ตอนที่ 2796 แค่ผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่ง
ในใจฉินจิ่วอี้กดดันเคร่งเครียด
หายนะที่เหลียงชิวสุ่ยทำนายออกมา ทำให้เขาตระหนักได้ว่าเป็นไปได้สูงยิ่งที่แดนเทพต้าฉินจะเกิดเหตุไม่คาดฝันครั้งใหญ่ขึ้นแล้ว
นี่หมายความว่าถ้าลั่วทงเทียนมาจริงๆ แต่พวกเขาตระกูลฉินไม่ได้จับอีกฝ่ายได้ทันที จะต้องจ่ายค่าตอบแทนไปไม่น้อยแน่
‘ทำไมถึงเป็นเช่นนี้’
ฉินจิ่วอี้สงสัยเต็มอก เคลื่อนตัวไปในฟ้าดาราเต็มกำลัง
เขาอยากรู้คำตอบโดยเร็ว
หืม?
จู่ๆ ฉินจิ่วอี้ก็ชะงักเท้ากลางฟ้าดารา ในเบ้าตาลึกโหลฉายแววน่าครั่นคร้าม คำรามลั่นว่า
“ใคร”
ทันทีที่เสียงเงียบลง ระเบียบมหามรรคน่ากลัวปรากฏขึ้นบนตัวเขา แปลงเป็นเพลิงเทพสีดำลุกโชนแผ่กระจายออกไปกลางห้วงอากาศ
“ตอบสนองได้เร็วดี”
เสียงกระจ่างกังวานเสียงหนึ่งดังขึ้น รูปจำลองเจตจำนงของไท่เสวียนปรากฏตัวแล้วสะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง
ตูม!
เพลิงเทพสีดำเต็มฟ้าสลายไปในพริบตาเหมือนถูกพายุหอบม้วน เหลือเพียงห้วงอากาศที่ถูกเผาจนเต็มไปด้วยรูพรุน
“เทพยุทธ์!?”
ใบหน้าชราของฉินจิ่วอี้พลันเปลี่ยนสี แทบไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง
“เจ้าเพิ่งมาจากแดนผนึกเรืองแสงหรือ”
ไท่เสวียนเอ่ยถาม
ฉินจิ่วอี้สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง กุมมือเอ่ยว่า “ใช่แล้ว ข้าน้อยฉินจิ่วอี้จากตระกูลฉิน ขอถามว่าท่านมีชื่อเสียงเรียงนามว่ากระไร”
ไท่เสวียนพลันยิ้มขึ้นทันใด เอ่ยว่า “บังเอิญจริง ข้าอยากหาพวกเจ้าอยู่พอดี”
ฉินจิ่วอี้อึ้งไป เอ่ยว่า “นี่ท่านหมายความว่าอย่างไร”
ไท่เสวียนอธิบายอย่างใจเย็นว่า “เดิมทีข้าคิดจะไปช่วยคนที่แดนผนึกเรืองแสง แต่คิดไม่ถึงว่าระหว่างทางนี้จะเจอกับเจ้า…”
ทันทีที่ได้ยินคำว่า ‘ช่วยคน’ ฉินจิ่วอี้ก็ใจสะดุดกึก ไม่ทันรอให้ไท่เสวียนพูดจบก็เอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้ว่า “ท่านอยากช่วยใคร”
“สองสามีภรรยาลั่วชิงสวิน” ไท่เสวียนกล่าว
ฉินจิ่วอี้หน้าเปลี่ยนสีโดยสิ้นเชิง เอ่ยว่า “ใต้เท้า ท่านควรรู้ว่ากำลังพลของสามเผ่าเทพชั้นยอดตระกูลเหลียงชิว ตระกูลเยี่ยนและตระกูลอิ๋งต่างประจำการอยู่บริเวณแดนผนึกเรืองแสง ถ้าท่านหมายจะทำเช่นนี้ เกรงว่า…”
ไท่เสวียนยิ้มออกมา “ข้ารู้จักพวกเจ้า เจ้าไม่ต้องขู่หรอก”
ฉินจิ่วอี้ใจหล่นไปถึงตาตุ่ม เทพยุทธ์คนหนึ่งมาเยือนกะทันหัน มิหนำซ้ำทั้งที่รู้เรื่องสามเผ่าเทพชั้นยอดดีก็ยังไม่กลัวเกรง นี่มันน่ากลัวเกินไปแล้ว
อีกฝ่ายเป็นใคร
ทำไมต้องยื่นมือเข้ามาด้วย หรือจะเป็นเพราะโลงนิรันดร์
“ถ้าท่านไม่กลัวว่าจะล่วงเกินสามเผ่าเทพชั้นยอด ข้าก็ไม่รังเกียจจะพาท่านไปแดนผนึกเรืองแสงแห่งนั้น”
ฉินจิ่วอี้ทำใจให้นิ่งแล้วเอ่ยเสียงขรึม เขากำลังวางแผนถ่วงเวลา เพราะเขารู้ดีว่าการเผชิญหน้ากับระดับเทพยุทธ์ผู้หนึ่ง อย่างว่าแต่เขาคนเดียวเลย ต่อให้เป็นทั้งตระกูลฉินก็ขวางไม่อยู่!
“ได้สิ”
ไท่เสวียนตอบรับอย่างยินดี
แต่ไม่ทันรอให้ฉินจิ่วอี้ได้ถอนหายใจโล่งอกก็ได้ยินไท่เสวียนพูดต่อ “แต่ว่า แค่ให้ศีรษะเจ้ามานำทางก็พอ”
สวบ!
ยังพูดไม่ทันจบฉินจิ่วอี้ก็หนีไปแล้ว ตอบสนองรวดเร็วจนทำให้หลินสวินที่สังเกตการณ์อย่างลับๆ มาโดยตลอดยังตกตะลึง
กลับพบว่าไท่เสวียนไม่รีบไม่ร้อน ชี้ไปบนห้วงอากาศเบาๆ
“อ๊าก!”
ทันใดนั้นที่ห้วงอากาศไกลลิบก็เหมือนกระจกแตกกระจุย ร่างของฉินจิ่วอี้ร่วงลงมาทันที
ทั้งร่างเขาโชกเลือด ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ถึงกับได้รับบาดเจ็บสาหัสด้วยพลังดรรชนีอันแผ่วเบานี้!
หลินสวินปากคอแห้งผากไปครู่หนึ่ง ในใจปั่นป่วน พลังของระดับนิรันดร์แข็งแกร่งเกินไปแล้วจริงๆ ไม่อาจเข้าใจได้สักนิดว่ารูปจำลองเจตจำนงร่างหนึ่งเท่านั้น ก็สามารถทำให้ผู้ยิ่งใหญ่ขั้นหลุดพ้นอันเป็นขั้นสามของระดับอมตะบาดเจ็บได้อย่างง่ายดาย!
“เจ้าหนีไม่พ้นหรอก”
ไท่เสวียนเอ่ยปาก ก้าวออกไปก้าวเดียวก็มาถึงเบื้องหน้าฉินจิ่วอี้
ตูม!
ฝ่ายหลังคำรามกราดเกรี้ยว แสงมรรคทั้งร่างคล้ายจะแผดเผา สาดส่องฟ้าดาราแห่งนี้ เขาดิ้นรนสุดกำลัง ใช้พลังถึงขีดสุดหมายหลบหนี
ชั่วพริบตานั้นหลินสวินดวงตาเจ็บแปลบ จิตใจสั่นระรัว อะไรก็มองไม่เห็นแล้ว
พลังระดับนี้ปะทะกัน ก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาในตอนนี้จะมองทะลุได้อยู่แล้ว
หลินสวินได้ยินแต่ไท่เสวียนถอนใจเบาๆ ว่า “รู้ดีว่าเปลืองแรงแล้วทำไมถึงไม่เด็ดศีรษะลงมาเอง เช่นนี้แล้วข้าอาจจะเห็นแก่ว่าเจ้าฝึกปราณมายากลำบาก เหลือพลังจิตไว้ให้เจ้าสายหนึ่ง”
คำพูดนี้ทำเอาหลินสวินอึ้งค้างไปอย่างอดไม่ได้ กล่อมให้ศัตรูเด็ดหัวตัวเองส่งให้หรือ
ผู้อาวุโสไท่เสวียนนี่… จะเผด็จการไปแล้วกระมัง
ยามสายตาหลินสวินกลับมามองเห็น ก็เห็นว่าในมือไท่เสวียนถือศีรษะเลือดไหลรินหัวหนึ่งเดินมา ศีรษะนั้นย่อมเป็นของฉินจิ่วอี้ ดวงตากราดเกรี้ยวเบิกโพลง เต็มไปด้วยความไม่ยินยอมและหวาดผวา
หลินสวินนิ่งอึ้ง ขั้นหลุดพ้นผู้หนึ่งก็ตายลงเช่นนี้หรือ
“รีบไป เกรงว่าการต่อสู้ที่นี่จะทำให้ศัตรูสังเกตเห็นแล้ว”
ขณะพูดไท่เสวียนก็สะบัดแขนเสื้อ พาหลินสวินทะลวงอากาศจากไป
นอกแดนผนึกเรืองแสง
บัดนี้คนใหญ่คนโตขั้นหลุดพ้นอย่างเหลียงชิวสุ่ย เหลียงชิวอวิ๋น อิ๋งเซี่ยวยวนต่างรวมตัวกันกลางห้วงอากาศ หว่างคิ้วแต่ละคนปรากฏแววฉงน
ก่อนหน้านี้พวกเขาสัมผัสได้ถึงคลื่นการต่อสู้ กลิ่นอายนั้นทำให้พวกเขาหนาวเยือกในใจ พุ่งกระโจนออกไปทันที
“เป็นกลิ่นอายระดับเทพมรรค”
เหลียงชิวสุ่ยที่หนวดผมเป็นสีขาว ใบหน้าเมตตาเป็นมิตร แต่บัดนี้สีหน้ากลับเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด
ในยุคมรรคราชัน ระดับเทพมรรคก็คือระดับนิรันดร์
ส่วนยุคเงาเมฆของอิ๋งเซี่ยวยวนเรียกระดับนิรันดร์ว่า ‘ระดับราชันเทพ’
ยุคต้นพิสุทธิ์ของเยี่ยนอันเต้า เรียกระดับนี้ว่า ‘ระดับท่องเทพ’
สรุปแล้วแม้ชื่อไม่เหมือนกัน แต่ความจริงล้วนเป็นการกล่าวถึงระดับนิรันดร์ทั้งสิ้น
“พูดเช่นนี้ หายนะคราวนี้ต้องร้ายแรงกว่าที่พวกเราคาดคิดไว้ประมาณหนึ่ง”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์