Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ นิยาย บท 2906

ตอนที่ 2906 การกำราบที่ป่าเถื่อน

หลินสวินพูดด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “ท่านมาครั้งนี้เพื่อประลองกับข้าโดยเฉพาะหรือ”

“ไม่กล้าหรือ”

มุมปากของชางเจิ้นคุนเผยความท้าทาย

หลินสวินยิ้ม “ชนะแล้วได้อะไร”

ชางเจิ้นคุนสายตาคบปลาบ เอ่ยว่า “ถ้าข้าแพ้ ตั้งแต่วันนี้ไปเผ่าเทพตระกูลชางจะไม่หาเรื่องเจ้าอีก หากชนะ เจ้าก็ไปกับข้าเป็นอย่างไร”

เสวียนเฟยหลิงขมวดคิ้วพูด “สหายยุทธ์ นี่ไม่ยุติธรรมไปหน่อยหรือไม่”

ชางเจิ้นคุนพูดเรียบๆ “เสวียนเฟยหลิง เจ้าควรรู้ว่าการจับบุตรเทพตระกูลข้าเป็นตัวประกัน ค่าตอบแทนที่ต้องจ่ายหนักหนาสาหัสเพียงใด ตอนนี้ข้ารับรองเช่นนี้ถือว่าไว้หน้าลัทธิแรกกำเนิดของพวกเจ้าแล้ว ไม่เช่นนั้นหากแตกหักขึ้นมาจริงๆ ด้วยรากฐานพลังของลัทธิแรกกำเนิดในตอนนี้ กล้าสู้กับตระกูลชางของข้าจริงๆ หรือ”

ในเสียงแฝงความดูถูกอยู่รางๆ

เสวียนเฟยหลิงขมวดคิ้วพูด “เป็นศัตรูกับตระกูลชางของเจ้าแล้วอย่างไร ลัทธิแรกกำเนิดเคยกลัวมีเรื่องเสียที่ไหน”

ชางเจิ้นคุนสีหน้าอึมครึมลง เอ่ยว่า “เจ้ามั่นใจหรือ”

เสวียนเฟยหลิงนำพลังจิตของชางฝูเฟิงออกมา พูดอย่างเย็นเยียบ “ไม่กล้ามั่นใจได้อย่างไร เช่นนั้นข้าคนแซ่เสวียนทำลายพลังจิตของเจ้านี่ตอนนี้เป็นอย่างไร”

ชางเจิ้นคุนหรี่ตาลงเล็กน้อย เหวินปาจี๋ที่อยู่ข้างๆ เกลี้ยกล่อมพร้อมรอยยิ้ม “ทั้งสองท่านระงับโทสะ อย่าได้ทะเลาะกันเลย”

เสวียนเฟยหลิงยิ้มเยาะพูด “ทั้งสองท่าน ข้าคนแซ่เสวียนขอพูดคำไม่น่าฟังไว้ก่อน ที่เก็บพลังจิตของชางฝูเฟิงและเหวินเฉียวสุ่ยเอาไว้ ไม่ใช่ว่าลัทธิแรกกำเนิดของข้าไม่กล้าฆ่าพวกเขา แต่แค่ไม่อยากสร้างปัญหาโดยใช่เหตุ แต่ถ้าทั้งสองท่านคิดว่าที่ลัทธิแรกกำเนิดทำเช่นนี้เป็นการกระทำที่แสดงถึงความอ่อนแอ นั่นก็ผิดมหันต์!”

คำพูดนี้ทรงพลัง แข็งแกร่งอย่างที่สุด

เหวินปาจี๋ขมวดคิ้วน้อยๆ ยิ้มกล่าวว่า “เข้าใจ ขอเพียงแค่สหายยุทธ์ปล่อยคน ทุกอย่างก็คุยกันได้”

เสวียนเฟยหลิงยิ้มกล่าวเช่นกัน “ปล่อยคนย่อมแน่นอนอยู่แล้ว แต่ก่อนหน้านี้ข้าต้องการการรับรองจากทั้งสอง”

“รู้อยู่แล้วว่าไม่มีทางราบรื่นเช่นนี้”

ชางเจิ้นคุนแค่นเสียงขึ้นจมูกอย่างเย็นเยียบ

เหวินปาจี๋ยิ้มพูด “สหายยุทธ์เชิญพูด”

“อันที่จริงก็ง่ายมาก ลัทธิแรกกำเนิดต้องการให้ทั้งสองท่านรับรอง ว่าต่อไปจะไม่เกิดเรื่องจำพวกบุตรเทพสองคนนี้กลายเป็นศัตรูกับลัทธิแรกกำเนิดของข้าอีก”

เสวียนเฟยหลิงพูด

“ได้” เหวินปาจี๋รับปากทันที

“พูดปากเปล่าเชื่อถือไม่ได้”

เสวียนเฟยหลิงว่าพลางก็หยิบยันต์หยกสีดำสองอันออกมา “นี่คือยันต์สาบานที่หลอมจากพลังระเบียบขั้นเทพของลัทธิแรกกำเนิดของข้า หากทั้งสองท่านยินยอมก็ใช้ชื่อของตระกูลตั้งคำมั่นสัญญากับจิตมรรคของตน ใช้เลือดพิสุทธิ์ของตนประทับในนั้นก็ได้แล้ว”

เหวินปาจี๋ขมวดคิ้วทันที

ชางเจิ้นคุนเอ่ยพูดเย็นเยียบ “เสวียนเฟยหลิง นี่เจ้าจะดูหมิ่นพวกเราสองคนหรือ”

เสวียนเฟยหลิงพูดด้วยสีหน้านิ่งสงบ “จะช่วยบุตรเทพสองคนนี้ไปได้หรือไม่ ก็อยู่ที่ความคิดเดียวของพวกเจ้า”

“ก็ได้ ในเมื่อสหายยุทธ์ยืนยันเช่นนี้ข้าย่อมไม่ปฏิเสธ”

ว่าพลางเหวินปาจี๋หยิบยันต์หยกสีดำมา จากนั้นส่งเสียงสาบานแล้วประทับเลือดพิสุทธิ์เสี้ยวหนึ่งในยันต์หยกสีดำนั่นก่อนคืนให้เสวียนเฟยหลิงอีกครั้ง

สายตาของเสวียนเฟยหลิงมองไปยังชางเจิ้นคุนดฮณ๊ฯดฯฌซ,

ชางเจิ้นคุนสูดหายใจลึกคราหนึ่ง ไม่ได้พูดมากความ ทำแบบเดียวกันแล้วคืนยันต์หยกกลับไป “ตอนนี้ควรจะปล่อยคนได้แล้วกระมัง”

เสวียนเฟยหลิงเก็บยันต์หยกก่อนเอ่ยเตือนด้วยความหวังดี “ท่านทั้งสองต้องจำไว้ว่าหากผิดคำสัญญาในวันนี้ สภาวะจิตของพวกเจ้าจะต้องเกิดปัญหา อย่างเบาก็ธาตุไฟเข้าแทรก อย่างหนักก็กายสิ้นมรรคสลาย”

พูดจบจึงส่งพลังจิตของชางฝูเฟิงและเหวินเฉียวสุ่ยไป

ทันใดนั้นเหวินปาจี๋และชางเจิ้นคุนผ่อนคลายลงไม่น้อย

“สหายยุทธ์ ขอถามว่าสมบัติบนร่างของบุตรเทพตระกูลข้าอยู่ที่ไหน”

เหวินปาจี๋ถาม

เสวียนเฟยหลิงพูดโดยไม่ต้องคิด “ได้ยินว่าล้วนเสียหายในแดนมารสิบทิศ”

กล้ามเนื้อบนใบหน้าเหวินปาจี๋กระตุก เอ่ยว่า “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้”

ชางเจิ้นคุนพูดอย่างเดือดดาล “บนร่างของบุตรเทพตระกูลข้ามีระเบียบระดับสวรรค์ขั้นเก้ามากมาย จะถูกทำให้เสียหายได้อย่างไร”

“หรือจะสูญหายในแดนมารสิบทิศไปแล้ว”

เสวียนเฟยหลิงพูดด้วยใบหน้าซื่อๆ

หลินสวินเห็นแล้วเกือบหัวเราะออกมา

“เรื่องจบแล้ว ข้าขอตัวก่อน”

เหวินปาจี๋พูดถึงตรงนี้ก็คล้ายนึกอะไรออก สายตามองไปยังหลินสวินแล้วเอ่ยว่า “ตอนที่ข้ามาเยือน ได้ยินว่าคีรีดวงกมลมีผู้สืบทอดจำนวนไม่น้อยถูกขังใน ‘แดนยอดจักรวาล’ เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่”

หลินสวินหรี่ตา พร้อมพูดว่า “สหายยุทธ์จะพูดอะไร”

เหวินปาจี๋ยิ้มพูด “ไม่มีอะไร ข้าเพียงอยากบอกสหายยุทธ์ว่า ตอนนี้ผู้สืบทอดคีรีดวงกมลของพวกเจ้าถูกขุมอำนาจใหญ่จำนวนไม่น้อยของน่านฟ้าที่เก้าจดจ้อง จึงเตือนเจ้าด้วยความหวังดี”

พูดจบ เขาหมุนตัวจากไป

หลินสวินจะฟังการข่มขู่ในคำพูดของเหวินปาจี๋ไม่ออกได้อย่างไร

‘ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องนี้ ไอ่แก่นี่เพียงแค่เจตนาพูดให้ตื่นตกใจเท่านั้น หากผู้สืบทอดคีรีดวงกมลของเจ้าเกิดเรื่องจริงๆ ฝั่งลัทธิวิญญาณคงส่งข่าวกลับมาในทันที’

เสวียนเฟยหลิงสื่อจิตอย่างไม่แสดงสีหน้า

หลินสวินขานรับว่าอืม ได้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้วว่า จะหาเวลาไปติดต่อพวกศิษย์พี่สามสักหน่อย

“หลินสวิน มีเรื่องหนึ่งข้าลืมบอกเจ้า”

แต่ตอนนี้ จู่ๆ ชางเจิ้นคุนก็ยิ้มขึ้นมา สายตาเย็นเยียบ “แม้บอกว่าภายในพันปีเคราะห์แห่งยุคสมัยถูกกำหนดให้มาเยือน แต่น่านฟ้าที่เก้ามีเฒ่าชราจำนวนไม่น้อยสนใจมรรคายอดอมตะ ระดับนิรันดร์อย่างพวกเขา ถ้าต้องการทำเรื่องหนึ่ง ย่อมทำได้ทุกอย่าง ในพันปีนี้เจ้าหลบอยู่ในลัทธิแรกกำเนิดอย่าออกไปจะดีที่สุด เป็นเต่าในกระดองโดยดี ไม่เช่นนั้น คงรักษาชีวิตไว้ไม่ได้”

พูดจบเขาก็หมุนตัวจากไป

“ช้าก่อน”

จู่ๆ หลินสวินก็พูดขึ้น

“ทำไม กลัวหรือ”

ชางเจิ้นคุนยืนตระหง่านโดยไม่หันหลังกลับด้วยซ้ำ เสียงแฝงความดูถูกเสี้ยวหนึ่ง

โครม!

เหมือนอากาศไม่รู้กี่ชั้นถูกทะลุทะลวง การแทงครั้งนี้ให้ความรู้สึกราวกับจะทะลวงทุกอย่างออก ก้าวรุดหน้าไปอย่างกล้าหาญ ไม่อาจต้านทาน

เคร้ง!!!

เสียงพุ่งชนที่สะเทือนฟ้าดินดังก้องขึ้น น่านทะเลบริเวณรอบๆ ถูกเลิกขึ้น กระแสทำลายล้างม้วนตัวขึ้น เหมือนจะท่วมท้นท้องฟ้า

ก็เห็นกระบี่กลียุคที่ก้าวรุดหน้าไปอย่างกล้าหาญของชางเจิ้นคุน กลับถูกเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งขวางไว้อย่างมั่นคงในชั่วขณะนี้

จู่ๆ ชางเจิ้นคุนก็หรี่ตา

“ตาข้าแล้ว!”

หลินสวินกางเงาร่างอย่างกะทันหัน ถือเตากระบี่กระแทกมา ง่ายดายโหดร้าย ถึงขั้นป่าเถื่อนเล็กน้อย เหมือนเทพดึกดำบรรพ์ย้ายคุนหลุนกระแทกใส่เก้าบาดาล

เคร้ง!

ชางเจิ้นคุนใช้กระบี่ประชัน กลับถูกซัดจนเลือดลมทั่วตัวพลุ่งพล่าน สีหน้ายิ่งเปลี่ยนไปอย่างควบคุมไม่อยู่ เจ้าหมอนี่เป็นขั้นหลุดพ้นขั้นต้นแท้ๆ พลังกลับวิปริตเช่นนี้

ตูม โครม!

ไม่รอเขาตอบสนอง การจู่โจมของหลินสวินพุ่งมาปานลมพายุ

เงาร่างของเขาส่องแสงสว่างไสว ยกเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งกระแทกออกไปอย่างหนาแน่น ห้วงอากาศบริเวณรอบๆ สลายอย่างสิ้นเชิง เงาเตากระบี่ชั้นแล้วชั้นเล่าห่อหุ้มอยู่ในแสงมรรคหมื่นล้านกระแทกลง

ภาพที่ดุร้ายเผด็จการนั่น เสวียนเฟยหลิงเห็นแล้วเหงื่อตก

วิธีการต่อสู้เช่นนี้ ชั่วช้าและเหี้ยมโหดเกินไปจริงๆ!

ชางเจิ้นคุนยิ่งงุนงง

เขาคิดว่ามรรคายอดอมตะจะมหัศจรรย์แค่ไหน แต่ใครจะคิดว่า กลับเป็นวิชาการต่อสู้ที่เด็ดเดี่ยวเช่นนี้ ไร้ซึ่งกฎเกณฑ์โดยสมบูรณ์

ชางเจิ้นคุนไม่ได้ถอย โคจรมรรควิถีอย่างเต็มพลัง ปะทะกับหลินสวิน เขาไม่เชื่อว่าด้วยมรรควิถีที่ตกตะกอนมาไม่รู้นานเท่าไหร่ของตน ยังจะทำอะไรคนรุ่นเยาว์ขั้นหลุดพ้นขั้นต้นคนหนึ่งไม่ได้

เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!

เสียงพุ่งชนที่แน่นขนัดและรุนแรงดังก้องอย่างต่อเนื่องปานสะเทือนฟ้าสวรรค์ กระแสทำลายล้างที่ราวกับลมพายุม้วนตัว แสงมรรคเอาใจ

แต่พร้อมกับที่ไม้แข็งสู้ไม้แข็ง ลมเลือดของชางเจิ้นคุนเดือดพล่านอย่างต่อเนื่อง ถึงสุดท้ายถูกซัดจนสั่นไปทั้งตัวเป็นระยะๆ ทั้งยังอดกระอักเลือดออกมาไม่ได้

บนใบหน้าของเขาได้ปรากฏความกลัวอย่างไม่สามารถควบคุมได้แล้ว

ความแข็งแกร่งแห่งพลังของหลินสวิน ล้มล้างการคาดการณ์ก่อนหน้านี้ของเขาโดยสมบูรณ์ ถึงขั้นแข็งแกร่งจนเหลือเชื่อ!

ชางเจิ้นคุนเริ่มกระอักเลือดอย่างต่อเนื่อง เงาร่างของเขาถูกหลินสวินโจมตีและปรามปราบอย่างบ้าคลั่ง กระบี่ยาวสีดำในมือดังกึกก้องไม่หยุด

ปัง!

เสียงระเบิดดังลั่น กระบี่ยาวสีดำที่ถูกชางเจิ้นคุนฝึกมาไม่รู้นานเท่าไหร่ กลับถูกกระแทกจนแตกละเอียดทั้งอย่างนั้น สาดกระเซ็นไปทั่ว

แทบจะในเวลาเดียวกัน ชางเจิ้นคุนที่รับพลังกำราบที่น่ากลัวนั้นไม่ไหว ร่างกายปลิวถอยออกไปอย่างรุนแรง เหมือนลูกบอลที่ถูกเตะอย่างไรอย่างนั้น

ยังไม่ทันทรงตัวได้ ในริมฝีปากก็กระอักเลือดไม่หยุด เห็นได้ชัดว่าบาดเจ็บอย่างรุนแรง

เห็นหลินสวินจะพุ่งไปข้างหน้าต่อ เสวียนเฟยหลิงส่งเสียงห้ามทันที “หลินสวิน ผู้มาเยือนคือแขก ไว้หน้าสหายยุทธ์ชางหน่อย”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์