หลินสวินฝึกปราณอยู่ใต้แม่น้ำมาตลอดเจ็ดวัน เขาบาดเจ็บหนักเพราะถูกลูกปืนใหญ่จากเรือรบวีรชนม่วงตามยิง แม้ไม่ได้โดนเข้าจังๆ แต่แรงพลังน่ากลัวที่สะเทือนไปโดยรอบนั้นก็ไม่ได้เบานัก
เด็กหนุ่มนั่งขัดสมาธินิ่งอยู่ในถ้ำ รอบกายมีแสงสีฟ้าเขียวดั่งสีหยกรายล้อม หลังจากที่บรรลุปราณขั้นผสานดิน พลังวิญญาณทั้งกายของเขาก็เป็นพลังที่มาจากพลังการรวมผสานของดิน พลังวิญญาณที่เมื่อก่อนเป็นเพียงแสงลวงตา กลับเด่นชัดขึ้นมาคล้ายหินหยกบริสุทธิ์เนื้องาม
ฟู่
ฝูงปลาหลากสีแหวกว่ายไปมา เมื่อผ่านหน้าถ้ำก็เข้ามาใกล้หลินสวินอย่างชิดเชื้อ พวกมันรับรู้ได้ว่าในกายหลินสวินมีพลังบางอย่างที่อธิบายไม่ได้ เป็นพลังธรรมชาติที่ให้ชีวิตแก่สรรพสิ่งในน้ำ
ไม่ใช่พลังจากกายของหลินสวิน แต่เป็นพลังของมุกนักบุญอมตะในนิมิตของเขา
หลายวันก่อนหลินสวินสัมผัสได้ว่ามุกนักบุญอมตะในนิมิตของเขามีกระแสพลังบางอย่างคล้ายกำลังจะตื่นขึ้นมา พลังที่เคลื่อนไหวออกมานี้ดึงดูดเอาพลังพิสุทธิ์จากมวลน้ำเข้าสู่ร่างกาย ผ่านเข้าไปถึงมุกนักบุญอมตะในนิมิตของเขา
ในที่สุดหลินสวินรู้ว่าเขาเข้าใจผิดมาตลอด มุกนักบุญวิญญาณจะตื่นขึ้นเมื่อมีการเติมพลัง หาใช่การฟื้นฟูสภาพร่างกายของตัวเอง และพลังที่มันต้องการอยู่ในแหล่งน้ำนั่นเอง
เมื่อตระหนักถึงข้อนี้ เขาจึงพบว่าระหว่างที่ตัวเองฝึกฝน มุกนักบุญอมตะในนิมิตก็กำลังฝึกฝนด้วยวิธีพิเศษเช่นกัน พลังที่มันดูดซับเป็นพลังลึกลับจากกระแสน้ำ แม้ในท้ายที่สุดมุกนักบุญอมตะจะดึงดูดพลังเหล่านั้นเข้าไป แต่มันก็ผสานและชำระล้างผิวกาย เลือดเนื้อ เอ็นกระดู อวัยวะภายใน ระบบไหลเวียน และทวารทั้งหลายขณะที่ไหลผ่านร่างกายของหลินสวินด้วย ทำให้บาดแผลของเขาได้รับการฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว
บาดแผลที่เดิมทีต้องใช้เวลานานในการรักษา เพียงเจ็ดวันกลับหายดีดังเดิม และพลังกายก็ชัดเจนว่าแข็งแกร่งกว่าแต่ก่อน ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นผลมาจากพลังกระแสน้ำลึกลับนั่น
เหตุที่หลินสวินไม่ได้ด่วนจากไปไหน เพราะต้องการทดลองว่าจะใช้โอกาสนี้ฟื้นฟูพลังของมุกนักบุญอมตะได้หรือไม่ แต่มาวันนี้ กระแสลึกลับของมุกนักบุญวิอมตะกลับหลับไหลหายไปอีกครั้ง
หลินสวินแปลกใจ ครู่ใหญ่จึงคิดได้ว่า คงเพราะพลังกระแสน้ำในแม่น้ำแห่งนี้ธรรมดาเกินไป ไม่เพียงพอต่อความต้องการของมุกนักบุญอมตะกระมัง
ช่างเถิด วันหลังค่อยหาโอกาสศึกษาความลึกลับของมุกนักบุญอมตะนี้ก็ไม่สาย
หลินสวินคิดเช่นนั้นแล้วจึงลืมตาขึ้นมาจากการทำสมาธิ นัยน์ตาสีดำใสคู่นั้นมีแววน่ากลัววาดผ่านวาบหนึ่ง ฝูงปลาที่แหวกว่ายอยู่รอบกายเขาตื่นฮือกระจัดกระจายหนี
“ผ่านไปหลายวันแล้ว ไม่รู้ว่าพวกศัตรูจะไปหรือยัง”
หลินสวินออกจากถ้ำ ลัดเลาะไปตามกระแสน้ำกว่าสิบลี้จึง
…
บริเวณเทือกเขาสูงชันมีเสียงสัตว์ป่าคำรามร้องออกมาเป็นระยะ แม่น้ำแห่งนี้ไหลเชี่ยวลงมาตามธารน้ำแข็ง เสียงกระทบมุมเขาซู่ซ่าดังแว่วออกไปไกลแลดูอันตราย
ที่ริมแม่น้ำ ผู้ฝึกปราณสิบกว่าคนเฝ้าอยู่ด้วยท่าทีเกียจคร้านไม่มีชีวิตชีวา
“บ้าเอ๊ย ไม่มียาเสริมกำลังเช่นนี้ อย่าว่าแต่ฝึกฝนเลย เกรงว่าแม้แต่พลังปราณก็จะถดถอยไปด้วย”
“รอมาเจ็ดวันแล้ว แม้แต่ขนสักเส้นของเป้าหมายก็ยังไม่เจอ ถ้าศัตรูไม่ออกมาพวกเราต้องเฝ้าอยู่ตรงนี้ไปตลอดชีวิตเลยหรือ”
“เหอะๆ เลิกพูดเรื่องพวกนี้สักที น่าเบื่อ ข้าจะเล่าอะไรให้ฟัง มีบันทึกว่าแม่น้ำแห่งนี้ชื่อว่าเกล็ดน้ำค้างเงิน ประมาณเจ็ดร้อยปีก่อน ใต้แม่น้ำเกล็ดน้ำค้างเงินนี้เคยเกิดคลื่นน้ำวนที่มีพลังทำลายล้าง ลือกันว่าหากใครได้เข้าไปส่วนลึกของน้ำวนได้ ก็จะพบกับสมบัติล้ำค่าที่อยู่ภายใน”
“จริงหรือ”
“หากมีเรื่องแบบนี้ ป่านนี้คงดึงดูดผู้ฝึกตนมามากมาย เหตุใดพวกข้าถึงไม่เคยได้ยินมาก่อนเล่า”
“นั่นสิ ไร้สาระจริงๆ ”
“พวกเจ้าไม่รู้อะไร พลังของคลื่นน้ำวนนั้นน่ากลัวยิ่งนัก แม้แต่ผู้ฝึกปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณเข้าใกล้ก็ยังถูกมันพัดวนจนแหลกละเอียด แล้วอย่างนี้ใครจะกล้าเข้ามาสำรวจเล่า”
“เหอะๆ อย่าโม้น่า เรื่องเล่าก็คือเรื่องเล่า ในจักรวรรดิมีเรื่องเล่าไร้สาระเช่นนี้ตั้งมากมาย ไม่เห็นใครโชคดีเช่นนั้นเลย”
เหล่าผู้ฝึกปราณนั่งสนทนากันด้วยความผ่อนคลาย ไม่มีใครสังเกตว่ามีหน้าไม้ลอยออกมาจากกลางแม่น้ำ
ฉึก!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์