โดยรอบๆ ห้องโถงมีเก้าอี้วางเรียงอยู่ ส่วนตำแหน่งตรงกลางนั้นกลับมีเวทีหยกดำรัศมีประมาณร้อยจั้ง
บนเวทีหยกดำมีแท่นหินเก้าแท่นเรียงรายอยู่
ทุกแท่นล้วนสูงราวสิบจั้ง มีรอยด่างพร้อยทั้งผืน เต็มไปด้วยร่องรอยแห่งวันเวลาราวกับตั้งตระหง่านน่าเกรงขามตั้งแต่บรรพกาลมาถึงปัจจุบัน
ที่นี่ก็คือโถงทดสอบระดับปรมาจารย์!
เวทีหยกดำแห่งนั้นมีนามว่า ‘เวทีประตูมังกร’ แท่นหินเก่าแก่เก้าแผ่นที่อยู่บนเวทีก็คือ ‘เก้าศิลาประตูมังกร’ ที่มีชื่อเสียงระบือใต้หล้า พาให้นักสลักรอยสลักวิญญาณนับไม่ถ้วนเคารพบูชาอย่างบ้าคลั่ง!
ยามข้ารับใช้นำทางหลินสวินมาถึงที่นี่ ที่นั่งในห้องโถงก็มีเงาร่างมากมายแน่นขนัดนั่งอยู่ก่อนแล้ว
เงาร่างเหล่านี้ถ้าไม่เป็นคนวัยกลางคนท่าทางไม่ธรรมดา สีหน้าเคร่งขรึมน่าเกรงขาม ก็เป็นผู้ชราผมหงอกขาว
เมื่อเทียบกันแล้วคนรุ่นหนุ่มมีน้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด ส่วนเด็กหนุ่มอย่างหลินสวินยิ่งน้อยลงไปอีก กวาดมองไปทั้งสี่ทิศล้วนหาเจอเพียงไม่กี่คน
“คุณชาย เชิญรอตรงนี้ก่อนขอรับ เมื่อการรับรองเริ่มขึ้นท่านเพียงต้องปฏิบัติตามกติกา ไปยังเวทีประตูมังกรเพื่อดำเนินการทดสอบก็เรียบร้อยแล้วขอรับ”
ข้ารับใช้อธิบายเสียงค่อยแล้วรีบร้อนจากไป
หลินสวินหาที่นั่งตามใจแล้วนั่งลง ดวงตามองไปยังเวทีประตูมังกรที่อยู่ตรงกลางโถง
ก่อนมาที่นี่เขาได้รับรู้มาแล้วว่า ถ้าต้องการรับรองฐานะปรมาจารย์สลักวิญญาณ ก็ต้องผ่านการทดสอบ ‘เก้าศิลาประตูมังกร’
คนนอกไม่สามารถแทรกแซงระหว่างทดสอบ ดังนั้นจึงรับประกันความยุติธรรมในการทดสอบได้
แน่นอนว่าหากพลังของนักสลักวิญญาณไม่เพียงพอ ก็ย่อมไม่สามารถอาศัยการทุจริตผ่านการทดสอบได้ นี่เป็นการตัดปัญหาไม่ให้มีกรณีผู้ไร้ความสามารถเข้ามาปะปนกับผู้มีความสามารถเกิดขึ้น
กล่าวได้ว่านักสลักวิญญาณที่ผ่านการทดสอบเก้าศิลาประตูมังกร ย่อมเป็นผู้เก่งกาจมีเกียรติสมความสามารถ ไม่มีคนธรรมดาเลยสักคน
ทว่าคิดจะผ่านการทดสอบไม่ใช่เรื่องง่ายดายเช่นนั้น
ฉับพลันเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ดังไกลออกไปก็ดึงดูดความสนใจของหลินสวิน
“ได้ยินว่าวันนี้ขนาดท่านผู้อาวุโสเฉิงจิ่งปรมาจารย์สลักวิญญาณชั้นสูงจากสำนักศึกษาเซียนช่างฝีมือ ผู้อาวุโสเสิ่นทั่วหัวหน้าปรมาจารย์สลักวิญญาณแห่งเรือนสลักวิญญาณสำนักศึกษามฤคมรกต รวมถึงคนสำคัญที่ครอบครองความรู้ลึกล้ำเหนือธรรมดาในศาสตร์สลักรอยวิญญาณ ตอนนี้ล้วนมาถึงภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณแล้ว”
“เหอะๆ มีเพียงคนที่น่าตื่นตาตื่นใจอย่างไห่ตงถึงดึงดูดคนสำคัญมากมายขนาดนี้ภายในเวลาอันสั้นได้”
“ใช่ เจ้าเด็กไห่ตงคนนี้หมกมุ่นอยู่กับศาสตร์การสลักวิญญาณมาสิบกว่าปีแล้ว ครั้งนี้น่าจะผ่านการทดสอบเก้าศิลาประตูมังกรได้โดยราบรื่น!”
ฝูงชนแลกเปลี่ยนความเห็น ถ้อยคำล้วนมีแต่ความชื่นชม ดวงตามองไปยังเด็กหนุ่มในชุดดำท่าทางโดดเด่น คิ้วทั้งสองราวหมึก ดวงตาเปล่งประกาย รูปลักษณ์หล่อเหลามีสง่ายิ่งนัก
เมื่อเผชิญหน้ากับคำชมของผู้คน เขาระบายยิ้มกุมมือคารวะแล้วพูดว่า “ผู้อาวุโสทุกท่านยอข้าเกินไปแล้ว ข้าฉู่ไห่ตงมาถึงวันนี้ได้ ก็เพราะได้ผู้อาวุโสทุกท่านตั้งใจอบรมบ่มเพาะขอรับ”
“โถ ไห่ตงถ่อมตัวไปแล้ว”
“นั่นสิ ที่พวกข้ามาคราวนี้ก็เพื่อมาส่งแรงใจให้เจ้า ต้องแสดงฝีมือให้ดีนะ”
ชายชราและคนวัยกลางคนเหล่านั้นล้วนเอ่ยปาก ถ้อยคำมีแต่ให้กำลังใจและชื่นชม
ตระกูลฉู่?
หลินสวินอึ้งไป ในนครต้องห้ามมีตระกูลนักสลักวิญญาณใหญ่อยู่สามตระกูล ได้แก่ตระกูลฉู่ ตระกูลเฟิงและตระกูลโม่
เด็กหนุ่มนามฉู่ไห่ตงผู้นั้น ในเมื่อกล้ามารับรองฐานะปรมาจารย์สลักวิญญาณ เกรงว่าคงจะมาจากตระกูลฉู่ที่เป็นหนึ่งในสามตระกูลใหญ่นักสลักวิญญาณ
นี่ทำให้หลินสวินพลันนึกถึงฉู่เฟิงที่อยู่ในเมืองหมอกอำพราง ฉู่เฟิงก็มาจากตระกูลฉู่เช่นกัน แต่เพราะความวุ่นวายบางอย่างทำให้เขาถูกขับออกจากตระกูลฉู่ ต้องหลบหนีมาอยู่ในเมืองหมอกอำพราง
คิดถึงตรงนี้หลินสวินก็ใจเต้น ตอนนี้เขายังไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดฉู่เฟิงจึงถูกขับออกมากันแน่ ถ้ามีโอกาสเขาก็อยากไปสืบดูเรื่องราวเกี่ยวกับฉู่เฟิง
แต่ตอนนี้หลินสวินยังไม่คิดจะทำเช่นนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเหตุวุ่นวายที่ไม่จำเป็น
ในเวลาต่อมา จากการสังเกตของหลินสวินก็พอจะประเมินฐานะของคนอื่นๆ ที่อยู่ในโถงได้
ที่ทำให้หลินสวินแปลกใจก็คือ บรรดาผู้คนเหล่านี้มีเพียงสี่ห้าคนที่จะทดสอบการรับรองฐานะปรมาจารย์ในวันนี้ ซึ่งในกลุ่มนี้ก็รวมฉู่ไห่ตงเข้าไปด้วย
ส่วนคนอื่นนั้นเป็นนักสลักวิญญาณแทบทุกคน ถ้าไม่ใช่มาสังเกตการณ์เพื่อเรียนรู้ ก็มาให้กำลังใจผู้ที่เข้าร่วมการทดสอบอย่างพวกฉู่ไห่ตง
อย่างชายชราและคนวัยกลางคนที่อยู่ข้างฉู่ไห่ตงราวสิบกว่าคนนั้น ล้วนมาจากตระกูลฉู่ ทุกคนต่างเป็นนักสลักวิญญาณ นั่งอยู่ตรงนั้นดูดึงดูดสายตานัก
จากจุดนี้ก็ทำให้ดูออกว่าในฐานะที่เป็นหนึ่งในสามตระกูลใหญ่นักสลักวิญญาณ ภูมิหลังของตระกูลฉู่ในศาสตร์สลักรอยวิญญาณนั้นยิ่งใหญ่ปานใด
“เอ๋ หลินสวิน!?”
ทันใดนั้นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากที่ไกลออกไป เจือด้วยความประหลาดใจ
หลินสวินชะงักไปก่อนหเงยหน้าขึ้นมอง ก็พบว่าในที่นั่งที่ไม่ไกลมากนักมีบุรุษแปลกหน้าชุดเหลืองผู้หนึ่งมองมาทางตนด้วยสีหน้าตะลึง
หลินสวิน?
ผู้คนมากมายชำเลืองมองด้วยถูกเสียงนี้ดึงดูด
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่ คงไม่ได้…มาเข้าร่วมทดสอบรับรองฐานะปรมาจารย์สลักวิญญาณด้วยใช่ไหม”
บุรุษชุดเหลือนผู้นั้นตื่นตระหนก เสียงก็ดังนัก พาให้คนอื่นไม่อาจไม่สนใจได้
ไม่ทันที่หลินสวินจะได้เอ่ยปากก็มีคนชิงพูดขึ้นก่อนว่า “พี่ชาย ที่เจ้าพูดนี่หลินสวินคนไหน”
“ยังจะมีใครเล่า ก็หลินสวินที่เพิ่งกำราบฮวาอู๋โยว หลินสวินที่ชื่อเสียงสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั้งนครต้องห้ามคนนั้นอย่างไรเล่า”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์