Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ นิยาย บท 2808

สรุปบท ตอนที่ 2808 บุตรเทพอิ๋งเยวี่ย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

ตอนที่ 2808 บุตรเทพอิ๋งเยวี่ย – ตอนที่ต้องอ่านของ Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

ตอนนี้ของ Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง ตอนที่ 2808 บุตรเทพอิ๋งเยวี่ย จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

ตอนที่ 2808 บุตรเทพอิ๋งเยวี่ย

ก่อนที่หลินสวินจะมาก็เคยได้ยินเรื่องหนึ่งแล้ว

หลังจากสร้างนภาดาราศุภโชค บุคคลไร้เทียมทานผู้นั้นเคยพูดว่า ใครสามารถมองทะลุนัยเร้นลับสุดท้ายในนี้ได้ ก็จะได้รับยอดสมบัติชิ้นหนึ่ง!

ส่วนยอดสมบัติชิ้นนั้นคืออะไร จนตอนนี้กลับยังไม่มีใครรู้

เพราะในกาลเวลาไร้สิ้นสุดที่ผ่านมาไม่เคยมีใครหยั่งถึง ‘นัยเร้นลับสุดท้าย’ อย่างแท้จริงหรือไม่

ในข่าวลือ เมื่อนานมาแล้วเคยมีผู้ยิ่งใหญ่ระดับอมตะมากมายมาเยือน ยอมเสี่ยงอันตรายจากการถูกข่มระดับปราณ มุ่งหน้ามานภาดาราศุภโชคหมายหยั่งถึงนัยเร้นลับสุดท้าย เพื่อยอดสมบัติที่บุคคลไร้เทียมทานผู้นั้นทิ้งเอาไว้

แต่น่าเสียดายที่ล้วนล้มเหลว

ต่อให้หยั่งถึงและครอบครองระบบฝึกปราณนับร้อยชนิดบนนภาดาราศุภโชค ก็ไม่สามารถหยั่งถุงนัยเร้นลับสุดท้ายได้

หลินสวินไม่สนใจเรื่องพวกนี้

สิ่งที่เขาสนใจ คือคำตอบที่ซย่าจื้อในตอนนั้นตามหาอย่างยากลำบากคืออะไรกันแน่!

จิตใจของหลินสวินกระจ่างชัด จิตรับรู้จมอยู่ในนภาดารา

ระบบฝึกปราณที่สมบูรณ์แบบนับร้อยแบบ ทุกระบบล้วนแตกต่างกัน มีความมหัศจรรย์และความยิ่งใหญ่ลึกล้ำของตนเอง

นั่นเป็นการขัดเกลาและทำให้สมบูรณ์ของผู้ฝึกปราณในแต่ละยุคสมัยตลอดเวลาที่ผ่านมา และค่อยๆ กลายเป็นระบบการฝึกปราณ ภายใต้ระบบนี้จึงถือกำเนิดสำนักและมรดกมากมายหลากหลายประเภท

สำหรับหลินสวินซึ่งมีประสบการณ์หยั่งรู้เช่นนี้ยามอยู่แดนเทพต้าฉิน ยามนี้เมื่อไปหยั่งรู้ระบบการฝึกปราณของยุคสมัยที่ไม่คุ้นเคยอื่นๆ จึงไม่ถึงกับเปลืองแรงมาก

เขาไม่มีจุดที่รู้สึกเป็นอุปสรรคใดๆ กลับยิ่งหยั่งรู้ยิ่งรู้สึกว่าจิตใจสงบ ก็เหมือนกับภาพภูผาธาราที่เมฆหมอกปกคลุมในตอนแรก กำลังชัดเจนขึ้นทีละน้อย บริเวณว่างเปล่าที่ในอดีตเขาไม่เคยคิดถึงก็ถูกเติมเต็มไม่หยุด ภาพภูผาธารานี้ยิ่งสมบูรณ์แบบขึ้นเรื่อยๆ

ระบบการฝึกปราณที่แตกต่างกัน กลับสามารถเข้าถึงเรื่องเดียวกัน ผ่านการเข้าใจอย่างถ่องแท้

พร้อมๆ กับการหยั่งรู้ที่คืบหน้า หลินสวินก็จมดิ่งเข้าไปภายในอย่างอดไม่ได้

บริเวณรอบๆ ผู้ฝึกปราณมากมายลอบโล่งอก หลินสวินไม่ได้ก่อเหตุร้าย แต่กำลังหยั่งรู้ ทำให้พวกเขาผ่อนคลายลงไม่น้อย

เพียงแต่เมื่อเวลาล่วงเลยไป ผู้ฝึกปราณที่รวมตัวอยู่บริเวณนภาดาราศุภโชคกลับมากขึ้นเรื่อยๆ…

เหตุผลก็คือเมื่อข่าวที่หลินสวินปรากฏตัวที่นี่กระจายออกไป จึงดึงดูดความสนใจของเผ่าเทพแต่ละตระกูลแล้ว มองไม่ออกว่าเขามาคราวนี้คิดจะทำอะไร จึงส่งกำลังพลไปสืบข่าว

ดังนั้นบริเวณนภาดาราศุภโชคในตอนนี้จึงเปลี่ยนเป็นคึกคักขึ้นมาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

“นั่นก็คือหลินสวินหรือ เป็นคนสังหารตลอดทางตั้งแต่ประตูสวรรค์ทิศใต้มาถึงทะเลสาบจันทร์หม่นหรือ”

ผู้ฝึกปราณหลายคนเห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของหลินสวินเป็นครั้งแรก ต่างอดอยากรู้อยากเห็นไม่ได้ วิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมา

“ล่วงเกินขุมอำนาจเผ่าเทพมากขนาดนี้ เขากลับยังมีกะจิตกะใจหยั่งรู้อยู่ที่นี่”

หลายคนจนคำพูดนัก คิดว่าหลินสวินกล้าเกินไปแล้ว ควรรู้ว่าเมืองเทพศุภโชคในตอนนี้มีขุมอำนาจเผ่าเทพไม่รู้เท่าไรอยากบดขยี้เขา

แต่เขากลับดีนัก ทำเหมือนไม่มีเรื่องอะไร ยังมีกะจิตกะใจมาฝึกปราณอยู่ที่นี่!

ถึงขั้นที่คนไม่น้อยลอบเลื่อมใส

เคยเห็นคนกล้า แต่ไม่เคยเห็นคนที่กล้าขนาดนี้!

“ก็ไม่รู้ว่ายามบุตรเทพธิดาเทพในเผ่าเทพเหล่านั้นมาถึง เขาจะยังสามารถนั่งสมาธินิ่งๆ อยู่ที่นี่ได้หรือไม่”

ในเมืองผู้ฝึกปราณมากมายต่างได้ยินข่าวแล้ว ว่าเผ่าเทพหลายคนได้ส่งบุตรเทพธิดาเทพในตระกูลของตนมา จะกำราบสังหารหลินสวิน

ข่าวนี้ทำให้ทุกคนฮือฮา

ควรรู้ว่าเผ่าเทพเป็นราชันสูงสุดของยุคสมัยแห่งหนึ่งแล้ว รากฐานพลังเก่าแก่น่ากลัว ทว่าคนที่สามารถเป็นบุตรเทพและธิดาเทพได้ แม้แต่ในเผ่าเทพก็มีไม่กี่คนเท่านั้น

พวกเขามีรากฐานพลังโดดเด่น พรสวรรค์สามารถสะเทือนหมื่นกาล ราวกับผู้นำบนมรรคา สร้างตำนานอย่างต่อเนื่อง

แหล่งสถานศุภโชคมีการพูดแบบหนึ่งซึ่งไม่ได้กำหนดเป็นลายลักษณ์อักษรมาโดยตลอดว่า

ในระดับเดียวกัน มีคนอยู่สองประเภทเท่านั้น

ประเภทที่หนึ่งคือตัวแทนของระดับที่ทุกคนบนโลกสามารถไปถึงได้ ไม่ว่าจะเป็นอัจฉริยะ ผู้กล้า ผู้มากความสามารถ วีรบุรุษ ล้วนอยู่ในขอบเขตนี้

อีกประเภทคือบุตรเทพและธิดาเทพของเผ่าเทพ

พวกเขาอยู่เหนือคนประเภทที่หนึ่ง รากฐานพลังและมรรควิถีไม่สามารถวัดได้ด้วยหลักเหตุผลทั่วไป แต่ละคนเรียกได้ว่าเป็นปีศาจวิปริต

พวกเขาเป็นตัวแทนของระดับที่ผู้ไร้ศัตรูในระดับเดียวกันเท่านั้นที่สามารถไปถึงได้!

คนสองประเภท เส้นแบ่งระหว่างสองประเภทต่างกันราวฟ้ากับดิน!

ในสายตาของผู้คน หลินสวินที่สามารถทำให้บุตรเทพธิดาเทพของเผ่าเทพแต่ละตระกูลลงมือได้ เป็นคนประเภทที่สองอย่างไม่ต้องสงสัย เป็นตัวแทนของระดับที่ผู้ไร้ศัตรูในระดับเดียวกันเท่านั้นจึงจะไปถึงได้

“ไม่ใช่บอกว่าบริเวณนภาดาราศุภโชคห้ามต่อสู้หรือ”

มีคนพูดอย่างประหลาดใจ

“เจ้าหนุ่ม เรื่องนี้เจ้าคงไม่รู้ กฎนี้เป็นพวกเผ่าเทพในเมืองร่วมกันตั้งขึ้น ภายใต้สถานการณ์ตอนนี้ เจ้าคิดว่าพวกเขาจะสนใจหรือ”

ชาชราคนหนึ่งลูบเครากลาว่

“หากหลินสวินอยู่ที่นี่ต่อ ไม่ใช่หมายความว่าอีกไม่นานบริเวณนภาดาราศุภโชค จะกลายเป็นสถานที่วุ่นวายหรือ”

คนที่นั่งสมาธิหยั่งรู้อยู่ใต้นภาดาราศุภโชคต่างนั่งไม่ติดขึ้นมาทันที หน้าเปลี่ยนสีอย่างไม่อาจถควบคุมได้

อันที่จริงทุกชั่วขณะล้วนมีผู้ฝึกปราณมารวมตัวกันรอบๆ มากขึ้นเรื่อยๆ บรรดาผู้ฝึกปราณที่หยั่งรู้อยู่ใต้นภาดารา จิตใจต่างได้รับผลกระทบไม่มากก็น้อย ไม่สามารถศึกษาเพิ่มเติมอย่างใจจดใจจ่อต่อไปได้อีก

ผู้ฝึกปราณเหล่านั้นล้วนทยอยออกไปจากพื้นที่ที่นภาดาราศุภโชคตั้งอยู่

ไม่นานก็เหลือเพียงหลินสวินคนเดียวแล้ว

เขานั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น หลับตาเก็บกลิ่นอาย ราวกับภิกษุเฒ่าเข้าฌาน คล้ายไม่รู้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นตอนนี้อย่างไรอย่างนั้น

ความจดจ่อเช่นนี้ทำให้ผู้ฝึกปราณไม่รู้เท่าไรทอดถอนใจ

ทันทีที่กายมรรคไม้เขียวปรากฏตัว แค่กวาดมือลวกๆ ก็รับชายชุดเทาคนนี้ไว้ จากนั้นออกแรงตรงข้อมือโยนชายชุดเทากลับไปอีกครั้ง

ปัง!

อิ๋งเยวี่ยสะบัดนิ้ว เงาร่างของชายชุดเทาระเบิดกลางอากาศ ฝนเลือดสาดพรม จบชีวิตอย่างสิ้นเชิง ทำเอาผู้คนรอบๆ ไม่รู้เท่าไรหน้าเปลี่ยนสี

นี่บางทีอาจเรียกว่ามีภัยเพราะปาก

“เวลานี้แล้วกลับใช้เพียงร่างแยกสายเดียว สหายไม่บ้าคลั่งเกินไปหน่อยหรือ”

อิ๋งเยวี่ยแววตาเฉยเมย พูดอย่างเย็นชา

ในที่นั้นเงียบกริบ อากาศเปลี่ยนเป็นกดดันขึ้นมา ผู้ฝึกปราณที่อยู่รอบบริเวณต่างหลบเลี่ยงตามจิตใต้สำนึก ใครๆ ต่างรู้ดีว่าหลังจากนี้การต่อสู้ดุเดือดกำลังจะเกิดขึ้น!

“หากมารับความตายก็ยืนรออยู่ตรงนั้น”

กายมรรคไม้เขียวของหลินสวินพูดลวกๆ ส่วนร่างต้นของหลินสวินตั้งแต่ต้นจนจบไม่ขยับสักนิด ราวกับรูปปั้นอย่างไรอย่างนั้น กำลังหยั่งรู้มหามรรค

“รับความตายหรือ”

ประกายเย็นเยียบวาบผ่านในดวงตาของอิ๋งเยวี่ย

โดยเฉพาะตอนนี้เมื่อร่างต้นของหลินสวินมองข้ามเขาโดยสมบูรณ์ ไม่เคยตอบสนองใดๆ ทำให้เขายิ่งไม่ชอบใจ

“ในเมื่อบอกว่าข้ามารับความตาย เหตุใดยังต้องให้ข้ารอ หรือว่ากลัวแล้ว พยายามยื้อเวลาคิดแผนหนี”

อิ๋งเยวี่ยเอ่ยปากเย็นชา ไอสังหารเป็นสายๆ โอบล้อมทั่วร่าง อานุภาพระดับนั้นทำให้ผู้ฝึกปราณมากมายบริเวณนั้นใจสั่นไม่หยุด

“ไม่ เจ้าเข้าใจผิดแล้ว”

กายมรรคไม้เขียวของหลินสวินส่ายหน้า “ให้เจ้ารอ เพียงเพราะอยากรอคนมาให้ครบค่อยส่งพวกเจ้าไปลงนรกพร้อมกัน จะได้ไม่ต้องฆ่าทีละคนให้วุ่นวาย”

ทั่วลานล้วนผิดคาด แทบไม่กล้าเชื่อหูตัวเอง

เมื่อมองอิ๋งเยวี่ยอีกครา ยามนี้โกรธจัดจนหัวเราะเยาะออกมาแล้ว “ช่างเป็นโจรคลั่งที่อวดดีนัก! ข้าฝึกปราณมาถึงตอนนี้ เจ้าเป็นคนแรกที่กล้าโอหังเช่นนี้!”

ตูม!

ชุดคลุมของเขาสะบัดโบก เพลิงเทพมหามรรคสีม่วงที่แปลกประหลาดลึกลับแผ่ออกจากร่างของเขา ทำให้อานุภาพทั้งร่างเขาเปลี่ยนเป็นน่าสะพรึงไร้ขอบเขต

นั่นเป็นพลังของมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิ อานุภาพระดับนั้นยิ่งมีความองอาจของการไร้ศัตรูในระดับเดียวกัน!

นี่เป็นปีศาจที่ไม่สามารถวัดด้วยหลักเหตุผลทั่วไปได้อย่างแน่นอน เป็นพวกชั้นเลิศซึ่งเป็นตัวแทนของผู้ไร้ศัตรูในระดับเดียวกัน

เพียงแต่ตอนที่อิ๋งเยวี่ยกำลังจะลงมือ เสียงที่เลื่อนลอยเย็นเยือกหนึ่งดังขึ้น

“ในเมื่อเขาบอกว่าจะรอคนมาครบก่อนค่อยลงมือ เหตุใดจะรอสักหน่อยไม่ได้ ตระกูลอิ๋งของพวกเจ้าใจร้อนจะช่วงชิงศุภโชคบนตัวเจ้าหมอนี่ขนาดนั้นเชียว”

——

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์