Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ นิยาย บท 2806

สรุปบท ตอนที่ 2806 จักรพรรดิเทพรัตติกาลนิรันดร์: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

สรุปเนื้อหา ตอนที่ 2806 จักรพรรดิเทพรัตติกาลนิรันดร์ – Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ โดย Internet

บท ตอนที่ 2806 จักรพรรดิเทพรัตติกาลนิรันดร์ ของ Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

ตอนที่ 2806 จักรพรรดิเทพรัตติกาลนิรันดร์

ยอดเขาราตรีสงัดทางตะวันตกของเมือง

ใต้ท้องฟ้าสีรัตติกาลราวกับหมึก เทือนเขาแถบนี้คดเคี้ยวราวกับงู

ใต้เทือกเขาที่บ้านเรือนเรียงราย แสงไฟบางตา เงาแสงกระดำกระด่าง

ที่นี่อยู่ใกล้กับพื้นที่ที่นภาดาราศุภโชคตั้งอยู่ แต่เพราะไอวิญญาณเบาบาง เทือกเขารกร้าง ทำให้ผู้ฝึกปราณที่อาศัยอยู่ล้วนเป็นบุคคลที่ต่ำกว่าระดับจักรพรรดิ

ตอนที่หลินสวินมาถึงที่นี่ ยังไม่ถึงครึ่งเค่อ

เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เป็นจุดสนใจ การปรากฏตัวครั้งนี้เขาเก็บงำกลิ่นอาย ระหว่างทางไม่ได้ถูกคนติดตาม

เพียงแต่เขาอดประหลาดใจไม่ได้ ว่าที่แท้เป็นใครกันแน่ที่ให้ตนมาที่นี่

เขาเดินไปตามทางภูเขาคดเคี้ยวตรงตีนเขา ระหว่างทางเหมือนเนิบช้าแต่ความจริงรวดเร็วนัก ไม่ทันไรก็มาถึงกลางยอดเขาราตรีสงัด เหนือขึ้นไปอีกก็คือท้องฟ้ารัตติกาลอันมืดมน

“ไม่มีคนสะกดรอยตามหรือ”

เสียงที่เย็นเยียบดังขึ้น

หลินสวินเงยหน้าทันควัน มองไปในความมืดตรงยอดเขา สามารถมองเห็นเค้าโครงตำแหน่งเก่าแก่หลังหนึ่งได้รางๆ

ตอนที่จิตรับรู้แผ่ไป กลับถูกพลังลึกลับในความมืดนั่นต้านทาน ทำให้หลินสวินไม่สามารถมองเห็นได้ว่าเจ้าของเสียงนั้นเป็นใคร

แต่สามารถมั่นใจได้ว่าจะต้องซ่อนอยู่ในตำหนักเก่าแก่นั่นแน่

“ไม่มี”

หลินสวินกล่าว “ท่านส่งข่าวมากลางดึก มีธุระอะไรกับข้า”

“เข้ามาคุยกัน”

เสียงนั่นพูดถึงตรงนี้ก็เงียบไป

หลินสวินคิดๆ แล้วเดินหน้าต่อ ยามมาถึงพื้นที่มืดมนนั้น ก็รู้สึกว่าพลังลึกลับชั้นหนึ่งกวาดผ่านร่าง แต่กลับไม่ได้รู้สึกถึงความอึดอัดใดๆ

เขาไม่ได้ลังเล ก้าวเข้าไปในความมืด

ท้องฟ้ามีดวงดาวพริบไหว สาดแสงประกาย พื้นที่แถบนี้ราวกับถูกความมืดกลืนกิน มองไม่เห็นเงาแสงใดๆ

โชคดีที่จิตรับรู้ยังอยู่ สามารถสัมผัสได้ถึงตำหนักเก่าแก่ที่ดูทรุดโทรมและรกร้างนั่น

จากนั้นหลินสวินก็ ‘เห็น’ เงาร่างหนึ่ง

เขายืนนิ่งอยู่หน้าประตูตำหนัก เงาร่างผอมซูบ ร่างสวมชุดเกราะหักพัง เผ้าผมหนวดเครายุ่งเหยิง สภาพตกต่ำ มีเพียงดวงตาทั้งคู่ที่เย็นเยียบเฉียบคมราวกับกระบี่

หลินสวินนัยน์ตาหดรัดโดยพลัน “สือซานหรือ”

ยามอยู่หน้าตำหนักมืดมินในแดนผนึกเรืองแสง หลินสวินเคยเห็นภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว และเคยเห็นสือซานที่บาดแผลเต็มตัวเรียกร่างต้นของซย่าจื้อว่า ‘นายหญิง’!

“เหตุใดไม่ใช่ตาทวดของเจ้าลั่วทงเทียนมาที่นี่”

เงาร่างนั้นเอ่ยเสียงเย็นเยียบ ไม่ได้ปฏิเสธคำเรียก ‘สือซาน’ นี้

หลินสวินขมวดคิ้วพูด “หรือว่าตอนนั้นตาทวดของข้าเคยรับปากท่านว่าเขาจะมาอีก”

“เขาไม่ได้บอกเจ้าหรือ”

แววตาสือซานยิ่งเย็นเยียบกว่าเดิม จ้องหลินสวินราวกับกระบี่ น่ากลัวอย่างที่สุด

หลินสวินเงียบไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “เขามาไม่ได้แล้ว”

สือซานเอ่ย “เพราะเหตุใด”

หลินสวินตระหนักได้ว่าหากไม่พูดความจริงคงยากจะแลกความเชื่อใจของสือซานได้

เขาใคร่ครวญคร่าวๆ แล้วกล่าวว่า “เมื่อนานมาแล้วยามเขามุ่งหน้าไปประตูนิรันดร์ ถูกคนฉวยโอกาสทำร้าย จนตอนนี้ยังไม่พบร่องรอย”

สือซานเงียบไปครู่ใหญ่ก่อยหมุนตัวเข้าตำหนัก “เข้ามาเถอะ”

ยามนี้ในใจหลินสวินกลับกังวลอยู่บ้างอย่างยากจะได้เห็น

สือซานเคยติดตามข้างกายร่างต้นของซย่าจื้อ ย่อมสามารถรู้ฐานะและอดีตของร่างต้นของซย่าจื้อได้จากปากสือซาน!

‘อย่างไรก็ต้องเผชิญหน้า…’

หลินสวินสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วเดินเข้าตำหนักเก่าแก่ที่ความมืดปกคลุมแห่งนั้น

“นั่ง”

สือซานนั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะรองนั่งก่อนแล้ว

หลินสวินนั่งลงบนเบาะรองนั่งที่อยู่ตรงข้าม เอ่ยว่า “ผู้อาวุโสต้องการพบข้าครั้งนี้ คิดจะทำอะไรกันแน่”

“โลงนิรันดร์”

สือซานไม่ได้ปกปิดเหมือนก่อนหน้านี้ พูดตรงๆ ว่า “นั่นเป็นสมบัติที่ซ่อนตัวของนายหญิงของข้า ยามลั่วทงเทียนไปจากแหล่งสถานศุภโชคเคยรับปาก ว่าขอเพียงเจอวิธีที่จะสามารถปลุกนายหญิงของข้าได้ก็จะนำโลงนี้ย้อนกลับมาแหล่งสถานศุภโชค”

ในใจหลินสวินสะท้านไหว แววตาซับซ้อน เขาตระหนักได้แล้วว่าที่ไท่เสวียนพูดคงไม่ผิด ซย่าจื้อ… เป็นไปได้สูงมากว่าจะแปลงมาจากวิญญาณชีวิตของคนในโลง!

“ผู้อาวุโส เล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่ว่าท่านกับท่านตาทวดของข้ารู้จักกันได้อย่างไร” หลินสวินพูด

สือซานเงียบไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “นั่นเป็นเรื่องเมื่อนานมาแล้ว ข้าถูกศัตรูตามฆ่า หนีมาถึงเมืองเทพศุภโชคไม่นานก็สลบไสลไม่ได้สติ ตอนนั้นสถานการณ์วิกฤต หากถูกศัตรูพบข้าต้องตายแน่”

สือซานเอ่ยว่า “ที่มาของนายหญิงมีเพียงตัวนางที่รู้ชัด คนที่อยู่ใต้อาณัติเช่นข้าไม่เคยถาม”

หลินสวินจนคำพูดไปชั่วขณะ ในใจนอกจากผิดหวังแล้วยังมีความผ่อนคลายที่พูดไม่ออก ราวกับว่า… อย่างน้อยก็ไม่ต้องเผชิญกับอีกหนึ่งการเลือกที่ลำบากใจอย่างที่สุด

“เช่นนั้นเกี่ยวกับนายหญิงของท่าน ผู้อาวุโสรู้อะไรบ้างหรือ” หลินสวินถาม

“เมื่อนานมาแล้วนายหญิงเคยท่อง ‘ยุคทวยเทพ’ ตอนที่ข้าเจอนาง นางก็เป็น ‘จักรพรรดิเทพรัตติกาลนิรันดร์’ ที่ราวกับตำนานในยุคทวยเทพแล้ว…”

ในดวงตาของสือซานเผยแววหวนระลึก “ในช่วงหลายปีนั้น นายหญิงคล้ายกำลังหนีอะไรมาโดยตลอด และเหมือนกำลังหาอะไรบางอย่าง มักจะคิดอะไรเงียบๆ เพียงลำพัง”

“จนกระทั่งผ่านไปเนิ่นนาน นายหญิงพาข้าออกจากยุคทวยเทพ มาถึงเมืองเทพศุภโชคแห่งนี้”

“นายหญิงบอกว่านางอยากค้นหาว่านภาดาราศุภโชคนี้เป็นใครสร้างขึ้นกันแน่ บางทีอาจสามารถเจอคำตอบที่นางอยากได้”

พูดถึงตรงนี้ในดวงตาสือซานเผยความชิงชังที่ไม่ปกปิดสักนิด รวมถึงความหวาดกลัวที่ไม่อาจปกปิดได้ “แต่ระหว่างที่เดินทางมายังเมืองเทพศุภโชค นายหญิงกลับประสบเคราะห์ครั้งใหญ่!”

“มหาเคราะห์ครั้งนั้นมาเยือนอย่างไร้สุ้มเสียง มาเยือนโดยที่ข้าไม่ทันรู้ตัว ข้าจำได้เพียงว่าระฆังมรรคที่ลึกลับใบหนึ่งทะลวงห้วงอากาศพุ่งมาทางนายหญิง…”

ฟังถึงตรงนี้ในใจหลินสวินสั่นสะท้านรุนแรง นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา

เมื่อนานมาแล้วตอนที่ท่านตาทวดลั่วทงเทียนมุ่งหน้าไปประตูนิรันดร์ เคยถูกเงาร่างสีทองขวางทาง ตอนนั้นเขาต้องจ่ายค่าตอบแทนอย่างหนักกว่าจะสังหารเงาร่างสีทองนั่นได้ ในประตูนิรันดร์กลับมีระฆังมรรคลึกลับที่กลิ่นอายแรกกำเนิดรัดพันใบหนึ่งปรากฏขึ้น

เพียงแค่ระฆังใบเดียว ก็โจมตีจนลั่วทงเทียนถอยหนี!

และตอนนี้จากที่สือซานพูด มหาเคราะห์น่ากลัวที่ร่างต้นของซย่าจื้อประสบในตอนนั้นมีความเกี่ยวข้องกับระฆังใบหนึ่ง นี่จะใช่ระฆังมรรคเดียวกันหรือไม่

“จากนั้นเล่า”

เห็นสือซานเงียบไป หลินสวินก็อดถามไม่ได้

“แม้นายหญิงจะรอดจากพิบัติเคราะห์ แต่กลับบาดเจ็บสาหัส ด้วยพลังไร้เทียมทานที่สามารถเหยียดหยันทั่วหล้าได้ของนางยังไม่สามารถฟื้นฟูบาดแผลบนตัวได้… และก็เป็นตอนนั้นที่พวกน่ากลัวของยุคทวยเทพปรากฏตัว หมายจะให้นายหญิงทิ้งศุภโชคบนตัว…”

สือซานพูดถึงตรงนี้ ในสายตาล้วนเผยความชิงชังและเดือดดาล

“เป็นการฉวยโอกาสปล้นชิงอีกแล้ว!” หลินสวินขมวดคิ้ว

สือซานกล่าง “เมื่อก่อนพลังของนายหญิงคนเดียวก็สามารถกำราบพวกน่ากลัวเหล่านั้นได้อย่างง่ายดาย แต่มหาเคราะห์ครั้งนั้นทำร้ายนางสาหัสเกินไป ถึงได้เปิดโอกาสให้พวกเขามาปล้นชิง จากนั้นนายหญิงก็ข้าหนีไปยังแดนผนึกเรืองแสง”

“นายหญิงสละมหามรรคแห่งตน ชักนำพลังแห่งกาลเวลาปิดผนึกแดนผนึกเรืองแสง ถึงได้ต้านการบุกรุกของศัตรูไว้ได้ แต่ก็เพราะทำเช่นนี้ทำให้บาดแผลของนายหญิงรุนแรงกว่าเดิม ถึงขั้นที่ไม่สามารถรักษาได้แล้ว”

“ภายหลังนายหญิงสั่งให้ข้านำกระบี่ศุภโชคจากไป ส่วนตัวนายหญิงเองก็เข้าไปอยู่ในโลงนิรันดร์ใบนั้น…”

ฟังถึงตรงนี้หลินสวินเข้าใจอย่างสิ้นเชิงแล้ว นึกถึงแต่ละภาพที่เห็นหน้าตำหนักมืดมิดในแดนผนึกเรืองแสงขึ้นมา

——

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์