คนตระกูลฉู่ต่างยิ้มอย่างเย็นเยียบ รอดูความอับอายของหลินสวิน
ส่วนนักสลักวิญญาณคนอื่นๆ บ้างก็ดูเห็นใจ บ้างก็ขมวดคิ้ว
แม้กระทั่งเหล่าผู้มีชื่อเสียงภายในโถงใหญ่อีกแห่ง ขณะนี้ต่างก็มองด้วยความไม่ใส่ใจไม่มากก็น้อย
และในเวลาเดียวกันนั้น หลินสวินเพียงรู้สึกว่าพลังลึกลับนั้นปกคลุมทั่วร่างกายของตน จิตวิญญาณรู้สึกวูบไหวอย่างรุนแรง
ระหว่างนั้นราวกับได้เข้าไปอยู่ในแดนฮุ่นตุ้น ดินแดนโบราณเมื่อครั้งบรรพกาลอย่างไรอย่างนั้น ทุกที่ล้วนเป็นหมอกเทา มีเพียงศิลาหนึ่งหลักตั้งตระหง่านอยู่
ด้านบนยันฟ้า ด้านล่างจรดดิน!
สังเกตดูอย่างละเอียดแล้วจะเห็นว่าหลักศิลานั้นสูงราวกับไม่มีที่สิ้นสุด ดำสนิททั่วทั้งหลัก ประหนึ่งสะพานแห่งสวรรค์
บนตัวศิลาสลักรอยสลักวิญญาณแปลกประหลาด หงิกงอราวกับไส้เดือน เบียดแน่นเต็มพื้นผิวของศิลาราวกับดวงดาราที่ประดับเต็มฟ้า ส่องสะท้อนประกายแสงอันลึกลับ
เมื่อมองไปก็ราวกับมองเห็นร่องรอยแห่งมหามรรคมากมายวิ่งเวียนอยู่บนผิวศิลา ทำให้รู้สึกยิ่งใหญ่และชวนตื่นตะลึงอย่างบอกไม่ถูก
หลินสวินรู้ทันทีว่านี่ก็คือรอยสลักพิสดารที่ซ่อนอยู่ในศิลาหินประตูมังกร!
เพียงแต่เขากลับคิดไม่ถึงว่าจะได้เห็นด้วยวิธีอันมหัศจรรย์เพียงนี้ ราวกับได้เข้าสู่มิติเก่าแก่อันลึกลับ เหมือนได้กลับไปอยู่ในอดีต
หลินสวินสูดหายใจเข้าลึก สลัดความคิดในหัว เขาเริ่มสงบจิตสงบใจพยายามสังเกตรอยสลักพิสดารแน่นขนัดที่ปรากฏบนศิลา
เพียงพริบตาเท่านั้นเขาก็พบว่าวงโคจรของรอยสลักวิญญาณนับไม่ถ้วนที่อยู่ในนั้น พวกมันล้วนแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง สลับพันซับซ้อน
สำหรับนักสลักวิญญาณคนหนึ่ง การจะหยั่งถึงและเรียนรู้รอยสลักวิญญาณหนึ่งแบบได้อย่างสมบูรณ์ ถือเป็นเรื่องยากลำบากมากจริงๆ
แม้แต่หลินสวินก็ยังอดขมวดคิ้วน้อยๆ ไม่ได้ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นวิธีทดสอบที่พิเศษถึงเพียงนี้
แต่ไม่นานเขาก็ดื่มด่ำอยู่กับมัน
ในศาสตร์การสลักวิญญาณ เขามีความรอบรู้เหนือกว่าคนธรรมดา เริ่มซึมซับรับรู้มาตั้งแต่เด็ก ย่อมไม่ถูกการทดสอบตรงหน้าหยุดยั้ง
เพียงครู่เดียวหลินสวินก็หยั่งถึงรอยสลักวิญญาณหนึ่งลายท่ามกลางรอยสลักพิสดารแน่นขนัด
แทบจะในเวลาเดียวกัน รอยสลักวิญญาณที่เขาหยั่งถึงในหัวก็ปรากฏขึ้นบนพื้นศิลาพร้อมด้วยแสงสีทองระยิบระยับ
จู่ๆ หลินสวินก็ตระหนักได้ว่า ขอเพียงเขาพยักหน้า รอยสลักวิญญาณนี้ก็จะกลายเป็นคะแนนในการทดสอบของเขาและปรากฏสู่แท่นประตูมังกร
ในขณะที่หลินสวินเตรียมจะทำแบบนี้ จู่ๆ เขากลับมุ่นคิ้ว
ไม่ถูกต้อง!
ไม่น่าจะง่ายขนาดนี้
หลินสวินคิดๆ แล้วไม่ได้เร่งรีบพยักหน้า แต่รวบรวมสมาธิกลับมาที่รอยสลักพิสดารบนศิลาอีกครั้ง
ไม่นานเขาก็สังเกตถึงความแตกต่าง และหยั่งถึงรอยสลักวิญญาณที่สมบูรณ์อีกหนึ่งลาย อีกทั้งรอยสลักวิญญาณนี้ยังเป็นรอยสลักที่สอดรับกับรอยสลักแรกอย่างสมบูรณ์ กลายเป็นรอยสลักวิญญาณลายใหม่…
ไม่สิ ควรเรียกว่าเป็นกระบวนรอยสลักวิญญาณ!
ทว่าหลินสวินค้นพบอย่างรวดเร็วว่า แม้จะกลายเป็นกระบวนรอยสลักวิญญาณที่ดูเหมือนสมบูรณ์แบบ แต่เขากลับรู้สึกว่ามันไม่ควรจะง่ายขนาดนี้ ราวกับว่ากระบวนรอยสลักวิญญาณนี้ยังต้องเติมรอยสลักอีกมาก จึงจะเปลี่ยนเป็นยิ่งใหญ่และแน่นขนัด
เขาลองอ่านและสังเกตอย่างละเอียดอีกครั้ง
ซึ่งก็ตามคาด ไม่นานหลินสวินก็มีการค้นพบใหม่ที่ยืนยันว่าความคิดก่อนหน้านี้ของเขาถูกต้อง!
กระบวนรอยสลักวิญญาณนี้ยังสามารถเสริมรอยสลักวิญญาณเข้าไปได้อีก
‘ดูท่าวงโคจรรอยสลักวิญญาณนับไม่ถ้วนบนศิลาหลักที่หนึ่งนี้ ดูแล้วเหมือนแตกต่างกัน แต่สิ่งที่น่ามหัศจรรย์คือ พวกมันไม่ใช่แค่รอยสลักวิญญาณอันสมบูรณ์แบบ แต่ทุกรอยสลักขอเพียงประกอบเข้าด้วยกันอย่างพิเศษก็จะสามารถหลอมรวมเป็นหนึ่ง ผสมกันอยู่ในกระบวนรอยสลักวิญญาณอันสมบูรณ์แบบ…’
‘ก็เหมือนกับลำดับขีดในการเขียนตัวอักษร แม้ลำดับขีดมาก แต่กลับสามารถรวมกันเป็น ‘อักษร’ ที่แตกต่างกัน และ ‘อักษร’ เหล่านั้นแม้ดูสับสนไม่เป็นระเบียบ แต่ถ้าเอามาประกอบเข้าด้วยกันตามลำดับก็สามารถเป็น ‘คำศัพท์’ หรือ ‘ประโยค’ …จนกระทั่งกลายเป็น ‘บทความ’ อันสวยงามได้!’
ความคิดของหลินสวินค่อยๆ กระจ่างขึ้นมา เกิดความตระหนักรู้อย่างชัดแจ้ง และดื่มด่ำอยู่ท่ามกลางเขตแดนของการหยั่งถึงรอยสลักพิสดาร จนลืมไปว่าตอนนี้เขากำลังเข้ารับการทดสอบอยู่
……
เวลาผ่านเลยไปเรื่อยๆ
บนแท่นประตูมังกร ศิลาหลักแรกยังคงเงียบเชียบไร้ความเคลื่อนไหว
สีหน้าของทุกคนต่างเปลี่ยนเป็นแปลกประหลาดอย่างเก็บไม่อยู่ หลินสวินเขา…คงไม่ล้มเหลวตั้งแต่ด่านแรกหรอกนะ
นี่มันน่าอนาถเกินไปแล้ว!
หลายคนอดลอบถอนหายใจไม่ได้ หลินสวินคนนี้เหตุใดต้องหาเรื่องด้วย เป็นเพียงนักสลักวิญญาณชั้นต้นเท่านั้น ไม่ใช่ชั้นกลางหรือชั้นสูงด้วยซ้ำ กลับเพ้อฝันคิดจะมารับรองคุณสมบัติความเป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณ แบบนี้มันหาเรื่องใส่ตัว สร้างเรื่องขายหน้าให้ตัวเองชัดๆ ไม่ใช่หรือ
ไม่รู้จักประเมินความสามารถตัวเองเกินไปแล้ว!
“ฮ่าๆ เวลาหนึ่งถ้วยชากำลังจะผ่านไปแล้ว เจ้าเด็กนี่กลับยังไม่สามารถหยั่งถึงรอยสลักวิญญาณอันสมบูรณ์แบบได้เลยแม้แต่ลายเดียว ช่างน่าตลกนัก”
คนตระกูลฉู่คนหนึ่งหัวเราะลั่นอย่างกลั้นไม่อยู่
“ฮ่าๆ ก่อนหน้านี้เขายังทำอวดดีอยู่เลยไม่ใช่หรือ แต่ตอนนี้ เห็นจะไม่ผ่านตั้งแต่ด่านแรกแล้ว ขายหน้า ขายหน้ายิ่งนัก!”
“เดี๋ยวหลังจากเขาล้มเหลวแล้ว ข้าจะเยาะเย้ยเขาให้หนัก แก้แค้นแทนไห่ตงให้สาสม”
“ไม่เพียงแค่สร้างความอัปยศให้เขา แต่ต้องให้คนทั้งนครต้องห้ามรู้ ทำให้เขาหลินสวินกลายเป็นตัวตลกสำหรับคนใต้หล้านับแต่นี้ไป จนไม่สามารถสู้หน้าใครได้!”
“ยังจะเพ้อพกคิดเทียบเคียงคุณชายไห่ตง ตลกนัก!”
คนอื่นๆ ในตระกูลฉู่ต่างหัวเราะเสียงเย็นไปตามๆ กัน
โดยเฉพาะฉู่อวิ๋นคงที่กำหมัดสองข้างแน่นอย่างตื่นเต้น ราวกับว่าได้เห็นภาพยามหลินสวินล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ชื่อเสียงพังทลายแล้วก็ไม่ปาน
และฉู่ไห่ตงก็มีท่าทางเช่นเดียวกัน
รอถึงเวลาที่หลินสวินล้มเหลว ไม่จำเป็นต้องให้เขาพูดอะไรด้วยซ้ำ ก็สามารถทำให้ทุกคนก็รู้ชัดว่า ระหว่างเขากับหลินสวินใครกันแน่ที่เบาปัญญาไม่รู้ความ และใครกันแน่ที่เป็น…ไอ้โง่!
“เจ้าหลินสวินนี่…ไม่รู้ควรพูดว่าอย่างไรแล้ว บ้าระห่ำก็ส่วนบ้าระห่ำ แต่อวดดีจนไม่ประสีประสาแบบนี้ช่างดูโง่งมชัดแจ้ง”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์