ผู้คนมากมายในสนามไม่คิดว่าหลินสวินจะกล้ามาประลองจริงๆ
ชั่วขณะหนึ่ง กลับมีคนไม่น้อยลอบนับถือ อย่างน้อยในแง่ความกล้าหาญ หลินสวินก็ควรค่าได้รับความเคารพ
ทว่าผู้คนส่วนใหญ่เมื่อเห็นว่าหลินสวินมาถึงกลับแสดงสีหน้าดีใจกับความโชคร้ายของผู้อื่น ด้วยเห็นว่าเขามาครั้งนี้ไม่ต่างกับรนหาที่เอง
แววตาเห็นใจ ยิ้มเย็นชา ดูถูก ขบคิด เยาะหยัน ราวตาข่ายใหญ่โตที่ปกคลุมไปทั่วร่างหลินสวิน
ภายใต้สายตาของผู้คนนับหมื่นนี้ หลินสวินมีสีหน้าเรียบเฉย ก้าวขึ้นลานประลองอย่างไม่เร็วไม่ช้าเกินไป
เงาร่างผอมบางสูงโปร่ง สวมชุดสีขาวพระจันทร์ ผมดำรวบไว้ที่หลังศีรษะอย่างลวกๆ ขณะเคลื่อนไหวมีกลิ่นอายสุขุมเยือกเย็นราวเยื้องย่างในสวนอย่างไรอย่างนั้น
ผู้คนส่วนใหญ่ในที่นั้นได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของหลินสวินเป็นครั้งแรก คิดว่าอีกฝ่ายแม้ยังเยาว์ แต่ท่าทางกลับเหนือธรรมดามาก จึงอดประหลาดใจไม่ได้
ทันใดนั้นก็เข้าใจได้ว่า นี่เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว ถ้าคู่ต่อสู้ของฮวาอู๋โยวต่างชั้นกันเกินไป เช่นนั้นแล้วการประลองครั้งนี้ก็คงไม่มีอะไรน่าดู
ยิ่งหลินสวินแสดงออกอย่างแข็งแกร่ง เมื่อต่อสู้กัน ถึงจะทำให้ทุกคนได้เห็นความสามารถในตัวฮวาอู๋โยว
แน่นอนว่าแม้คิดเช่นนี้ ผู้คนในลานประลองส่วนใหญ่ก็ยังไม่ยอมรับหลินสวินดังเดิม เพียงหวังไม่ให้เขาอ่อนแอเกินไป…
ในห้องรับรองห้องหนึ่ง สืออวี๋ หนิงเหมิง เย่เสี่ยวชี และกงหมิงรวมตัวกันที่นั่น ตามองการปรากฏตัวของหลินสวิน
“พูดตามจริง ข้าเป็นห่วงแทนเขาอยู่บ้างจริงๆ” สืออวี่ถอนหายใจยาว
“ข้าก็ด้วย” หนิงเหมิงกลับไม่คัดค้านอย่างเห็นได้ยากนัก สีหน้าหนักใจ “ผู้หญิงอย่างฮวาอู๋โยวแม้จะน่าชิงชัง แต่ความสามารถในการต่อสู้แข็งแกร่งนัก”
กงหมิงกับเย่เสี่ยวชีแม้ไม่เอ่ยปาก แต่สีหน้าของพวกเขาเหมือนกับสืออวี่และหนิงเหมิง เห็นได้ชัดว่าในใจก็กังวลแทนหลินสวิน
เวลานี้ชายชราผู้หนึ่งเดินเข้ามาในห้อง พูดเสียงเบาว่า “นายน้อย ไปสืบมาแน่ชัดแล้วขอรับ ตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงที่มาสังเวียนสวรรค์ยุทธ์ครั้งนี้ นอกจากตระกูลฉินกับหานสองตระกูลนี้แล้ว ตระกูลอื่นอีกห้าตระกูลล้วนมีคนใหญ่คนโตมาดูด้วยตนเองของรับ”
“นอกจากนี้ มีคนของตระกูลทรงอิทธิพลชั้นกลางกับชั้นล่างมาดูมากนัก สรุปจำนวนได้ยากขอรับ”
“ที่แน่ใจได้ก็คือพวกไป๋หลิงซี จ้าวหยินล้วนมากันหมด รวมถึงพวกคนเก่งกาจจากสำนักศึกษามฤคมรกตบางคนก็มาด้วย”
“เพราะผู้มีอำนาจที่มาดูการประลองครั้งนี้มีมากยิ่ง ร่องรอยยากติดตาม จึงทำให้แยกแยะได้ยากว่าพวกเขาถูกฮวาอู๋โยวดึงดูด หรือตั้งใจมาเพราะคุณชายหลินสวินขอรับ”
เมื่อฟังมาถึงตอนนี้ สืออวี่สีหน้าเรียบนิ่ง เขาคาดไว้ก่อนแล้วว่าจะได้รับคำตอบเช่นนี้ อย่างไรเสียผู้ฝึกปราณในสังเวียนสวรรค์ยุทธ์ก็มีมากนัก ลูกหลานตระกูลทรงอิทธิพลก็มีไม่น้อย จะแยกแยะจุดประสงค์ที่พวกเขามาที่นี่นั้น ย่อมเป็นเรื่องยากอย่างเห็นได้ชัด
ทว่าเมื่อชายชราพูดประโยคต่อมา กลับทำให้นัยน์ตาสืออวี่หดรัด
“ที่ควรค่าแก่การพูดถึงคือ ได้ยินว่าในราชวงศ์ก็มีสมาชิกชั้นสูงมาดูด้วยคนหนึ่งขอรับ!”
สืออวี่ใจสะท้าน ถึงกับดึงดูดความสนใจของราชวงศ์เลยหรือ
“ข้ารู้อยู่แล้วว่าเรื่องนี้ไม่ธรรมดาแน่!”
ดวงตาสืออวี่เปล่งประกาย “แค่การประลองของเด็กรุ่นเยาว์คู่หนึ่งเท่านั้น ต่อให้ครึกโครมแค่ไหน จะดึงดูดผู้มีอิทธิพลมามากมายขนาดนี้ได้อย่างไร เบื้องหลังของทั้งหมดนี้ต้องเกี่ยวข้องกับหลินสวินแน่!”
“พูดเช่นนี้ได้อย่างไร” หนิงเหมิงอดถามไม่ได้ เวลานี้ชายสูงวัยผู้นั้นจากไปอย่างเงียบเชียบ
“คนทั้งโลกล้วนนึกไปว่า หลินสวินมีเรื่องกับตระกูลซ่ง ตระกูลฮวาสองตระกูลนั้นภายในคืนเดียว คิดว่าเขาใจกล้าคับฟ้า ไม่รู้ดีชั่ว ความจริงที่พวกเขาไม่รู้ก็คือ ก่อนหลินสวินจะเข้ามาในนครต้องห้าม เขาก็ผูกแค้นกับตระกูลฉือไปแล้ว!”
ดวงตาของสืออวี่เคร่งขรึมลง “เดิมทีข้าก็แปลกใจอยู่ว่าหลังจากหลินสวินเข้ามาในนครต้องห้าม ทำไมจู่ๆ ตระกูลฉือก็ไม่ลงมือกับหลินสวินอีก แต่พอดูสถานการณ์ในวันนี้ก็รู้ว่า เบื้องหลังของทุกอย่างนี้ต้องเก็บงำเรื่องลับที่พวกเราไม่อาจรับรู้ไว้มาก”
“และเรื่องลับเหล่านี้ย่อมเกี่ยวข้องกับหลินสวิน ต่อให้ฮวาอู๋โยวคนนั้นจะโดดเด่นสะดุดตาอย่างไร แต่ก่อนหน้านี้ไม่เคยถูกจับตามองมากเช่นนี้!”
เมื่อได้ฟังการวิเคราะห์ของสืออวี่ หนิงเหมิง กงหมิงและเย่เสี่ยวชีก็ตกใจระคนสงสัยนัก เบื้องหลังการต่อสู้ครั้งนี้ จะยังมีคลื่นใต้น้ำที่มองไม่เห็นมากมายเพียงนี้ได้หรือ
…
บนลานประลองขณะนี้ เงาร่างหลินสวินหยุดอยู่ห่างไปจากฮวาอู๋โยวสิบจั้ง
“เจ้ากล้ารับคำท้าประลอง ทำให้ข้าประหลาดใจเสียจริง แต่ถ้าเจ้าไม่มา ที่จะเสื่อมเสียไม่จบสิ้นก็คงเป็นตัวเจ้าเองและทุกสิ่งที่เจ้าครอบครอง เมื่อมองจุดนี้ เจ้าถือว่าเลือกได้อย่างชาญฉลาดโดยไม่ต้องสงสัย” ฮวาอู๋โยวเอ่ยอย่างเรียบเฉย
ดวงตาเป็นประกายดั่งดวงดาวของนางเย็นเยียบราวคมดาบ ปล่อยรังสีเย็นชาไหลออกมา จ้องมองหลินสวินอยู่ไกลๆ เผยให้เห็นพลังคุกคามน่าเกรงกลัว
ถ้าเปลี่ยนเป็นผู้ฝึกปราณคนอื่น น่ากลัวว่าพอถูกนางกวาดสายตาใส่ก็คงตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ ความตั้งใจต่อสู้มลายสิ้น
แต่หลินสวินกลับเหมือนไม่ได้รับผลกระทบใดๆ พูดขึ้นว่า “ที่เจ้านัดประลองที่นี่ ก็เพื่อมาพูดจาไร้สาระเช่นนี้หรือ”
นี่แสดงให้เห็นว่าไม่เกรงใจ
ผู้ฝึกปราณที่ประสาทหูตาเฉียบคมเมื่อได้ยินเข้าก็อดอึ้งไปไม่ได้ หลินสวินผู้นี้คิดจะรีบตายหรือไงนะ ถึงได้กล้าเอ่ยวาจาเช่นนี้ออกมา หรือไม่กลัวว่าจะยั่วให้ฮวาอู๋โยวโมโห จนกำจัดเขาทิ้งให้สิ้นซากเสีย
เวลานี้เสียงเซ็งแซ่ในลานประลองพลันแผ่วลง เปลี่ยนไปเป็นเงียบเชียบ ทุกคนล้วนจับจ้องทุกอิริยาบถของหลินสวินและฮวาอู๋โยว
ทว่าฮวาอู๋โยวกลับไม่เปลี่ยนสีหน้า เอ่ยปากอย่างเย็นชาว่า “ดูออกว่าเจ้าเตรียมใจพร้อมตายแล้ว นี่พิสูจน์ว่าเจ้าไม่ได้โง่เขลา ที่จริงแล้วครั้งนี้ข้าก็ไม่คิดให้เจ้ารอดออกไปจากที่นี่ได้”
ประโยคเดียวก็ทำให้ผู้คนทั้งลานประลองสูดหายใจเย็นเยียบ โหดเหี้ยมยิ่งนัก ฮวาอู๋โยวกล้าพูดเช่นนี้ ย่อมกล้าทำแน่นอน!
พวกสืออวี่ หนิงเหมิงสะท้านในใจ สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ถ้าฮวาอู๋โยวคิดจะฆ่าหลินสวิน นี่เป็นเรื่องยุ่งยากเสียแล้ว!
ส่วนหลินเทียนหลง หลินเนี่ยนซาน หลินผิงตู้ที่อยู่ในห้องรับรองอีกหลังหนึ่งสีหน้าล้วนขรึมขึ้น พวกเขาไม่ได้หวังให้หลินสวินถูกฆ่า นี่ย่อมส่งผลเสียต่อการแย่งชิงภูเขาชำระจิตของพวกเขาแน่
เพราะหากหลินสวินตายแล้ว สิทธิ์ควบคุมภูเขาชำระจิตจะถูกราชวงศ์ยึดกลับไป ถึงเวลานั้นตระกูลรองอย่างพวกเขาก็อย่าได้หวังจะได้กลับไปที่ภูเขาชำระจิตอีกเลย
“ดังนั้น การประลองครั้งนี้จะเป็นการต่อสู้ชี้เป็นชี้ตาย ไม่เจ้าตาย ก็เป็นข้าเองที่ตาย”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์