อย่าลืมว่าหลายวันก่อนผู้ฝึกปราณจำนวนมากถูกเป้าหมายสังหารจนแตกพ่าย สุดท้ายก็ไม่มีใครสามารถหยุดเขาได้เลย รวมกับหลายวันมานี้พวกเขาสูญเสียทรัพยากรไปมาก ทำให้ความมุ่งมาดในการต่อสู้ของหลายคนลดทอนลง หากเป็นเช่นนี้ต่อไปจะเอาอะไรไปสู้กับเป้าหมายได้
ตู้ซิงชวนกระทั่งมีความคิดว่า แม้นปรมาจารย์วางแผนการศึกอายุน้อยอย่างสวี่เชียนจิ้งมาที่นี่ ก็เกรงว่าจะไม่มีวิธีพลิกสถานการณ์เช่นกัน
“หัวหน้าขอรับ มีรายงานมาว่าเป้าหมายซุ่มโจมตีจุดที่ห่างจากนี้ไปสามสิบเจ็ดลี้ คนของเราทั้งสิบเก้าคนคนไม่มีใครรอดชีวิตเลย”
เสียงตะโกนร้องดังฝันร้ายแว่วมาจากที่ไกล ทำให้ตู้ซิงชวน เสี่ยวมู่ และผู้ฝึกตนทั้งหลายล้วนหน้าถอดสี เวลาเพิ่งจะผ่านไปไม่เท่าไร เป้าหมายเริ่มลงมืออีกแล้ว
“บัดซบ!”
“ทำไมไม่ใช้โอกาสนี้นำเรือรบวีรชนม่วงออกมาสังหารมันเสีย”
“เหลวไหล ไม่ได้ยินหรือว่าเป้าหมายซุ่มโจมตี ใครจะรู้ว่าเขาจะปรากฏตัวอยู่ที่ใด และลอบโจมตีด้วยวิธีไหน เรือรบวีรชนม่วงแม้จะร้ายกาจ แต่ก็ไม่สามารถระบุตำแหน่งของเป้าหมายได้ในทันที”
“แล้วจะทำอย่างไร”
หลายคนก่นด่าระบายความร้อนรนหวาดกลัวในใจ ทำให้บรรยากาศจอแจวุ่นวาย
ตู้ซิงชวนในยามนี้แน่ใจในสิ่งที่ตนคาดคะเนไว้ เป้าหมายวางแผนใช้วิธีซุ่มโจมตีโดยหยิบยืมแม่น้ำเป็นเกราะกำบังโจมตีกองกำลังที่พวกเขาจัดวางตามที่ต่างๆ
คิดได้เช่นนี้เขาก็กายเย็นวาบ ก่อนจะตะโกนขึ้นมาสุดเสียง “หุบปากให้หมด! รีบรายงานกองกำลังที่เหลือให้มารวมตัวกันที่นี่โดยด่วน!”
ผู้ฝึกปราณหลายคนแยกย้ายไปปฏิบัติหน้าที่ของตนเอง
“หัวหน้าขอรับ ทำเช่นนี้หากเป้าหมายโผล่ขึ้นจากน้ำก็สามารถหลบหนีออกไปได้โดยง่าย” เสี่ยวมู่เอ่ยเตือน “จะทำอย่างนี้จริงๆ หรือขอรับ”
ตู้ซิงชวนคร่ำเคร่ง ว่าเสียงขื่น “ให้เรือรบวีรชนม่วงกับเหยี่ยวสอดแนมจับตาดูการเคลื่อนไหวของเป้าหมายไปก่อน พวกเราสูญเสียกำลังคนมากเกินไป จะปล่อยให้สถานการณ์ย่ำแย่อย่างนี้ดำเนินต่อไปไม่ได้”
เสี่ยวมู่ถอนหายใจไม่พูดอะไรอีก
คืนนั้น กองกำลังที่จัดวางไว้ตามสถานที่ต่างๆ ก็ทยอยมารวมตัวกับตู้ซิงชวน แต่เมื่อนับจำนวนที่ชัดเจนแล้วตู้ซิงชวนแทบลมจับ กระอักเลือดออกมา
สี่ร้อยสิบเก้าคน!
จากเมืองหมอกอำพรางมาจนถึงตอนนี้ รวมทั้งคนที่อยู่บนเรือรบวีรชนม่วงแล้ว พวกเขาเหลือเพียงสี่ร้อยสิบเก้าคน!
“ผู้ฝึกปราณยอดฝีมือทั้งสิ้นสามพันคน เรือรบวีรชนม่วงหกลำ อาวุธและทรัพยากรจำนวนมหาศาล ตอนนี้กลับเหลือเพียงเท่านี้”
น้ำเสียงของตู้ซิงชวนทั้งขมขื่นและเศร้าสลด “และสาเหตุทั้งหมดเป็นเพียงเด็กหนุ่มอายุสิบกว่าปีเท่านั้น ใครจะอยากเชื่อ ใครจะจินตนาการได้”
เสี่ยวมู่เองก็สลดใจไร้ซึ่งคำพูดเช่นเดียวกัน ผู้ฝึกปราณคนอื่นกำลังใจหดหาย พากันตื่นตระหนก พวกเขากลัวแล้วจริงๆ ในความคิดของพวกเขา หลินสวินคือสัตว์ร้ายที่ไม่มีทางเอาชนะได้ ทำให้พวกเขารู้สึกไร้เรี่ยวแรงและหวาดกลัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ในยามนี้ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าพวกเขาสู้รบกับหลินสวิน เกรงว่าหากหลินสวินปรากฎกายขึ้นมา พวกเขาก็คงกลัวจนแตกฮือวิ่งหนี
เหตุการณ์ทั้งหมดตกอยู่ภายใต้สายตาของตู้ซิงชวน ทำเอาเขาแน่นหน้าอกหายใจไม่คล่องคอ
จะทำอย่างไรดี
ความจริงตู้ซิงชวนมีคำตอบในใจอยู่แล้ว เพียงแต่เมื่อนึกถึงคำสั่งของฉือฉางเหมย เขากลับลังเลขึ้นมา
จะถอยดีหรือไม่
…
กลางดึก หลินสวินขึ้นมาจากน้ำเงียบๆ ร่างกายหายวับไปที่ไกล
ไม่นานก็ปรากฏเห็นเรือรบวีรชนม่วงขนาดยาวกว่าร้อยจั้งจอดนิ่งอยู่บนพื้นที่โล่งกว้าง มองไปราวกับอสูรร้ายกำลังหลับใหล
“โอกาสอยู่ข้างหน้าแล้ว”
หลินสวินสูดหายใจลึกท่ามกลางความมืด เขารอโอกาสนี้มานาน รอเวลาที่เรือรบวีรชนม่วงจะลงจอดบนพื้น
นี่ไม่ใช่การกระทำไร้ซึ่งการตรึกตรอง หลินสวินรู้ดีว่าเรือรบวีรชนม่วงบินต่อเนื่องได้นานสุดสี่ชั่วโมง และต้องจอดพักเพื่อเปลี่ยนผลึกวิญญาณระดับสูงในเตาหลอมวิญญาณ หากไม่ทำเช่นนี้แล้ว เรือรบจะสูญเสียพลังจนร่วงหล่นลงมาเหมือนนกไร้ปีก
สวบ
หลินสวินกระโดดขึ้นไปบนท้ายเรือ เขาดั่งวิญญาณที่เดินเหินท่ามกลางความมืด เด็กหนุ่มคุ้นเคยกับเรือรบวีรชนม่วงเป็นอย่างดี เพราะเขาเป็นคนสร้างมันมากับมือ
พลันร่างหนึ่งเดินเลี้ยวออกมาจากมุม ยังไม่ทันตั้งตัวลำคอก็ถูกมือหนึ่งหัก ร่างอ่อนย้วยลงกับพื้น เมื่อจัดการเรียบร้อยหลินสวินเคลื่อนไหวไปอีกสิบกว่าลี้ หยุดลงที่หน้าประตูห้องบังคับเรือ
เขานำดาบเวทเรืองแสงออกมาแทงบานประตูกว่าสิบครั้ง ก่อนจะมีเสียงแกรกดังขึ้น ในที่สุดประตูก็เปิดออก
นี่คือกลอย่างหนึ่ง หากใช้แต่เพียงแรงกระแทก แม้จะเป็นผู้แข็งแกร่งระดับมหาสมุทรวิญญาณก็ไม่มีทางเปิดมันออกได้โดยง่าย แต่หากทราบวิธีไขกลแล้ว การจะเปิดประตูออกย่อมง่ายกว่าพลิกฝ่ามือ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์