ตอนที่ 2868 ใช้กลซ้อนกล ล่อหลอกถึงท้ายที่สุด – ตอนที่ต้องอ่านของ Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
ตอนนี้ของ Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง ตอนที่ 2868 ใช้กลซ้อนกล ล่อหลอกถึงท้ายที่สุด จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที
ตอนที่ 2868 ใช้กลซ้อนกล ล่อหลอกถึงท้ายที่สุด
แดนมารสวรรค์
ยอดเขาแห่งหนึ่ง หลินสวินสัมผัสถึงกลิ่นอายกกฎระเบียบกลางฟ้าดิน หน้ายังเปลี่ยนสีอย่างเลี่ยงไม่ได้
เสถียรเกินไปแล้ว!
หากกล่าวว่าในแดนมารปฐพี การโจมตีเดียวของขั้นดับเทพสามารถทำลายภูผาธาราแถบหนึ่งได้ เช่นนั้นในแดนมารสวรรค์ การโจมตีเช่นนี้เต็มที่ก็ทำได้เพียงทำลายยอดเขาลูกหนึ่ง
เหตุผลก็เพราะพลังกฎระเบียบของแดนนี้เสถียรอย่างหาใดเทียบ ทำให้สรรพสิ่งในแดนนี้แตกต่างออกไป
ฟ้าดินของแดนมารสวรรค์แตกต่างจากแดนมารอื่น มีกลิ่นอายต้นกำเนิดระเบียบไหวเคลื่อน เรื่องนี้น่าเหลือเชื่อนัก
พลังระเบียบใดก็ตาม มีแต่หลอมมันโดยสมบูรณ์ถึงกลายเป็นต้นกำเนิดระเบียบ
แต่ในแดนมารสวรรค์ กลิ่นอายต้นกำเนิดระเบียบมีอยู่เต็มฟ้าดิน นี่หมายความว่าถ้าฝึกปราณในแดนนี้ จะสามารถดูดซับพลังต้นกำเนิดระเบียบได้ทันทีอย่างไม่ต้องสงสัย!
‘มิน่าในอดีตไร้สิ้นสุดที่ผ่านมาถึงตอนนี้ ผู้เข้าร่วมศึกที่มีโอกาสเข้าสู่แดนมารสวรรค์จึงเลือกมาแจ้งมรรคขั้นหลุดพ้นที่แดนนี้ทั้งนั้น ที่นี่ไม่ธรรมดาจริงๆ’
หลินสวินลอบทอดถอนใจกับตัวเอง
แต่เขาก็รู้ดีว่าพวกบุตรเทพอย่างหยวนฉางเทียน ชางฝูเฟิงไม่ได้มาแดนนี้เพื่อทะลวงขั้น
แต่ต้องการอาศัยโอกาสทะลวงขั้นไปหยั่งรู้และจับจุดเปลี่ยน จุดเปลี่ยนที่ถือเป็นศุภโชคชิ้นใหญ่ที่สุดของแดนนี้!
น่าเสียดาย สำหรับหลินสวินแล้วแม้ว่าแดนมารสวรรค์จะล้ำเลิศเพียงไหน ก็ไม่มีประโยชน์กับการแจ้งมรรคทะลวงขั้นของเขา
สาเหตุก็ง่ายดายนัก
เขาทะลวงขั้นได้เร็วเกินไป ระยะสั้นๆ เพียงสิบปีก็ก้าวจากขั้นดับเทพขั้นต้นมาเป็นขั้นดับเทพสัมบูรณ์แล้ว แม้พลังปราณจะพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่ได้ตกตะกอนและขัดเกลามากพอ ถ้าฝืนทะลวงขั้นไปกลับจะมีผลเสียมากกว่า
ตั้งแต่มาถึงแดนมารสวรรค์จนตอนนี้ก็ผ่านมาครึ่งชั่วยามแล้ว
หลินสวินเริ่มสัมผัสได้แล้ว และคาดเดาได้ว่าต่อให้เริ่มฝึกปราณตั้งแต่ตอนนี้ ในระยะเวลาสั้นๆ เพียงสามเดือนก็ไม่ได้มีประโยชน์กับการทะลวงขั้นปราณของตนมากนัก
แต่สำหรับหลีเจิน ทันทีที่มาถึงที่นี่พลังปราณของเขาก็ให้ความรู้สึกเหิมฮึกยิ่งยวด!
เห็นชัดว่ากฎระเบียบฟ้าดินของแดนมารสวรรค์ทำให้หลีเจินสัมผัสได้ถึงจุดเปลี่ยนแจ้งมรรค
ขณะนี้หลีเจินเริ่มนั่งสมาธิเตรียมแจ้งมรรคทะลวงขั้นแล้ว
หลินสวินสำแดงประทับผนึกเวลาปกคลุมพื้นที่รัศมีพันจั้งไว้ เช่นนี้แล้วต่อให้มีศัตรูบุกมาก็ไม่อาจรบกวนหลีเจินได้
หลินสวินครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ ในที่สุดก็ตัดสินใจเอ่ยขึ้นว่า “ผู้อาวุโส ข้าจะทิ้งร่างแยกสี่ร่างไว้คุ้มครองท่าน”
หลีเจินที่นั่งสมาธิอยู่ลืมตา เอ่ยอย่างอึ้งๆ ว่า “เจ้าจะไปไหน”
“ไปชิงโอกาสบางส่วนเพิ่มให้ผู้อาวุโส ผู้อาวุโสไม่ต้องเป็นห่วงข้า จดจ่อกับการฝึกปราณเตรียมตัวทะลวงขั้นก็พอ”
ขณะที่หลินสวินพูดก็ทิ้งกายมรรคทั้งสี่ไว้ ยกเว้นกายมรรควารีดำ ส่วนร่างต้นของเขาก็ตรงดิ่งจากไป
นี่ทำให้หลีเจินยังไม่ทันห้ามปราม ถึงขั้นไม่รู้ว่า ‘ชิงโอกาสเพิ่ม’ ที่หลินสวินพูดไว้คืออะไร
ครู่หนึ่งหลีเจินถึงส่ายหัว สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง สลัดความคิดฟุ้งซ่านแล้วนั่งสมาธิฝึกปราณอีกครั้ง
……
เงาร่างหลินสวินทะยานไปตามฟ้าดิน
เทียบกับแดนมารปฐพีแล้ว อาณาเขตของแดนมารสวรรค์มีจำกัด จากข้อมูลแสดงให้เห็นว่าแดนนี้มีขอบเขตล้านลี้ พื้นที่ถูกกฎระเบียบฟ้าดินปกคลุมเหมือนปราการกั้น
อีกสามเดือนปราการกั้นพื้นที่รอบทิศของแดนมารสวรรค์ก็จะหายไป
ถึงตอนนั้นผู้ฝึกปราณที่อยู่ในแดนมารสวรรค์ก็จะถูกเคลื่อนย้ายออกไปจากแดนมารสิบทิศ
ตอนนี้หลินสวินล้มเลิกความคิดที่จะไปแจ้งมรรคทะลวงขั้นแล้ว แต่เขาไม่ได้ปล่อยไปเฉยๆ แต่เพียงเท่านี้
ตอนนี้สิ่งที่เขาต้องทำก็คือหาคู่ต่อสู้ในเวลาอันสั้นที่สุด ใช้ทุกวิถีทางขัดขวางการแจ้งมรรคทะลวงขั้นของอีกฝ่าย
ถ้าเป็นไปได้ หลินสวินจะกำราบอีกฝ่ายโดยไม่ลังเลสักนิด!
สรุปแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจปล่อยให้อีกฝ่ายทะลวงขั้นได้ง่ายดายปานนั้น
ผ่านไปเพียงครึ่งวัน
หลินสวินชะงักเท้ากลางอากาศดฮณ๊ฯดฯฌซ,
กลางฟ้าดินไกลลิบดูคล้ายไม่มีอะไรเลย แต่ในจิตรับรู้ของเขากลับสัมผัสได้ถึงพลังผนึกที่แทบจะว่างเปล่า อัศจรรย์ถึงขีดสุด มีกลิ่นอายระเบียบไหวเคลื่อนอยู่รางๆ
ถ้าไม่ใช่ว่าหลินสวินเองก็เป็นนักสลักลายมรรคคนหนึ่งอยู่แล้ว เกรงว่าคงไม่อาจรับรู้ได้
เขาเก็บงำกลิ่นอายทั้งตัว ก่อนเคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างเงียบเชียบ
ผ่านไปพักหนึ่งสายตาหลินสวินก็มองไปที่ยอดเขาสูงโดดเดี่ยวลูกหนึ่ง พลังผนึกลึกลับที่แทบจะว่างเปล่านั้นเบาบางคล้ายผ้าบางๆ ปกคลุมยอดเขานี้อยู่
หลินสวินประเมินดูเล็กน้อยก็มองออกว่ากระบวนผนึกนี้ก็เรียกได้ว่าวิจิตรผิดธรรมดา ขณะที่ปกปิดกลิ่นอายยังมีพลังสังหารที่น่าตกตะลึงยิ่งอีกด้วย
ถ้าฝืนบุกเข้าไป ชั่วพริบตาก็จะถูกพลังระเบียบระดับสวรรค์ขั้นเก้าในผนึกโจมตี!
แต่สำหรับหลินสวินแล้วคิดจะทำลายก็ไม่ใช่เรื่องยาก
ทว่าก็ในตอนที่เขาเตรียมจะลงมือกลับต้องชะงักเท้าลง
เพราะจู่ๆ เขาพลันตระหนักได้ถึงปัญหาข้อหนึ่ง ในแดนมารสวรรค์ขณะนี้เหลือเพียงคู่ต่อสู้สี่คนอย่างชางฝูเฟิงกับหั่วเซียวจากลัทธิพ่อมด เหวินเฉียวสุ่ยจากลัทธิฌาน รวมถึงหยวนฉางเทียน
ส่วนผู้เข้าร่วมศึกอย่างจี้ซานไห่ จิ่งจงเยวี่ยจากลัทธิวิญญาณก็เป็นพันธมิตรกับเขา
ในสถานการณ์เช่นนี้ไม่ว่าจะเป็นชางฝูเฟิงหรือเหวินเฉียวสุ่ย จะไม่กังวลว่าจะถูกคนอื่นรบกวนการทะลวงขั้นของตัวเองหรือ
และกระบวนผนึกอย่างตรงหน้านี้ อาจจะต้านขั้นดับเทพส่วนใหญ่ในโลกได้ แต่ในแดนมารสวรรค์แห่งนี้ย่อมไม่อาจรับการทำลายจากคนสองสามคนไหว
เช่นนั้นทำไมอีกฝ่ายต้องทำสิ่งนี้เพิ่ม วางกระบวนผนึกเช่นนี้เอาไว้
หลินสวินคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ถอยออกไปเงียบๆ
เขายืนอยู่กลางฟ้าสูงแล้วมองลงไป ทันใดนั้นก็เห็นภูผาธาราที่อยู่ใกล้เคียงทั้งหมด
ไม่นานนักในดวงตาเขาก็ฉายแววเข้าใจแจ่มแจ้ง
ที่นี่คงเป็นแค่ของตบตา เป็นสิ่งที่ตั้งใจวางไว้ ทันทีที่มีคนเข้าไปก็จะเกิดการเคลื่อนไหวใหญ่ยิ่ง ถูกคนที่วางกระบวนไว้สัมผัสได้ในทันที
และเป็นไปได้สูงยิ่งว่าคนวางกระบวนไว้จะไม่ได้อยู่ในกระบวนผนึกนี้!
พอคิดดูหลินสวินก็เริ่มคาดเดาออกมา ไม่นานนักสายตาของเขาก็มองไปยังบริเวณที่อยู่ไกลลิบแห่งหนึ่ง
ไม่เคลื่อนไหวยังพอทำเนา แต่ทันทีที่เคลื่อนไหวก็โจมตีถึงตาย!
เหวินเฉียวสุ่ยมั่นใจ อย่าว่าแต่หลินสวิน ต่อให้เปลี่ยนเป็นขั้นหลุดพ้นสักคนก็ต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการโจมตีนี้ ถึงขั้นสิ้นชีพได้!
ทว่าก็เป็นในชั่วพริบตาที่เขาลงมือนี้เอง…
หลินสวินที่จู่โจมผนึกบนยอดเขานั้นมาตลอดกลับหมุนตัวทันควัน นิ้วมือทำมุทราซัดประทับออกมาอย่างจังเหมือนคาดเดาไว้ก่อนแล้ว
ประทับฝ่ามือนี้เป็นการสะท้อนมรรควิถีทั้งตัวของหลินสวินถึงขีดสุดเช่นเดียวกัน ไม่ได้ยั้งมือแต่อย่างใด
เคร้ง!!
ประทับฝ่ามือปะทะกับทวนศึกเก้าแดน พลังน่ากลัวไร้สิ้นสุดนั้นซัดจนทวนศึกเก้าแดนส่งเสียงครวญ สะเทือนไหวรุนแรง
ส่วนเงาร่างเหวินเฉียวสุ่ยก็เหมือนถูกมหาคีรีโบราณกระแทก กระเด็นถอยหลังออกไปอย่างจัง ปากยังกระอักเลือดออกมาทันที
หลงกลแล้ว
เขาหน้าเปลี่ยนสีโดยพลัน การตอบโต้ของหลินสวินในตอนนี้เป็นการโจมตีกลับอย่างรีบร้อนเสียที่ไหน นี่คือการโจมตีเต็มกำลังที่ตั้งท่ารอไว้ก่อนนานแล้วชัดๆ
เหวินเฉียวสุ่ยหันหลังจะหนี
ชิ้ง!
กระบี่เทพหนักแน่นหนาทึบประหนึ่งผืนพสุธาไร้ขอบเขตเล่มหนึ่งพุ่งออกมาจากน้ำเต้าเขียวข้างเอวกายมรรควารีดำ แล้วฟันออกไปทันที
ความเร็วนั้นทำเอาเหวินเฉียวสุ่ยไม่ทันได้หลบหนีสักนิด
ขณะเดียวกัน ความรู้สึกอันตรายอย่างแรงกล้าก็ผุดขึ้นในใจเหวินเฉียวสุ่ย เขาสำแดงวิชาลักฟ้าแลกตะวันโดยไม่ลังเลสักนิด
ปัง!
เงาร่างเขามลายหายไปเหมือนฟองสบู่
ครู่ต่อมาก็เห็นเงาร่างเหวินเฉียวสุ่ยปรากฏตัวออกมาในห้วงอากาศไกลลิบ สีหน้าเขียวคล้ำไม่น่าดู “สหายยุทธ์หลิน เจ้าคิดแค้นข้าคนแซ่เหวินขนาดนี้เชียวหรือ”
กลับพบว่ากายมรรควารีดำของหลินสวินเอ่ยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ไร้สาระ ถ้าข้าคนแซ่หลินไม่แค้นเจ้า จะลำบากวิ่งแจ้นมาถึงที่นี่ทำไม”
เหวินเฉียวสุ่ยสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง เก็บกลั้นความขุ่นเคืองในใจไว้แล้วยิ้มเอ่ยว่า “น่าเสียดาย ในที่สุดเจ้าก็พลาดอยู่ดี”
“แต่เกรงว่าเจ้าจะไม่กล้าใช้วิชาลักฟ้าแลกตะวันอีกแล้ว”
กายมรรควารีดำก็ยิ้มเช่นกัน
เหวินเฉียวสุ่ยดวงตาหดรัด คล้ายเข้าใจอะไรบางอย่าง เอ่ยด้วยสีหน้าปรวนแปรว่า “แม่นางซานไห่ถึงขั้นบอกความลับเช่นนี้กับเจ้าด้วย!”
“แต่เจ้ารู้ไปแล้วอย่างไร ตอนนี้เจ้าไม่มีโอกาสรั้งข้าคนแซ่เหวินได้แล้ว”
พูดจนถึงตอนท้ายเหวินเฉียวสุ่ยก็แหงนหน้าหัวเราะลั่น หมุนตัวทำท่าจะจากไปอย่างเบิกบานอิสระเสรี
แต่ทันทีที่หันหลัง
รอยยิ้มบนใบหน้าเขาก็แข็งค้างอยู่ตรงนั้น นัยน์ตาพลันขยายกว้าง
ในครรลองสายตาเขา หลินสวินถือเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งพุ่งเข้ามาอย่างดุเดือด!
——
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์