่าเป็นพลังอะไร”

ในช่วงสำคัญนั้นไท่เสวียนลงมือ รวบนิ้ววาดออกไป แสงกระบี่เล็กละเอียดแถบหนึ่งแผ่กระจาย อาบชโลมร่างหลินสวิน

ขณะเดียวกันเขาโบกแขนเสื้อคราหนึ่ง สัญลักษณ์มรรคกระบี่ที่เร้นลับแน่นขนัดนับไม่ถ้วนอุบัติออกมา ปกคลุมโลงนิรันดร์เอาไว้ภายในอย่างสมบูรณ์

หลินสวินถึงรู้สึกเหมือนคนที่รอดจากการจมน้ำในชั่วขณะนี้ ความหวาดกลัวทั่วร่างสลายไป

เขาแผ่จิตรับรู้เข้าไปในเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งทันที เห็นซย่าจื้อขดตัวอยู่ตรงนั้น ร่างสูงเพรียวกำลังสั่นระริก เห็นชัดว่าสัมผัสถึงพลังที่น่าหวาดหวั่นนั่นเช่นกัน

เพียงแต่เมื่อเทียบกับครั้งที่แล้ว นางสงบกว่ามาก

“ไม่ต้องห่วง ข้าอยู่เสมอ” หลินสวินพูดเบาๆ

ซย่าจื้อขานรับว่าอืมก่อนจะพูดว่า “ข้าไม่เป็นอะไร”

“วางใจ มีข้าอยู่”

เสียงของไท่เสวียนผ่าเผยกระจ่างใส แฝงพลังที่ทำคนรู้สึกปลอดภัย

หลินสวินพยักหน้าน้อยๆ สูดหายใจลึกคราหนึ่ง ใช้มือกดสัญลักษณ์แผนที่ดวงดาวนั่นพลางเปิดฝาโลงสำริดที่หนาหนักนั้น

หนึ่งชุ่น สองชุ่น สามชุ่น…

พร้อมกับฝาโลงที่ค่อยๆ เปิดออก หมอกลึกลับคลุมเครือเป็นกลุ่มๆ ลอยออกมาจากในโลง

ตูม!

หมอกที่ดูเหมือนเลือนรางนั่น กลับเหมือนเต็มไปด้วยพลังน่ากลัวไร้ขอบเขต ซัดจนสัญลักษณ์มรรคกระบี่ที่ปกคลุมอยู่รอบๆ สั่นสะเทือนรุนแรง มีสัญญาณว่าจะสลายอยู่รางๆ

นี่ทำให้ไท่เสวียนอดหวั่นไหวไม่ได้ สองมือพลิกสะบัด รุ้งเทพมรรคกระบี่นับไม่ถ้วนปกฟ้าคลุมดิน ตกลงมาแน่นขนัด เข้ากำราบอย่างต่อเนื่อง

ทว่าพร้อมๆ กับที่ฝาโลงค่อยๆ ถูกเปิดออก หมอกคลุมเครือที่อบอวลออกจากโลงก็มากขึ้นเรื่อยๆ พลิกม้วนต่อเนื่องราวกับมีชีวิต พยายามพุ่งออกมา

สีหน้าของไท่เสวียนค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขึ้น การเคลื่อนไหวในมือยิ่งไม่ช้า แทบจะโคจรมรรควิถีทั้งหมดถึงจะกำราบพลังที่น่ากลัวนั่นไว้ได้

แต่เห็นชัดว่าเขาเองก็เริ่มรู้สึกกินแรงขึ้นมาบ้างแล้ว

นี่ทำให้เสวียนเฟยหลิงที่มองดูอยู่ข้างๆ ลอบตกใจ เขารู้ถึงพลังของไท่เสวียนดี แต่ขนาดมรรควิถีระดับนิรันดร์อย่างไท่เสวียน ยังต้องลงมือเต็มกำลังเพื่อกำราบพลังลึกลับในโลงนั่น นี่ก็น่ากลัวเกินไปแล้ว

จนกระทั่งเปิดฝาโลงออกหนึ่งในสาม หลินสวินมองเห็นรางๆ ว่าในโลงนั่นคล้ายเป็นโลกมืดที่ประหนึ่งรัตติกาลนิรันดร์ กว้างใหญ่ไพศาลไม่มีที่สิ้นสุด

และในความมืดที่ทำให้คนใจสั่นนั่น เงาร่างสูงเพรียวสายหนึ่งลอยอยู่ภายใน สายหมอกพลิกม้วนโอบล้อมร่างนั้น ทำให้รูปลักษณ์ของอีกฝ่ายปรากฏอย่างเลือนราง

ทว่าต่อให้พร่ามัวและเลือนรางหาใดเทียบ แต่ทันทีที่หลินสวินเห็นเงาร่างนี้ก็เหมือนถูกฟ้าผ่าทันใด เบิกตาโพลง

สีหน้าเต็มไปด้วยความยากจะเชื่อ!

——

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์