แม้เขาจะแน่ใจแล้วว่าศัตรูแพ้ยับเยินไม่มีทางกลับมาจัดการตัวเองอีก แต่เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน การเดินทางในน้ำจึงปลอดภัยที่สุด
“ตลอดทางมานี้ เพียงหน้าไม้ก็ได้มาไม่ต่ำกว่าร้อยด้าม นอกจากนี้ยังมีอาวุธวิญญาณกับยาอีกมากมาย หากแลกเป็นเหรียญทองก็คงจะได้เงินมาจำนวนมาก”
เด็กหนุ่มคำนวนในใจ ตอนนี้ในแหวนเก็บชองของเขามีของกำนัลจากการต่อสู้เป็นกองพะเนิน แต่ส่วนใหญ่ใช้การไม่ได้ หลินสวินจึงวางแผนจะขายพวกมันทิ้งทั้งหมด
เข้าไปในนครต้องห้ามจำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมาก ขณะเดียวกันก็ยังต้องยังต้องเตรียมของสำหรับฝึกฝนปราณ ทำให้หลินสวินเริ่มวางแผนสำหรับวันข้างหน้าแล้ว
ฮูม
เวลาหนึ่งก้านธูปผ่านไป ใต้น้ำไกลออกไปเกิดคลื่นน้ำวนน่ากลัว หลินสวินหยุดมองนิ่ง คลื่นน้ำวนนั้นมีปากหลุมขนาดใหญ่แฝงไปด้วยพลังน่ากลัว คล้ายกับสามารถดูดกลืนได้ทุกสิ่ง ฝูงปลาที่หลบหลีกไม่ทันถูกกระแสน้ำวนนั้นพัดหมุนแหลกละเอียดจนหายลับ
ฟิ้ว
หลินสวินลองโยนหินที่หนักสิบกว่าจินเข้าไป ก่อนจะได้ยินเสียงหวืดดัง หินก้อนนั้นถูกพลังในคลื่นน้ำวนน่ากลัวนั้นพัดจนแตกเป็นเสี่ยงหายไป ทำเอาเด็กหนุ่มตกใจเพราะความน่าประหวั่นพรั่นพรึงของพลังนั้น หากเข้าไปใกล้สุ่มสี่สุ่มห้า แม้จะเป็นผู้ฝึกปราณก็เกรงว่าจะร่างจะฉีกขาดเอาได้
เขาไม่กล้าเข้าไปใกล้ จึงดีดร่างกายขึ้นไปบนผิวน้ำด้วยหวังหลบหลีกคลื่นน้ำวนที่ขวางอยู่ตรงหน้า ใครจะคิดว่ายิ่งพุ่งขึ้นไปสูง พลังดูดกลืนของคลื่นน้ำนั้นก็ยิ่งรุนแรง หลินสวินเพิ่งดีดตัวขึ้นไปไม่ถึงสิบจั้งพลันรู้สึกถึงพลังดูดกลืนอันน่ากลัว ม้วนหมุนทั้งร่างของเขาเข้าไปในคลื่นน้ำวนโดยที่ตัวเองควบคุมไม่ได้เลย
แย่แล้ว
หลินสวินหวาดหวั่น รีบขับเคลื่อนพลังปราณพยายามขัดขืน ทั้งร่างมีแสงประกายทอออกมา
แต่พลังคลื่นน้ำวนรุนแรงเกินไป แม้หลินสวินจะสามารถสังหารผู้ฝึกปราณขั้นผสานฟ้าได้ แต่เทียบพลังของเขากับคลื่นน้ำวนแล้วก็เหมือนจิ้งหรีดขย่มต้นไม้ ไม่อาจสร้างแรงสั่นสะเทือนใดได้
เพียงพริบตา คลื่นน้ำวนก็พาทั้งร่างของเขาหมุนเข้าไปยังใจกลาง
ครืน
เด็กหนุ่มรู้สึกมึนหัวคล้ายมีดาวลอยละล่อง สายตาพร่าเลือน ร่างกายร่วงลงไปในเวิ้งลึก เขาพลันนึกถึงฝูงปลากับก้อนหินที่ถูกบดละเบียด คิดกับตัวเองว่าตัวเขาคงไม่มีสภาพอเนจอนาถถึงเพียงนั้น จากนั้นหลินสวินก็ตัวสั่นสะท้าน มึนชาไปทั้งร่าง และไม่รู้สึกอะไรอีกเลย
หากมีผู้ฝึกปราณคนอื่นอยู่ตรงนี้ คงจะเห็นว่าบังเกิดแสงสีฟ้ารอบกายเด็กหนุ่ม มันปกป้องหลินสวินขณะที่ถูกพัดเข้าไปในน้ำวน ทำให้เขารอดพ้นจากพลังอันน่ากลัวของคลื่นน้ำวนไปได้
นั่นเป็นพลังจากมุกนักบุญอมตะที่แสดงอิทธิฤทธิ์ในยามฉุกเฉิน
…
หลินสวินรู้สึกตัวขึ้นมาก็พบว่าตัวเองอยู่ท่ามกลางแม่น้ำสีฟ้าใส มีปะการังสวยงามสะท้อนแสงจากน้ำงดงามดังภาพลวงตา มันสะบัดพริ้วไหวงดงามปานเทพเซียนเต้นระบำ
ไม่ช้าเขาก็รู้สึกตัว ครั้นสำรวจร่างกายและพบว่าไม่ได้รับบาดเจ็บ เขาก็พรูลมหายใจโล่งอก
ที่นี่ที่ไหนกัน
หลินสวินลุกขึ้น เริ่มมองสำรวจไปรอบๆ เขามั่นใจว่าตัวเองถูกคลื่นน้ำวนพัดเข้ามา เพียงแต่ไม่คิดว่าน้ำวนนั้นจะเชื่อมโยงมาถึงสถานที่สวยงามปานนี้
ฮูม
พลันเกิดคลื่นน้ำขึ้นข้างกาย ปลาสีเขียวตัวใหญ่มีปีกและขนหลากสีว่ายผ่านเด็กหนุ่มไป
นี่มัน…หลินสวินหรี่ตา นี่คือสัตว์ประหลาดชนิดใด
ขนหลากสี มีสองปีก เกล็ดสีเขียว มีหนวด สองตาคล้ายลูกไฟ…
ในหัวของหลินสวินนึกถึงบันทึกภาพสัตว์ที่เคยอ่าน ล้วนไม่มีสัตว์ที่ลักษณะคล้ายปลาเช่นนี้
“แปลกนัก หรือคลื่นน้ำวนนั้นจะเป็นกาลเวลาพิเศษ พาข้าเข้ามาในดินแดนวารีที่ไม่เคยมีใครเคยพบเห็นมาก่อน” หลินสวินใคร่ครวญอยู่นานก็คิดไม่ออก
“ช่างเถิด หาทางออกดีกว่า” ไม่นานหลินสวินก็สลัดความคิดต่างๆ ทิ้ง แล้วเดินออกไปข้างหน้า
ตลอดทางมีปะการังประปราย แสงที่สาดเข้ามาตกกระทบหักเหเกิดภาพสวยงาม เหมือนเข้ามาในที่อยู่ของเทพแห่งมหาสมุทรในตำนาน
บางครั้งมีปลารูปร่างประหลาดว่ายวนไปมา ทั้งมีสองปีก ที่ท้องมีครีบเท้า ตรงหัวมีนอ และอีกหลายลักษณะแตกต่างกันไป ปลาเหล่านี้มีพลังวิญญาณกระจายอยู่รอบตัว การที่พวกมันไม่ดุร้ายไม่เข้ามาโจมตี ทำให้หลินสวินสบายใจลงไปมาก
เขากลัวจริงๆ ว่าหากปะทะกับสัตว์ประหลาดดุร้ายใต้น้ำแล้ว เขาคงจบเห่
เจ้าเต่าแทบบ้าเมื่อได้ยินคำถากถางนั้น สองตาของมันแดงก่ำเหมือนเลือด พลางกัดฟันกรอด “เต่า เจ้าว่าข้าเป็นเต่าอย่างนั้นหรือ เจ้าเด็กน้อยไม่มีตา! ข้าเกิดมาเป็นถึงตะพาบเขียว สายเลือดชั้นสูงไม่มีใครเทียบเทียม สัตว์วิญญาณในทะเลกลืนวิญญาณเห็นข้า ก็ยังต้องเรียกข้าว่าราชาแห่งตะพาบเขียว!”
ตะพาบเขียว!
นี่มันสัตว์วิญญาณระดับสวรรค์และปรากฏเพียงในตำนานเท่านั้น เล่าขานกันว่าสัตว์ชนิดนี้เกิดอยู่ในน้ำเก้าลำนำ มีปัญญาล้ำเลิศตั้งแต่กำเนิด สามารถควบคุมคลื่นลม บังคับเมฆหมอก มีพลังมหาศาล
หลินสวินไม่คิดว่าเต่าตรงหน้าจะเป็นอสูรวิญญาณตะพาบเขียวที่มีเพียงชื่อ แต่ไม่สามารถพบพานตัวตนที่แท้จริงได้
ไม่นานเขาก็ถูกคำพูดตะพาบเขียวดึงสติกลับมา
ทะเลกลืนวิญญาณ!
ก่อนจะออกมาจากเมืองหมอกอำพราง หลินสวินเคยได้ยินเสวี่ยจินพูดว่าหากเดินทางผ่านทางตะวันออก จะต้องผ่านประตูกลเข้าออกของทะเลกลืนวิญญาณ อีกนัยหนึ่งก็คือทะเลกลืนวิญญาณอยู่ทางตะวันออกสุดของจักรวรรดิ แต่ก่อนที่เขาจะถูกคลื่นวนดูดมานั้น เขาอยู่ที่เขตเมืองมังกรเหลือง ซึ่งระหว่างเมืองมังกรเหลืองกับทะเลกลืนวิญญาณห่างกันมากกว่าหมื่นลี้
ตามที่เสวี่ยจินบอก ทุกปีในยามฤดูนี้ ทะเลกลืนวิญญาณจะสะท้านสะเทือน เกิดภัยพิบัติรุนแรง ลมกรรโชก คลื่นละเลพัดสูง สัตว์ร้ายในทะเลจะปรากฏออกมา ไม่มีผู้ฝึกปราณคนไหนมาที่ทะเลกลืนวิญญาณในเวลานี้ กระทั่งผู้ฝึกปราณระดับหยั่งสัจจะยังต้องยอมถอย
หากที่นี่คือทะเลกลืนวิญญาณจริงๆ นั่นก็หมายความว่าตัวเขาพลัดหลงจากภาคกลางของจักรวรรดิมาถึงดินแดนตะวันออกสุดของจักรวรรดิ
“เด็กน้อย เจ้าฟังข้าอยู่หรือไม่” ตะพาบเขียวตะคอกด้วยความไม่พอใจ
“ขอรับ”
หลินสวินตื่นจากภวังค์ เก็บงำความวุ่นวายและว้าวุ่นไว้ในใจ
เด็กหนุ่มมองตะภาพเขียวตรงหน้าแล้วก็ตระหนักได้ จึงโค้งกายทำความเคารพ “ผู้อาวุโส เมื่อครู่ผู้น้อยเสียมารยาทเพราะไม่รู้ความ ไม่ทราบว่าบนโลกนี้ยังมีผู้อาวุโสที่เป็นหนึ่งไร้สองอยู่จึงตกใจ ขอท่านอาวุโสโปรดอภัย”
ตะพาบเขียงได้ฟังก็หัวเราะร่า “ฮ่าๆๆ นับว่าเจ้ารู้จักพูด ที่เจ้าบอกว่าเป็นหนึ่งไร้สองพูดได้ดี ถูกใจข้านัก โดยเฉพาะที่เจ้ายังรู้ตัวว่าตัวเองไม่รู้ความ ทำให้ข้าตำหนิเจ้าไม่ลงแล้ว”
หลินสวินยิ้มในใจ ตะพาบเขียวตัวนี้ชอบให้คนยกยอตนเองดังที่คาด เห็นได้จากการที่ชอบยกตนข่มท่านจากคำพูดก่อนหน้านั้น
เช่นนี้ก็ง่ายแล้ว เพียงต้องพูดเอาใจเขา หลินสวินไม่เชื่อว่าจะไม่ได้อะไรที่มีประโยชน์กลับมา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์