Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ นิยาย บท 3186

สรุปบท ตอนที่ 3186 จุดชนวนเมล็ดพันธุ์มนุษย์: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

ตอนที่ 3186 จุดชนวนเมล็ดพันธุ์มนุษย์ – ตอนที่ต้องอ่านของ Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

ตอนนี้ของ Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง ตอนที่ 3186 จุดชนวนเมล็ดพันธุ์มนุษย์ จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

ตอนที่ 3186 จุดชนวนเมล็ดพันธุ์มนุษย์

แววตาของหลินสวินค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเย็นเยียบ

เขาก้าวเท้าไป พลันปรากฏตัวกลางอากาศเหนือภูเขาแถบนั้น สายตามองลงไป

พริบตานั้น…

อสูรมารตัวเล็กตัวน้อยหนึ่งหมื่นสามพันหกร้อยกว่าตนกระจายอยู่ในภูเขา ไม่ว่าจะเป็นพวกที่กำลังกินดื่มสังสรรค์ หรือพวกที่กำลังต้มตุ๋นเนื้อคน ร่างล้วนกลายเป็นฝุ่นผงอย่างไร้สุ้มเสียง ลอยร่วงเต็มพื้น

กลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้งอยู่ในอากาศล้วนระเหยจนหมดสิ้นในชั่วพริบตา

“ใคร!”

เสียงตะโกนสายหนึ่งดังจากตำหนักหลังหนึ่งบนยอดเขา จากนั้นเงาร่างอสูรมารสีเลือดที่มีขนาดถึงพันจั้งทะยานอากาศออกมา เขามีศีรษะสิงห์ที่ใหญ่โตราวกับบ้านเก้าหัว ส่วนร่างกายเหมือนร่างมนุษย์ มีขนรุ้งเพลิง ละอองแสงแดงก่ำราวกับน้ำตกไหลลงจากทั่วร่าง กลิ่นอายน่ากลัวอย่างที่สุด

อสูรมารสิงห์เก้าหัวตนนั้นถึงกับไม่ด้อยกว่าขั้นไร้ขอบเขตใหญ่!

“ขั้นไร้ขอบเขตเผ่ามนุษย์!”

อสูรมารเก้าหัวอึ้งงั้นคล้ายยากจะเชื่อ

“นี่เป็นถึงโอสถชั้นเลิศที่ยากจะเห็นเชียว!”

ทันใดนั้นเสียงที่เย็นเยียบดังขึ้น เผยความดีใจ

กลับเห็นเมฆดำแถบหนึ่งเกลือกกลิ้ง งูใหญ่สีเขียวตัวหนึ่งปรากฏตัวกลางอากาศ ประกายแสงเย็นเยียบโหดร้ายพริบไหวในดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้น

ร่างใหญ่โตของงูใหญ่สีเขียวราวกับเทือกเขาที่ทอดยาวต่อกัน ปกคลุมด้วยพลังกฎระเบียบแปลกประหลาดยากคาดเดา

“สามารถฝึกถึงขั้นไร้ขอบเขต เผ่ามนุษย์คนนี้ไม่ธรรมดา สหายยุทธ์ทั้งสองระวังหน่อย”

ปักษายักษ์กระดูกขาวตัวหนึ่งทะยานอากาศมา โครงกระดูกใหญ่ยักษ์ยาวถึงหมื่นจั้ง ตำแหน่งของดวงตาทั้งคู่มีเพลิงมันวาวลุกโชน

เมื่ออสูรมารขั้นไร้ขอบเขตสามตนนี้ปรากฏตัว ฟ้าดินสั่นไหว เมฆลมเปลี่ยนแปลง น่ากลัวถึงที่สุด

สายตาพวกเขาล้วนมองไปยังหลินสวิน แฝงความเร่าร้อนรุนแรงยิ่ง

ราวกับเห็นยอดโอสถไร้เทียมทานมาเยือนถึงที่… ล้วนไม่กล้าเชื่อ!

ตอนแรกหลินสวินยังมีคำถามอยากถามอยู่เต็มอก

แต่ตอนนี้จู่ๆ ก็ไม่อยากพูดอะไรแล้ว

ใจยากสงบ รีบสังหารให้สาใจ!

หลินสวินเงยหน้ามองไปยังอสูรมารสิงค์เก้าหัวที่ปรากฏตัวก่อน

ชั่วขณะนั้นในใจอสูรมารเก้าหัวลนลานอย่างไม่ทราบสาเหตุ รู้สึกถึงแรงคุกคามที่อันตรายถึงชีวิต

“โฮก!”

เขาส่งเสียงคำรามสะเทือนฟ้า ชิงลงมืออย่างไม่ลังเลสักนิด ศีรษะใหญ่ยักษ์ปานบ้านอ้าปาก พ่นกระแสแสงมรรคไพศาลปกคลุมไปทางหลินสวิน

“ไป!”

หลินสวินรวบฝ่ามือ ปราณกระบี่สายหนึ่งโฉบพุ่งออกมา

ชั่วขณะนั้นราวกับประกายคมที่เจิดจรัสที่สุดปรากฏ ทำให้ฟ้าดินอับแสง หมื่นลักษณ์ไร้สี และทำให้สภาวะจิตของอสูรมารสิงห์เก้าหัวตัวนั้นถูกซัดแหลกละเอียดในพริบตา

พรูดๆๆ!

ศีรษะทั้งเก้าลอยกระเด็น เลือดสาดราวน้ำตก

แต่เพียงพริบตาเท่านั้นร่างและหัวที่กระเด็นออกไปของเขาก็กลายเป็นเถ้าธุลีหายไปอย่างหมดจด

หนึ่งกระบี่สังหารอสูรมารสิงห์เก้าหัว!

ภาพที่น่ากลัวนั่นทำให้งูใหญ่สีเขียวและปักษายักษ์กระดูกขาวล้วนตกใจ ยังจะกล้าลังเลเสียที่ไหน หมุนตัวหนีไปทันที

ครืน!

พวกเขาต่างพัดกวาดสายลมชั่วร้าย แหวกทะลวงห้วงอากาศหนีเต็มกำลังเต็มกำลัง

ทว่าเพิ่งถึงครึ่งทางร่างปานภูเขาของงูใหญ่สีเขียวก็ขาดเป็นท่อนๆ ถูกดาบคมกริบสับแหลก เสียงโหยหวนดังกึกก้องแล้วพลันหยุดลง

แทบจะในเวลาเดียวกัน ปักษายักษ์กระดูกขาวตนนั้นก็ถูกมือใหญ่ข้างหนึ่งคว้าจับอย่างแรง และถูกบีบแตกทั้งอย่างนั้น เถ้ากระดูกปลิวเต็มฟ้า

อสูรมารขั้นไร้ขอบเขตใหญ่สามตน กลับล้วนราวกับกระดาษเปื่อย ถูกหลินสวินสังหารในชั่วพริบตา!

ในหมู่เขา พวกอสูรมารที่ยังมีชีวิตอยู่ต่างอึ้งงันอยู่ตรงนั้น เห็นได้ชัดว่าตกใจจนทื่อทึ่มแล้ว

หลินสวินไม่ได้ปรานี

เมื่อเขาสะบัดแขนเสื้อ แสงมรรคนับไม่ถ้วนราวกับฝนกระบี่ฟ้าประทาน ปกคลุมภูเขาแถบนี้แน่นขนัด สังหารอสูรมารทั้งหมดคาที่ ไม่เหลือรอดแม้แต่ตนเดียว

ทำทั้งหมดนี้เสร็จหลินสวินจึงรู้สึกดีขึ้นบ้าง

แต่ยามสายตาเขามองไปยังเผ่ามนุษย์นับหมื่นคนที่ถูกขังกรงราวกับสัตว์เลี้ยงกลับอดอึ้งงันไม่ได้

คนเหล่านั้นไม่ว่าชายหรือหญิง เด็กหรือแก่ ไม่มีใครเผยความดีใจและตื่นเต้นที่รอดชีวิตแม้แต่คนเดียว กลับตัวสั่นระริก ตื่นตกใจไม่สามารถสงบได้

ถึงขั้นที่ไม่มีใครคิดจะหนีออกจากกรงขังนั่น…

ภาพเหล่านี้ทำให้ในใจหลินสวินหนาวสะท้าน

จู่ๆ เขาพลันตระหนักได้ว่าสำหรับเผ่ามนุษย์ในโลกนี้ เกรงว่าคงยอมรับความจริงว่าตนจะต้องกลายเป็นทาส อาหาร หรือยาชั้นดีตั้งแต่เกิดแล้ว พวกเขาถูกกำราบและเลี้ยงจนเชื่อง นอกจากมีจิตวิญญาณและสติปัญญา ก็ไม่ต่างอะไรกับสัตว์เดรัจฉานที่ถูกสอนให้เชื่อง

แม้ตอนนี้ตนช่วยคนเหล่านี้ได้ แต่หลังตนจากไป พวกเขาก็ย่อมต้องกลายเป็นอาหารในจานของอสูรมารภูตผีปีศาจเหล่านั้นอีกครั้ง

นอกเสียจาก…

ตนสามารถสังหารอสูรมารทั้งหมดบนโลกได้

แต่นี่เป็นไปได้หรือ

สายตาของหลินสวินมองไปบนท้องฟ้า

นี่คือโลกเหง้าเลวร้าย ระเบียบมรรควัฏจักรที่กระจายอยู่ถูกกำหนดไว้นานแล้ว ว่าแม้ตนสามารถเปลี่ยนแปลงชั่วขณะ แต่ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงทุกภพทุกชาติของคนโลกนี้ได้

หลินสวินพึมพำ “ดูท่าตัวการความชั่วร้ายที่แท้จริงของโลกนี้คือระเบียบมรรควัฏจักรของโลกนี้สินะ…”

หลินสวินสูดหายใจลึกคราหนึ่งแล้วหมุนตัวจากไป

เขาตระหนักได้ว่าหากวันหนึ่งมหามรรคของตนสามารถแทนที่ระเบียบมรรควัฏจักรของโลกเหง้าเลวร้ายได้ ก็เท่ากับสามารถกำจัด ‘ตัวการความเลวร้าย’ ได้

ถึงขั้นสามารถลงทัณฑ์สวรรค์ ทำให้อสูรมารบนโลกถูกเหยียบใต้เท้าทั้งหมด

แต่หลินสวินไม่ได้ทำเช่นนี้

ไม่มีอสูรมาร เผ่ามนุษย์ก็จะเจอเรื่องเลวร้ายอื่นๆ เช่นกัน

เหยียบอสูรมารไว้ใต้เท้า สักวันก็ต้องผงาดขึ้นมาใหม่

ว่ากันถึงที่สุด ความเลวร้ายของโลกเหง้าเลวร้ายไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ว่าอสูรมารแข็งแกร่งแค่ไหน และไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเผ่ามนุษย์อ่อนแอเพียงใด

แต่อยู่ที่ว่าเผ่ามนุษย์มีความเชื่อที่จะไปต่อต้าน ‘ความเลวร้าย’ ที่ถือกำเนิดในโลกนี้หรือไม่!

มีเพียงการปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของเผ่ามนุษย์ขึ้นมาอย่างแท้จริง ทำให้เผ่ามนุษย์แข็งแกร่งมากพอ จึงจะไม่ตกเป็นทาสตลอดไป!

สำหรับหลินสวิน ที่เผ่ามนุษย์เป็นเผ่ามนุษย์ก็เพราะมีจิตปณิธานของการต่อต้านยามถูกกดขี่

ถ้าขาดความมุ่งมั่นนี้ยังจะเรียกว่าเผ่ามนุษย์ได้อย่างไร

สิ่งที่หลินสวินทำตอนนี้ก็คือทิ้งเชื้อเพลิงเอาไว้ ในเวลาหลังจากนี้ เมื่อเผ่ามนุษย์ผงาดขึ้นมา ก็จะทำให้เผ่ามนุษย์ทุกยุคสมัยไปต่อสู้กับ ‘ความเลวร้าย’ ของโลกเหง้าเลวร้ายแห่งนี้โดยไม่เกรงกลัว เช่นนี้ก็จะสามารถคงอยู่ต่อไปอย่างมีศักดิ์ศรีไม่มีที่สิ้นสุด

ใต้เวิ้งฟ้า

‘เหง้าเลวร้าย รากเหง้าของความเลวร้าย เมื่อรู้ถึงความเลวร้ายจึงจะรู้คุณค่าของความดี’

หลินสวินใคร่ครวญเงียบๆ ผู้ฝึกปราณของเผ่าที่แตกต่างกัน ยามเข้าสู่โลกเหง้าเลวร้าย เรื่องเลวร้ายที่พบเจอก็จะแตกต่างกันไป

นี่เป็นผลกระทบของบ่อเกิดแรกกำเนิดของโลกเหง้าเลวร้ายอย่างไม่ต้องสงสัย

ทำลาย ‘ต้นกำเนิดของความเลวร้าย’ ที่ว่า ไม่ได้อยู่ที่การทำลายล้างคนชั่วช้าเหล่านั้น แต่อยู่ที่การทำให้สิ่งมีชีวิตบนโลกมีจิตต่อสู้และความมุ่งมาดของการต่อต้านความชั่วร้าย

นี่จึงจะเป็นจุดสำคัญที่ให้สรรพชีวิตคงอยู่ตลอดไป

นี่ยังเป็นเพียงในโลกเหง้าเลวร้าย

หากเป็นโลกภายนอก คำว่า ‘เลวร้าย’ ก็มีอยู่ในทุกที่เหมือนคำว่า ‘ความดี’ ในใจคน

ระหว่างผู้ฝึกปราณ ระหว่างคนธรรมดา ล้วนมีทั้งคนดีและคนชั่ว ยากจะแบ่งแยก

ผู้ฝึกปราณอสูรมารใช่ว่าจะชั่วร้าย ผู้บำเพ็ญธรรมก็ใช่ว่าจะดีเสมอไป

สรรพชีวิคในโลกนี้ขอเพียงมีชีวิตอยู่ ก็ถูกกำหนดให้พบเจอกับความดีความชั่ว ความถูก ความผิด สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต

ต่อให้เป็นคนแข็งแกร่งอย่างไท่ชูก็ไม่มีทางกวาดล้างความชั่วร้ายทั่วหล้าได้ ไม่มีทางทำให้สิ่งมีชีวิตทั้งหมดเป็นคนดีไปตลอดชีวิต

สรุปแล้วความดีความชั่ว ถูกผิด ขาวดำ ก็อยู่ที่มุมมองและความเข้าใจที่แตกต่างกัน

และที่ทุกชีวิตแตกต่างกัน ก็เพราะความเข้าใจและมุมมองที่มีแตกต่างกัน

ในสายตาผู้ฝึกปราณ ความแตกต่างของความเข้าใจและมุมมอง ก็คือความแตกต่างของมหามรรคที่แสวงหา บ้างสามารถรับความแตกต่าง บ้างกลับไม่อาจผสานเหมือนน้ำกับไฟ…

ใคร่ครวญอยู่ใต้ฟ้าครู่ใหญ่ ความเข้าใจต่อความดีชั่ว ถูกผิด ขาวดำในใจหลินสวินก็ยิ่งลึกซึ้ง

เขาตระหนักได้ว่าระเบียบมรรควัฏจักรของโลกเหง้าเลวร้ายไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ว่าเลวร้ายเพียงใด แต่อยู่ที่ว่าพลังมหามรรคเช่นนี้เกี่ยวข้องไปถึงมรรคแห่งความดีชั่ว หลักเหตุผลแห่งความถูกผิด

หยั่งรู้แก่นอัศจรรย์ของมันจึงจะสามารถใช้ระเบียบมรรควัฏจักรโลกลงโทษคนชั่ว ชื่นชมคนดี ทำให้สรรพชีวิตทั่วหล้า เผ่าพันธุ์ที่แตกต่างแบ่งแยกผิดถูก ขาวดำ!

……………………

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์