Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ นิยาย บท 3185

ตอนที่ 3185 เหง้าเลวร้าย

ระหว่างนั่งสมาธิ บนตัวหลินสวินปรากฏภาพประหลาดน่าเหลือเชื่อเป็นฉากๆ

และที่สะดุดตาที่สุดในนั้นคือรูปจำลองมหามรรคสี่อย่างที่เกี่ยวข้องกับจตุโบราณสถาน อันได้แก่แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ แหล่งสถานคุนหลุน แหล่งสถานศุภโชค และแหล่งสถานอัศจรรย์

และในนั้นแหล่งสถานอัศจรรย์เลือนรางมากที่สุด ไม่ชัดเจนและเป็นรูปเป็นร่างเหมือนอย่างสามโบราณสถานอื่นๆ

ทว่าตัวหลินสวินกลับสามารถสัมผัสได้ว่าหลังจากเขาหยั่งรู้และครอบครองนัยเร้นลับบางส่วนของต้นกำเนิดมอบวิญญาณ กลิ่นอายที่เป็นของแหล่งสถานอัศจรรย์ก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้นช่วงใหญ่!

‘ห้าระเบียบแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ของแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ กฎระเบียบศุภโชคของแหล่งสถานศุภโชค กฎระเบียบโชคชะตาของแหล่งสถานคุนหลุน… เช่นนั้นต้นกำเนิดของแหล่งสถานอัศจรรย์นี่ จะเกี่ยวข้องกับกฎระเบียบชีวิตหรือไม่’

หลินสวินนั่งสมาธิไปพลางสันนิษฐานไปพลาง ไม่รู้สึกถึงเวลาเคลื่อนคล้อยสักนิด

ผ่านไปครึ่งเดือนเต็ม

หลินสวินตื่นจากการนั่งสมาธิ กลิ่นอายทั้งตัวล้วนปรากฏความรู้สึกของ ‘ความเป็นธรรมชาติเรียบง่าย’ อย่างหนึ่ง ปราศจากประกายคมอย่างสิ้นเชิง

ทั้งแผ่วเบาราวเมฆเอื่อยบนฟากฟ้า และไม่สะดุดตาประดุจฝุ่นธุลีในโลกหล้า

กายผสานมรรค วิชามรรคดั่งธรรมชาติ

ประหนึ่งคำกล่าวใน ‘คัมภีร์แปรรู้ตน’ แปรสภาพอยู่ทุกที่ แปลงทุกสรรพสิ่ง

กล่าวอีกนัยหนึ่ง หลินสวินเป็นได้ทั้งสุริยันจันทรา และเป็นได้ทั้งมดปลวกฝุ่นธุลี สรรพสิ่งในโลก มรรคแห่งอดีตปัจจุบัน ล้วนสามารถหลอมรวมอยู่ในกายได้

นี่คือท่วงทำนองมหามรรคที่อัศจรรย์สุดบรรยายอย่างหนึ่ง

คนทั่วไปพบเห็นหลินสวิน จะรู้สึกว่าสามัญธรรมดา เสมือนหนึ่งในผู้คนคลาคล่ำ ไม่มีความพิเศษใดๆ แม้แต่น้อย

แต่หากเปลี่ยนเป็นคนชั้นยอดที่เทียมบ่าเทียมไหล่กับหลินสวินในมรรคา จะสามารถสัมผัสถึงท่วงทำนองอัศจรรย์เช่นนี้ที่แผ่คลุ้งบนตัวหลินสวินได้

‘กายจิตหลอมมรรค มรรคหลอมธรรมชาติ นี่เรียกได้ว่ายอดอิสระ!’

เวลานี้ในที่สุดหลินสวินก็เข้าใจว่าเหตุใดขั้นไร้ขอบเขตจึงถูกเรียกว่า ‘ยอดอิสระ’ แล้ว

หลังจากสัมผัสมรรควิถีในร่างตนครู่ใหญ่เขาก็หยัดตัวลุกขึ้น เดินออกจากห้องไป

ในลานเรือน ซู่หวั่นจวินในชุดกระโปรงแดงกำลังต้มชา ซย่าจื้อนั่งดื่มชาในเก้าอี้หวายด้านข้าง บรรยากาศเงียบสงบ เป็นภาพงามวิจิตร

การปรากฏตัวของหลินสวินไม่ได้ทำลายบรรยากาศเงียบสงบนี้แต่อย่างใด ผสานรวมเข้ากับฟ้าดินนี้ได้อย่างเป็นธรรมชาติ กระทั่งเมื่อมาถึงข้างกายซู่หวั่นจวิน มือหยกที่ถือฝาถ้วยชาของฝ่ายหลังสั่นไหวเบาๆ เพิ่งตระหนักได้ว่าหลินสวินมาแล้วโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว

นางอึ้งไปก่อนเงยมองหลินสวินแล้วกล่าว “มรรควิถีของสหายน้อยทำให้คนมองไม่ออกมากขึ้นทุกทีแล้ว”

หลินสวินยิ้มบางๆ “ฝึกปราณครึ่งเดือน แค่สัมผัสได้นิดหน่อยเท่านั้น ไม่ได้คืบหน้าอะไรมากมาย”

“หลินสวิน พวกเราจะไปจากโลกนี้เมื่อไหร่” ซย่าจื้อที่อยู่ข้างๆ เอ่ยถาม

“ไปตอนนี้เลยก็ได้” หลินสวินเอ่ยง่ายๆ

เขาและซย่าจื้อต่างหยั่งถึงหมอนหวงเหลียงในระเบียบมรรควัฏจักรของโลกนี้นานแล้ว เท่ากับสามารถออกจากโลกนี้ได้แล้ว

“แต่ก่อนไปพวกเรายังต้องไปทำเรื่องบางอย่างด้วย” หลินสวินกล่าว

“เรื่องอะไร” ครั้งนี้เป็นซู่หวั่นจวินแปลกใจแล้ว

หลินสวินกล่าวยิ้มๆ “ไปจัดการทูตชะตาสวรรค์ที่กระจายตัวอยู่ในโลกนี้สักรอบ เลี่ยงไม่ให้หลังจากข้ากับซย่าจื้อจากไปแล้ว พวกเขาจะมาก่อกวนการฝึกปราณของผู้อาวุโสอีก”

ซู่หวั่นจวินอบอุ่นในใจ นางไม่ได้รู้สึกถึงการเอาใส่ใจจากมิตรสหายเช่นนี้มานานมากแล้ว

วันนั้นหลินสวินและซย่าจื้อก็เริ่มเคลื่อนไหว

และช่วงสั้นๆ ไม่ถึงเจ็ดวัน เหล่าทูตชะตาสวรรค์สิบกว่าคนของภาคีบูรพาที่เหลืออยู่ต่างพบเจอการกวาดล้างจากหลินสวิน

ทันทีที่ข่าวแพร่ออกไป ทั่วโลกย้อนกำเนิดต่างสะท้านสะเทือน

ส่วนหลินสวินและซย่าจื้อออกเดินทาง ข้ามผ่านประตูสวรรค์ไปจากโลกย้อนกำเนิดแล้ว

ก่อนแยกจากกัน ซู่หวั่นจวินมอบสุรา ‘จิตเขลา’ ที่มือกระบี่คนนั้นหมักให้หลินสวินหนึ่งไห เดิมหลินสวินคิดจะนำหลิงหยวนและกระบี่ไม้สามชุ่นให้ซู่หวั่นจวิน

แต่เมื่อคิดว่าหากทำเช่นนี้เป็นได้ไปสูงว่าอาจส่งผลกระทบต่อจิตมรรคของอีกฝ่าย สุดท้ายจึงล้มเลิกไป

ว่ากันถึงที่สุด ความยึดติดในใจซู่หวั่นจวินรุนแรงเกินไป

ตัวนางเองเกรงว่าคงตระหนักถึงปัญหานี้เช่นกัน ถึงได้เลือกอยู่ในโลกย้อนกำเนิดแห่งนี้ รอมือกระบี่ที่กลับมาเกิดใหม่มุ่งหน้ามาหาอย่างเงียบๆ

โลกที่ห้าของแดนเทพสรรพวิญญาณนามว่า ‘เหง้าเลวร้าย’

โลกนี้แปลกพิสดารถึงขีดสุด หากผู้ฝึกปราณเผ่ามนุษย์เข้ามา จะพบเจอเรื่องเลวร้ายทั้งปวงที่เล่นงานเผ่ามนุษย์

หากสิ่งมีชีวิตเผ่าอื่นเข้ามา ก็จะพบเจอกับเรื่องเลวร้ายที่เล่นงานสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ต่างกันออกไป

ต้องการจากไปมีเพียงทางเดียว คือการกำจัดต้นตอของสิ่งเลวร้ายทั้งปวง

ก่อนเข้าสู่โลกนี้ หลินสวินและซย่าจื้อตกลงกันไว้แล้วว่าใครออกจากโลกเหง้าเลวร้ายก่อน ก็ไปรอพบกันใน ‘โลกพันเคราะห์’ โลกชั้นที่หก

สาเหตุก็เพราะหลินสวินเป็นเผ่ามนุษย์ ส่วนซย่าจื้อ ว่ากันถึงที่สุดชาติกำเนิดของนางเกี่ยวข้องกับพรสวรรค์ที่ถือกำเนิดจากโลกมอบวิญญาณ เป็นรูปแบบชีวิตที่พิเศษสุดขีด

ยามเมื่อทั้งสองเข้าสู่โลกเหง้าเลวร้าย ต่างฝ่ายต่างแยกจากกันโดยสิ้นเชิง

เช่นเดียวกัน เรื่องเลวร้ายทั้งปวงที่ทั้งสองพบเจอในโลกเหง้าเลวร้ายก็ต่างกันด้วย

โลกเหง้าเลวร้าย

วู้ม…

ห้วงอากาศเกิดระลอกคลื่น เงาร่างของหลินสวินปรากฏกลางอากาศ

ก็เห็นฟ้าดินมืดทะมึน ไอชั่วร้ายอบอวลกลางภูผาธารา บนผืนดินมีโครงกระดูกขาวโพลนให้เห็นทุกที่ แม้แต่ในห้วงอากาศยังคลุ้งกลิ่นคาวแสบจมูก

หลินสวินขมวดคิ้วน้อยๆ กล่าวว่า “โลกนี้นองเลือดอย่างที่ลือกันดังคาด”

เขาเคยทำความเข้าใจก่อนมา รู้ว่าเมื่อผู้ฝึกปราณเผ่ามนุษย์เข้าสู่โลกเหง้าเลวร้าย ก็จะเห็นโลกที่เผ่ามนุษย์เป็นเป้าหมายของการปล้นชิงตัวไปเป็นทาส

ในโลกนี้อสูรมารเป็นใหญ่ ภูตผีเป็นนาย กลางภูผาธาราเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตน่าสะพรึงกลัวที่ทรงพลังในมหามรรค

อาหารเหล่านั้นล้วนเป็นเนื้อมนุษย์ เลือดมนุษย์ทั้งสิ้น

และภายในโถงตำหนัก ผู้นำอสูรมารทั้งกลุ่มกำลังร่วมดื่มกิน พูดคุยสนุกสนาน

เมื่อเห็นภาพเหล่ามารเรืองอำนาจ ฆ่าคนกินคนเป็นฉากๆ นั่น ในใจหลินสวินล้วนเกิดความเดือดดาลขึ้นมาอย่างควบคุมไม่อยู่

ทุกชีวิตเท่าเทียมหรือ

สำหรับหลินสวินเป็นเรื่องเหลวไหลสิ้นดี

อันดับแรก เขาเป็นหนึ่งในเผ่ามนุษย์!

เมื่อเห็นภาพที่มนุษย์ถูกทำเหมือนสัตว์เลี้ยงบริโภค ปล่อยให้เชือดฆ่าเหมือนเนื้อปลา ในใจหลินสวินจะนิ่งดูดายได้อย่างไร

‘โลกเหง้าเลวร้าย…ช่างสมกับเป็นรากเหง้าความเลวร้ายจริงๆ…’

หลินสวินพึมพำในใจ

ดูจากมุมมองของเขา ทุกอย่างในโลกนี้ล้วนเป็นความชั่วช้าทั้งสิ้น

ไม่ต้องพูดถึงว่าทำไมอนุญาตให้คนกินสัตว์ แต่ไม่อนุญาตให้สัตว์กินคน

หากไล่ย้อนประวัติศาตร์เผ่ามนุษย์ ก็จะพบได้ไม่ยากว่าไม่ว่ายุคสมัยไหน โลกไหน เผ่ามนุษย์ตั้งแต่แรกเริ่มสุดล้วนเป็นเผ่าพันธุ์ที่อ่อนแอที่สุด

เป็นเพราะบรรพบุรุษนับไม่ถ้วนของเผ่ามนุษย์พลีชีพหลั่งโลหิต พยายามไม่หยุดในหน้าประวัติศาสตร์ ถึงได้นำพาเผ่ามนุษย์ให้ก้าวทัดเทียมหมื่นเผ่าทั่วหล้า จารึกความรุ่งโรจน์ของเผ่ามนุษย์ขึ้นมาได้ แต่ในโลกเหง้าเลวร้ายแห่งนี้ เผ่ามนุษย์กลับกลายเป็นสัตว์เลี้ยงและเครื่องยาชั้นดี

“หืม?”

ทันใดนั้นนัยน์ตาหลินสวินหรี่ลง

ก็เห็นส่วนลึกของหมู่เขานั่น อสูรมารตนหนึ่งคว้าตัวเด็กชายที่ร้องไห้เสียงดังคนหนึ่งแล้วกดเด็กชายไว้บนโต๊ะ มีดกระดูกในมือฟันเฉือนไม่ยั้ง

ปึง! ปึง! ปึง!

เด็กชายที่ก่อนหน้านี้ยังงดงามราวหยกแกะสลัก พริบตาเดียวก็ถูกอสูรมารนั่นหั่นเป็นเศษเนื้อชิ้นเล็กชิ้นน้อย ยามเลือดสดหลั่งรินออกมา ยังถูกอสูรมารนั่นยื่นหัวสีแดงฉานออกมาดูดกลืน สีหน้าเผยแววมัวเมาผ่อนคลาย กล่าวชม

“สมกับที่ข้าชุบเลี้ยงเด็กนี่มาห้าปี เลือดเนื้อของเจ้าตัวเล็กนี่เลิศรสที่สุดแล้ว!”

ขณะพูดเขาคัดกรองเนื้อมนุษย์บนเขียงทีละชิ้นอย่างช่ำชอง ปากก็ยังเอ่ยพึมพำ “เครื่องในเอาไปเคี่ยวน้ำแกงได้ แขนขาเอาไปย่างได้ หัวเล็กๆ เป็นของดีเอาไปทำเป็น…”

ในกรงขังที่อยู่ไม่ไกล สามีภรรยาเผ่ามนุษย์วัยหนุ่มสาวคู่หนึ่งนอนพังพาบกับพื้น ร้องไห้โหยหวน เด็กที่ถูกหั่นเละนั่นคือลูกของพวกเขา

คนอื่นๆ ในกรงขังยังสีหน้าเฉยชาดังเดิม ไม่แยแสต่อเรื่องพวกนี้นานแล้ว

ประดุจสัตว์ที่ถูกเลี้ยงไว้บริโภค ถูกกักขังมานานปีจนคุ้นชินกับความจริงที่ถูกเชือดตามใจชอบแบบนี้นานแล้ว

ใครใช้ให้…

พวกเขาเป็นเผ่ามนุษย์กันล่ะ

เกิดมาก็อาภัพ!

………………….

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์