สรุปตอน ตอนที่ 2811 เหล่าสหายเก่า – จากเรื่อง Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ โดย Internet
ตอน ตอนที่ 2811 เหล่าสหายเก่า ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง
ตอนที่ 2811 เหล่าสหายเก่า
เจ็ดวันผ่านไป
หลินสวินที่นั่งสมาธิหยั่งรู้นัยเร้นลับของระบบการฝึกปราณนับร้อยไม่ถูกสิ่งใดรบกวนอีก
แต่ในเมืองเทพศุภโชคช่วงนี้กลับไม่สงบนัก
เพราะการตายของระดับบุตรเทพตระกูลอย่างพวกเหลียงชิวหู ทำให้ผู้ฝึกปราณทั้งเมืองตระหนักได้ว่าต่อให้ระดับบุตรเทพออกโรง คิดสังหารหลินสวินก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแน่
ถึงขั้นว่าช่วงนี้เมื่อใดที่ระดับบุตรเทพมาเยือน แม้ก่อให้เกิดความฮือฮาในเมืองไม่น้อย แต่กลับไม่มีใครไปหาเรื่องหลินสวินสักคน
ล้วนเก็บตัวจำศีล
แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้ผู้ฝึกปราณในเมืองอกสั่นขวัญแขวน
ใครต่างก็รู้ว่าทุกเผ่าเทพไม่มีทางปล่อยหลินสวินไปเช่นนี้แน่ บางทีเมื่อระดับบุตรเทพพวกนั้นรวมตัวกันมากขึ้นเรื่อยๆ ก็จะก่อคลื่นลมที่ไม่เคยมีมาก่อน!
มีคนทำบันทึก เวลาสั้นๆ แค่เจ็ดวัน ระดับบุตรเทพที่มาจากทุกเผ่าเทพมีเกือบสามสิบคน!
แต่ละคนล้วนเป็นตำนานในโลกยุคสมัยหนึ่ง เคยมีศักยภาพและผลงานต่อสู้ราวไร้คู่ต่อกรในระดับมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิ
ปีศาจแห่งยุคบางคนในนั้นยิ่งครองอันดับเจิดจรัสในการถกมรรคร้อยตระกูลเมื่อนานมาแล้ว
แต่ตอนนี้บุคคลที่แต่ก่อนไม่เคยเหยียบเมืองเทพศุภโชคพวกนี้ กลับรวมตัวกันเกือบสามสิบคนในเวลาอันสั้นแค่เจ็ดวัน สิ่งนี้ก่อให้เกิดเสียงฮือฮาตกตะลึงนับไม่ถ้วน
ยังดีที่ปัจจุบัน หลังจากระดับบุตรเทพพวกนี้รู้ทุกการกระทำของหลินสวินแล้วจึงเลือกจำศีลชั่วคราว ไม่ได้เริ่มเคลื่อนไหว
มีเพียงบรรยากาศในเมืองที่กดดันยิ่งกว่าเดิม คลื่นใต้น้ำซัดสาด
และในช่วงเวลานี้ ใกล้ๆ นภาดาราศุภโชคมีชายชุดขาวท่าทางโดดเด่นคนหนึ่งปรากฏตัว
เขามองหลินสวิน ไม่นานก็เหลือบสายตาไปยังหยกประดับแดงเพลิงที่ห้อยอยู่ตรงเอวหลินสวิน อักษร ‘เฉิน’ บนนั้นถูกเขาจ้องมองอยู่นาน
จากนั้นชายชุดขาวก็หันหลังจากไป
ตั้งแต่ต้นจนจบไม่มีใครสนใจการจากไปของเขา แม้แต่หลินสวินก็ไม่รับรู้อะไร
ครึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว
จำนวนของระดับบุตรเทพที่ปรากฏตัวในเมืองเทพศุภโชคเปลี่ยนเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ
ในช่วงเวลานี้มีผู้ฝึกปราณมากมายออกจากเมืองเทพศุภโชคไป ระหว่างทางก็พบว่าส่วนลึกของฟ้าดารารอบเมืองนี้มีกลิ่นอายชั้นยอดที่น่ากลัวถึงขีดสุดเพิ่มขึ้นมามากมาย
ทุกกลิ่นอายล้วนมีอานุภาพระดับนิรันดร์!
พวกเขาเหมือนทวยเทพมาเยือนโลก ซ่อนตัวในส่วนลึกของฟ้าดารา แต่กลับปิดทางหนีทั้งหมดของเมืองเทพศุภโชค
ไม่จำเป็นต้องสงสัย เฒ่าดึกดำบรรพ์ที่มาจากแต่ละเผ่าเทพพวกนี้ล้วนออกโรงด้วยตัวเองโดยไม่คำนึงถึงอะไร ควบคุมอยู่ที่นี่เพื่อ ‘โลงนิรันดร์’ ในตัวหลินสวิน!
เหตุการณ์นี้ทำให้ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนในเมืองตื่นตระหนกเช่นกัน
ไม่พูดถึงระดับบุตรเทพของเผ่าเทพแต่ละตระกูลออกเคลื่อนไหว ตอนนี้แม้แต่บุคคลน่ากลัวของทุกเผ่าเทพยังมาเยือนที่นี่ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันเคยเกิดเรื่องเช่นนี้เสียที่ไหน
เรียกได้ว่าเป็นประวัติการณ์!
จากจุดนี้ก็ทำให้ผู้คนสงสัยยิ่งกว่าเดิมอย่างอดไม่ได้ หรือความลับที่ซ่อนอยู่ในโลงนิรันดร์นั่นจะเกี่ยวข้องกับการเป็น ‘เจ้าแห่งศุภโชค’ จริงๆ
ใครได้ไปก็จะทำให้ร้อยตระกูลยอมจำนนหรือ
ทุกการคาดเดาต่างคนต่างพูด แต่ปลายหอกล้วนจ่อใส่หลินสวินคนเดียว!
ทว่าสิ่งที่ทำให้ทุกคนคิดไม่ถึงคือ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้หลินสวินกลับทำเหมือนไม่มีเรื่องใด นั่งอยู่ใต้นภาดาราศุภโชค จดจ่อกับการหยั่งรู้ทั้งวันทั้งคืน…
“จิตใจเช่นนี้ ความกล้าเช่นนี้ ใครจะไม่เลื่อมใสได้เล่า”
“ต่อให้หลินสวินนี่ประสบเคราะห์ ด้วยการเคลื่อนไหวที่เขาชักนำมาทั้งหมดในวันนี้ก็บันทึกไว้ในประวัติศาสตร์หมื่นกาลได้แล้ว”
คนมากมายสะท้อนใจ ทอดถอนใจไม่หยุด
ความจริงช่วงนี้ในบริเวณใกล้ๆ นภาดาราศุภโชคมักจะมีผู้ฝึกปราณมากมายมาที่นี่ด้วยความชื่นชม แค่เพื่อมองหลินสวินอยู่ไกลๆ
ภายในนั้นไม่ขาดปีศาจแห่งยุคระดับบุตรเทพ
แต่ไม่มีใครกล้าไปท้าทายและรบกวน ถึงขั้นว่าใต้นภาดาราศุภโชคที่กว้างใหญ่นั้นมีแค่เงาร่างเดียวดายของหลินสวินนั่งอยู่ในนั้นคนเดียว
เวลาล่วงเลยไปอย่างรวดเร็ว จากตอนที่หลินสวินหยั่งรู้มหามรรคที่นี่ก็ผ่านไปหนึ่งเดือนแล้ว
วันนี้ก็เหมือนปกติ ยังคงมีผู้ฝึกปราณมากมายมาที่นี่
แต่สิ่งที่ต่างจากแต่ก่อนคือในหูหลินสวินที่กำลังนั่งสมาธิกลับมีเสียงสื่อจิตหนึ่งดังขึ้น
‘ข้าน้อยลู่จ้ง มาพบสหายยุทธ์ตามคำสั่งอาจารย์’
หลินสวินสีหน้าราบเรียบ แต่จิตรับรู้กลับแผ่ออกไป ทันใดนั้นก็เห็นเด็กหนุ่มชุดเทาท่าทางสุภาพคนหนึ่งยืนอยู่ในฝูงชนที่ห่างไกล
สีหน้าเด็กหนุ่มเต็มไปด้วยความองอาจ พาดกระบี่โบราณบนแผ่นหลัง
‘อาจารย์ของเจ้าเป็นใคร’ หลินสวินสื่อจิตถาม
‘อาจารย์เป็นสหายเก่าของผู้อาวุโสไท่เสวียน นามว่าอู๋ยาง’
ลู่จ้งสื่อจิตกล่าว
อู๋ยาง!
หลินสวินใจสะท้าน รู้สึกยินดีอย่างยากบรรยาย
เขาจะลืมได้อย่างไร ตอนนั้นที่แดนมกุฎก็เป็นจักรพรรดิสงครามอู๋ยางที่มอบมรดก ‘ไปไร้หวน’ แก่เขา
ทั้งเขาจะลืมได้อย่างไร ว่าพลังเจตจำนงเสี้ยวนั้นของจักรพรรดิสงครามอู๋ยางเคยเรียกเขาว่า ‘ผู้ร่วมวิถี’
แต่กาลเวลาผันผ่าน เกรงว่าจักรพรรดิสงครามอู๋ยางในปีนั้นคงเหมือนไท่เสวียน ไม่อาจเรียกนางว่า ‘จักรพรรดิสงคราม’ ได้นานแล้ว
‘ที่แท้ก็เป็นศิษย์ของผู้อาวุโสอู๋ยาง เพียงแต่ไม่ทราบว่าตอนนี้ผู้อาวุโสอู๋ยางอยู่ที่ไหน’ หลินสวินเก็บกลั้นความตื่นเต้นในใจ สื่อจิตเอ่ยถาม
‘อาจารย์ไม่ได้มาที่เมืองเทพศุภโชค แต่กลับรู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับสหายยุทธ์อยู่ก่อนแล้ว’
ลู่จ้งกล่าว ‘อาจารย์บอกว่าปัจจุบันนอกเมืองเทพศุภโชคนี้ถูกระดับนิรันดร์ของเผ่าเทพแต่ละตระกูลโอบล้อม เจ้าอย่ารีบร้อนออกไป’
‘นอกจากนี้อาจารย์ยังบอกว่านางติดต่อสหายเก่าบางส่วนแล้ว เมื่อโอกาสมาถึงจะลงมือพร้อมกัน ช่วยสหายยุทธ์ออกไปจากแหล่งสถานศุภโชค’
มีคนขมวดคิ้วกล่าว
“ช่วงที่ผ่านมานี้ทุกคนล้วนจำศีลอยู่ในเมือง ไม่มีใครกล้าลงมือเป็นคนแรก สิ่งที่หวาดกลัวไม่ใช่หลินสวินนั่น แต่เป็นไปได้ว่าอาจเจอคู่แข่ง”
อีกคนหนึ่งกล่าว “แต่ถ้าทุกคนยักแย่ยักยันต่อไปเช่นนี้ สุดท้ายก็ไม่ใช่ทางออก ยิ่งไปกว่านั้นหากกำลังพลของเผ่าเทพสามตระกูลใหญ่แห่งโลกทวยเทพมา… ขุมอำนาจเผ่าเทพไหนในเมืองนี้จะกล้าไปแย่งชิงกับพวกเขา”
คำพูดนี้ทำให้ทุกคนต่างลังเลแล้ว
“ข้าเห็นด้วยกับการตัดสินใจของผูอวิ๋น”
หลังจากนั้นไม่นานคนผู้หนึ่งกล่าวด้วยสีหน้าเด็ดขาด
“นับรวมข้าคนหนึ่ง”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็ไปพร้อมพี่ผูด้วย”
“นับรวมข้าด้วยคน”
หลายคนต่างตกปากรับคำทันที
ผูอวิ๋นเห็นดังนี้แล้วพลันหยัดร่างขึ้นกล่าว “ทุกท่าน หากครั้งนี้ชิงศุภโชคมาได้ ข้าขอสาบานในนามตระกูลว่าจะไม่ลืมความสำเร็จจากการช่วยเหลือของทุกท่าน”
“ไป”
พูดจบเขาก็สาวเท้าก้าวใหญ่ไปนอกเรือน
คนอื่นตามหลังมาติดๆ
ทันทีที่ก้าวออกจากเรือน พวกเขาก็พุ่งทะยานไปยังบริเวณนภาดาราศุภโชคเต็มอัตรา
ใช่ว่าไม่อยากปิดบังกลิ่นอายบนตัว
แต่เมืองเทพศุภโชคตอนนี้ทุกหนแห่งเต็มไปด้วยคนสะกดรอย พวกเขารู้ทิศทางการเคลื่อนไหวของคู่แข่งได้ทันที คู่แข่งพวกนั้นก็รู้การเคลื่อนไหวของพวกเขาได้ทันทีเช่นกัน
ทุกอย่างนี้หมายความว่าปิดบังอำพรางไปก็เปล่าประโยชน์
เรื่องเร่งด่วนคือบุกไปนภาดาราศุภโชคด้วยความเร็วที่ว่องไวที่สุด ยามคู่แข่งคนอื่นยังไม่ตอบสนอง ต้องจับตายหลินสวินให้ได้ในคราเดียว!
ทว่าสิ่งที่ทำให้ผูอวิ๋นกับเหล่าบุตรเทพสิบกว่าคนคิดไม่ถึงคือ เมื่อพวกเขามาถึงบริเวณนภาดาราศุภโชค ก็เห็นว่าในทิศทางอื่นมีคนกลุ่มหนึ่งพุ่งโฉบไปทางนภาดาราศุภโชคเต็มกำลังเช่นกัน ทั้งยังเร็วกว่าพวกเขาก้าวหนึ่งด้วย!
อีกฝ่ายเป็นระดับบุตรเทพเช่นกัน จำนวนคนยังมากกว่าพวกเขา มีกันเกือบยี่สิบคน ผู้นำคือชายสวมเกราะเทพสีฟ้าคราม เงาร่างผึ่งผาย หล่อเหลาเหมือนชายหนุ่มคนหนึ่ง
เมื่อเห็นคนผู้นี้ผูอวิ๋นอดขมวดคิ้วไม่ได้
กงเหยี่ยฮุย!
บุตรเทพตระกูลกงเหยี่ย คู่ต่อสู้ผู้แข็งแกร่งที่ทำให้ผูอวิ๋นต้องให้ความสำคัญ เมื่อนานมาแล้วในการจัดอันดับระดับมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิ กงเหยี่ยฮุยถึงขั้นมีอันดับสูงกว่าเขาสามขั้น ก้าวขึ้นไปอยู่ในอันดับที่สิบสอง!
“ไม่เกินความคาดหมายของข้าจริงๆ ผูอวิ๋น วันนี้เจ้าเรียกชุมนุมเหล่าสหายด้วยคิดจู่โจมกะทันหัน มาสังหารหลินสวินนี่ดังคาด ยังดีที่เมื่อข้าเดาความคิดของเจ้าออกก็นำสหายทุกคนเคลื่อนไหวพร้อมกัน ไม่อย่างนั้นคงถูกเจ้าผูอวิ๋นชิงตัดหน้าไปก่อนจริงๆ”
กงเหยี่ยฮุยก็เห็นผูอวิ๋นแล้ว เขาอดหัวเราะเสียงดังขึ้นมาไม่ได้
…………………..
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์