Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ นิยาย บท 395

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 395 เพลงกลอนบทใหม่เพื่อใครกันเล่า
ตอนที่ 395 เพลงกลอนบทใหม่เพื่อใครกันเล่า
โดย
ProjectZyphon
ฟ้ายังไม่สว่างดี หลิ่วชิงเยียนก็มาถึงหอเมฆทะยานแล้ว

หลิ่วชิงเยียนนั่งอยู่ตรงที่นั่งข้างหน้าต่างบนชั้นสาม จิบน้ำชาคำเล็กๆ พลางทอดสายตามองนอกหน้าต่างไปด้วย

ท้องถนนในช่วงเช้าตรู่เงียบสงบ ไอหมอกลอยคลุ้ง ดอกไม้ริมทางตรงมุมถนนโยกย้ายไปตามสายลม

ช่วงนี้หลิ่วชิงเยียนปิดด่านเก็บตัวมาโดยตลอด ด้วยกำลังแต่งเพลงบทใหม่

เพราะอีกไม่นานก็จะถึงวันเฉลิมพระชนมพรรษาของจักรพรรดินีแล้ว

หลิ่วชิงเยียนถูกเชิญให้ไปบรรเลงเพลงแด่จักรพรรดินี ซึ่งเพลงที่ว่านี้ก็แต่งขึ้นเพื่อการนี้โดยเฉพาะ และเพิ่งแล้วเสร็จเมื่อวานนี้

แต่ที่น่าเสียดายก็คือ แม้จะมีทำนองแล้วแต่ยังไม่มีคำร้อง หลิ่วชิงเยียนจึงมาที่หอเมฆทะยานตั้งแต่เช้าตรู่

นางได้นัดหมายปฐมาจารย์ผู้ประสบความสำเร็จศาสตร์การแต่งเนื้อเพลงอย่างสูงสุดผู้หนึ่ง เพื่อแต่งเนื้อเพลงใหม่ให้กับตน

ไม่นาน ชายชราที่สวมชุดตัวเก่าย้วยก็วิ่งขึ้นหอมา พอเห็นหลิ่วชิงเยียนที่รออยู่ก่อนแล้วเขาพลันหัวเราะแห้งๆ อดถอนหายใจไม่ได้

ชายชราผู้นี้เผ้าผมยุ่งเหยิง กลางหว่างคิ้วเผยความเหนื่อยล้าอย่างเก็บไม่อยู่ สายตายังเต็มไปด้วยเส้นเลือด ท่าทางดูอ่อนแรง

เขาชื่อซูซานสือ เป็นปฐมาจารย์ด้านการแต่งเนื้อเพลง เคยเขียนเพลงอันเป็นที่นิยมชมชอบของมวลชนมามากมาย ทั้งไพเราะเสนาะหู เป็นที่สรรเสริญและชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วหล้า ถูกขนานนามว่า ‘อาจารย์ซู’

“เฮ้อ ตาเฒ่าอย่างข้าผิดไปแล้ว ในเวลาหนึ่งคืนไม่อาจเขียนเพลงออกมาได้แม้แต่อักษรเดียว ทำให้คุณหนูเยียนต้องผิดหวังแล้ว”

อาจารย์ซูถอนหายใจ

หลิ่วชิงเยียนเชิญเขานั่ง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ท่านอาจารย์ไม่ต้องรู้สึกผิด ชิงเยียนใจร้อนเกินไปเอง”

อาจารย์ซูส่ายหน้า “หามิได้ ข้าสมองไม่แล่นพบเจอทางตัน เหมือนดั่งคำที่ว่าผลงานสร้างสรรค์นั้นมาจากแรงบันดาลใจชั่วขณะ ข้าเร่งรีบอยากให้แล้วเสร็จ สุดท้ายจึงพลาดพลั้ง”

หลิ่วชิงเยียนเองก็จนปัญญา แต่กลับยิ้มปลอบประโลมอาจารย์ซูอย่างอ่อนโยน

“ต้องบอกว่าท่วงทำนองเพลงใหม่ที่คุณหนูเยียนประพันธ์ขึ้นในครั้งนี้ลึกซึ้งสุดจะหยั่ง ทำนองฮึมเหิมเด่นชัดเป็นเอกลักษณ์ หากดูในเชิงศิลปะยิ่งงดงามห้าวหาญ ไม่ด้อยไปกว่าบทเพลง ‘แดงทั่วธาร’ ที่หนิงปู้กุยราชันแห่งเลือดเหล็กประพันธ์ขึ้นเลยสักนิด”

สีหน้าของอาจารย์ซูเจืออาการประหลาด พูดอย่างสลดใจ “จนข้ารู้สึกว่าคำธรรมดาใดๆ บนโลกล้วนไม่เหมาะสมกับทำนองเพลงระดับนี้”

“ท่านชมเกินไปแล้ว”

หลิ่วชิงเยียนยิ้มอย่างถ่อมตัว

ทั้งสองคุยกันอยู่นาน ก่อนจะนัดหมายกันว่า หลังจากอาจารย์ซูแต่งเนื้อเพลงเสร็จแล้วจะกลับมาพบกันที่นี่อีกครั้ง

หลังจากนั้นหลิ่วชิงเยียนเตรียมจะกลับ

แต่ขณะนั้นเอง ชั้นล่างของหอเมฆทะยานกลับมีเสียงฮือฮาดังขึ้น

“แสงทองทะยานฟ้า! เสียงร้องแห่งเก้ามังกร! นับแต่นี้นครต้องห้ามของเราก็มีปรมาจารย์สลักวิญญาณวัยเยาว์ที่เก่งกาจกว่าเฟิงชิงโยวเพิ่มมาอีกคนแล้ว! เขาก็คือหลินสวินแห่งภูเขาชำระจิตนั่นเอง!”

“หลินสวินอัจฉริยะเกินไปหรือเปล่า อายุเพียงเท่านี้ก็ได้เป็นถึงปรมาจารย์สลักวิญญาณแล้ว”

“ไม่ใช่แค่ปรมาจารย์นักสสักวิญญาณเท่านั้น เมื่อครู่นี้ที่จอภาพวิญญาณได้รายงานข่าวที่เชื่อถือได้ว่า เมื่อวานระหว่างที่หลินสวินกำลังเข้ารับการทดสอบที่ภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณ ด้วยผลการทดสอบที่สมบูรณ์แบบเกินไป สุดท้ายได้ชักนำให้เกิดปรากฏการณ์เสียงร้องแห่งเก้ามังกรในตำนานจนสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งนครต้องห้าม!”

“โอ๊ะ จริงหรือนี่”

“ตกข่าวหรือเปล่า ข่าวนี้ได้แพร่ออกไปอย่างดุเดือดแล้ว!”

“ไป รีบไปดูที่จอภาพวิญญาณกันเถอะ!”

เสียงฮือฮาต่างๆ นานาดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำลายความเงียบในยามเช้าครู่ให้คึกคักหาใดเปรียบ

หลิ่วชิงเยียนตะลึงงัน หลินสวิน? ปรมาจารย์สลักวิญญาณ? ปรากฏการณ์เสียงร้องแห่งเก้ามังกร?

เงาร่างสูงโปร่ง สายตาลุ่มลึกสุกใส มุมปากที่แฝงรอยยิ้มบางๆ ดูอ่อนโยนไม่มีพิษมีภัยพลันผุดขึ้นในหัวนาง

หรือจะเป็นเขา?

ยังไม่ทันที่หลิ่วชิงเยียนจะแสดงปฏิกิริยาอันใด ในบริเวณที่ไกลออกไปก็เริ่มมีเสียงฮือฮาและวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้นเป็นระลอกๆ

เห็นเพียงว่าผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาอยู่บนท้องถนนต่างถกเรื่องที่หลินสวินกลายเป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณกันอย่างตะลึง ประหลาดใจและตื่นเต้น

ทั้งแสงทองทะยานฟ้า ทั้งเสียงร้องแห่งเก้ามังกร ทำลายสถิติ สร้างตำนานอะไรต่อมิอะไร…ล้วนถูกเล่าขานออกมาจนเห็นภาพ

กระทั่งเรื่องที่ฉู่ไห่ตงหาเรื่องใส่ตัวและกระอักเลือดจนหมดสติก็ยังปูดออกมาด้วย กลายเป็นหนึ่งในเรื่องที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์

ส่วนเรื่องที่หลินสวินถูกภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณ สำนักศึกษาเซียนช่างฝีมือแห่งจักรวรรดิและสำนักศึกษามฤคมรกตแย่งชิงกัน ก็กลายเป็นข้อวิจารณ์อันน่าอิจฉาและตื่นตะลึง

หลิ่วชิงเยียนยืนอึ้งตะลึงยามได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์อันเร่าร้อนเหล่านั้น

ช่วงที่ผ่านมานี้นางเก็บตัวมาโดยตลอด ย่อมไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มที่ซ่อมขลุ่ยวิญญาณโบราณให้ตนที่เมืองหมอกอำพรางผู้นั้น ขณะนี้ชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วนครต้องห้ามแล้ว!

นี่ทำให้หลิ่วชิงเยียนอดสงสัยไม่ได้ว่าใช่หลินสวินคนที่นางรู้จักหรือไม่

ใช่เขาจริงๆ หรือ

หลิ่วชิงเยียนใจลอย

ปัง!

ทันใดนั้นเสียงกังวานเสียงหนึ่งก็เรียกสติหลิ่วชิงเยียนกลับมา

เห็นเพียงว่าสีหน้าของอาจารย์ซูเผยความตื่นเต้นอย่างที่สุด ตบฝ่ามือลงบนโต๊ะ ดวงตาทอประกายวาววับ

“เด็กหนุ่มคนนี้เป็นความภาคภูมิใจของจักรวรรดิ! จู่ๆ ข้านึกเนื้อเพลงใหม่ให้คุณหนูชิงเยียนออกแล้ว!”

พูดพลางใช้นิ้วจุ่มลงในน้ำชาแล้วขีดเขียนบนผิวโต๊ะอย่างไม่สนสิ่งใด

หลิ่วชิงเยียนอดดีใจไม่ได้ คิดไม่ถึงเลยว่าอาจารย์ซูจะเกิดแรงบันดาลใจขึ้นตอนนี้ ช่างเป็นความน่ายินดีที่เหนือความคาดหมายเหลือเกิน

นางเงยหน้ามองไป เนื้อเพลงหนึ่งก็ออกมาจากปลายนิ้วของอาจารย์ซูจนแล้วเสร็จ!

ตะวันแดงแรกทะยาน ลำแสงหาญสาดเรืองรอง

ธาราธารโคจรคล่อง ไหลเวียนว่องมโหฬาร

มังกรซ่อนทะยานห้อ กรงเล็บล้อระบำหาญ

พยัคฆ์น้อยร้องคำราม ล้วนครั่นคร้ามร้อยชีวิน

อินทรีแรกโผผิน ธุลีดินละล่องลอย

บุปผาผลิเคลื่อนคล้อย งามหยดย้อยละลานตา!

เหนือศีรษะจรดฟ้า ใต้บาทาจรดดิน

มากเรื่องราวให้ผ่านผิน ทะลวงถิ่นอันกว้างไกล

อนาคตราวห้วงสมุทร ไพศาลดุจไร้เขตเอย

งามงดนัก จักรวรรดิวัยเยาว์แห่งข้า เยาว์วัยไม่แก่เฒ่าดุจท้องนภา!

ห้าวหาญนัก จักรวรรดิวัยเยาว์แห่งข้า หาญกล้ายิ่งยงดุจผืนปฐพี!

หลิ่วชิงเยียนเผลออ่านออกเสียงโดยไม่รู้ตัว รู้สึกเพียงว่าแต่ละตัวอักษรล้วนราวกับฟ้าผ่า สะเทือนไปจนถึงจิตวิญญาณ แฝงพลังอันแข็งแกร่งยิ่งใหญ่ ปลุกเร้าอารมณ์ให้ฮึมเหิมได้เป็นอย่างดี เพียงอ่านก็ให้ความรู้สึกกระตือรือร้นและสั่นสะเทือนอย่างบอกไม่ถูก

“เนื้อดี!”

หลิ่วชิงเยียนเอ่ยชมด้วยความดีใจอย่างหาที่สุดไม่ได้ เนื้อเพลงนี้ เมื่อจับคู่กับทำนองที่ตนแต่งไว้จะต้องเข้ากันได้เป็นอย่างดีแน่นอน

“ฮ่าๆๆ หากไม่ใช่เพราะบังเอิญได้ยินเรื่องราวของหลินสวินผู้นั้น ข้าก็ยากจะมีแรงบันดาลใจในการเขียนเนื้อได้ขนาดนี้”

อาจารย์ซูเองก็หัวเราะลั่น พลันกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา

“คิดไม่ถึงว่าคราวนี้จะได้พึ่งบารมีของเจ้าหมอนั่น…”

มุมปากของหลิ่วชิงเยียนเผยรัศมีโค้งแปลกประหลาด

หลังออกจากหอเมฆทะยาน หลิ่วชิงเยียนไม่ได้ตรงกลับเรือนพัก แต่นั่งเกี้ยวสมบัติเที่ยวชมเมืองก่อน

ระหว่างทาง ไม่ว่าไปถึงไหน ล้วนมีแต่คนพูดถึงชื่อหลินสวินอยู่ทุกแห่งหน!

ราวกับว่าชื่อนี้มีพลังอันเร้นลับซ่อนอยู่ ทำให้ฮือฮากันไปทั่วทั้งนครต้องห้าม

จวบจนถึงตอนนี้ หลิ่วชิงเยียนถึงขั้นได้รู้เรื่องราวที่หลินสวินประสบพบเจอหลังเข้ามาอยู่ในนครต้องห้ามผ่านคำวิจารณ์สารพัดพวกนี้ด้วยซ้ำ!

เช่นหลินสวินถูกเรียกว่าเป็น ‘เจ้าตระกูลทรงอิทธิพลที่อ่อนแอที่สุดในนครหลวง’ ได้อย่างไร หรือหลินสวินซัดลูกหลานตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงอย่างตระกูลซ่งและฮวาอย่างไร…

หรืออย่างการประลองระหว่างหลินสวินและฮวาอู๋โยวก่อนหน้านี้…

และอย่างสถานการณ์ของหลินสวินในตอนนี้…

ล้วนมีคนกำลังพูดถึงและวิพากษ์วิจารณ์กัน

ทำให้หลิ่วชิงเยียนอดทอดถอนใจไม่ได้ เป็นจริงดั่งคำที่ว่า ไม่พบกันสามวันต้องมองกันใหม่!

หลินสวินในตอนนี้ต่างจากอดีตอย่างสิ้นเชิง เขาพัฒนาขึ้นด้วยความเร็วอันเหลือเชื่อ จนชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งนครต้องห้าม!

จนกระทั่งในท้ายที่สุด หลิ่วชิงเยียนหวนนึกถึงเนื้อเพลงที่อาจารย์ซูเขียนขึ้นก่อนหน้านี้ ‘พยัคฆ์น้อยร้องคำราม ล้วนครั่นคร้ามร้อยชีวิน อินทรีแรกโผผิน ธุลีดินละล่องลอย!’

ที่กล่าวมาก็คือหลินสวินไม่ใช่หรือ

……

นครต้องห้ามในวันนี้ครึกครื้นอย่างที่สุด เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับหลินสวินเรียกได้ว่าแผ่ลามไปจนทั่วแล้ว

ในทุกตรอกซอกซอย ทุกหอสุรา โรงเตี๊ยม โรงน้ำชา…ล้วนกำลังวิพากษ์วิจารณ์ ราวกับหากไม่พูดถึงหลินสวินจะรู้สึกว่าตัวเองเสียหน้า

ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ บนจอภาพวิญญาณยังได้เชิญปรมาจารย์สลักวิญญาณอาวุโสคนหนึ่งมาวิเคราะห์ปรากฏการณ์ ‘เสียงร้องแห่งเก้ามังกร’ ที่หลินสวินสร้างขึ้น และดึงดูดผู้ชมได้จำนวนมาก บรรยากาศคึกคักถึงที่สุด

ในอัครการค้า

ปฏิกิริยาแรกหลังจากสืออวี่รู้ข่าวนี้คือสบถคำหยาบออกมา “เชี่ย!”

ต่อมาเขาพลันรู้สึกสับสนขึ้นมา เจ้าหลินสวินนี่มักทำอะไรที่เหนือความคาดหมายเสมอ

เขาถึงขั้นมั่นใจว่าสมบัติวิญญาณ ‘กระบองเมฆาคราม’ ที่หลินสวินเคยให้เขาคู่หนึ่ง ต้องเป็นสมบัติวิญญาณที่หลินสวินหลอมขึ้นเองกับมือแน่!

“มารดามันเถอะ เจ้าเด็กนั่นวิปริตขึ้นทุกวัน คิดจะชนะเขาคงยากขึ้นเรื่อยๆ…”

สืออวี่ยิ้มขื่น

ไม่นานเขาก็ตกอยู่ในห้วงความคิด หลินสวินที่อายุไม่ถึงสิบหกปีกลับสามารถผ่านการทดสอบเก้าศิลาประตูมังกรได้อย่างสมบูรณ์แบบ และไม่ใช่เพียงปรมาจารย์สลักวิญญาณธรรมดาเท่านั้น แต่ยังทำลายสถิติ สร้างปาฏิหาริย์ขึ้นเองกับมือ!

การเป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณในวัยเยาว์ทั้งยังโดดเด่นเช่นนี้ จะต้องนำพาเกียรติยศและชื่อเสียงมากมายมาให้หลินสวิน ในขณะเดียวกันก็จะได้รับความสนใจและเป็นที่หมายปองของเหล่าผู้มีอิทธิพลอย่างแน่นอน

แต่ที่น่าเสียดายคือ สืออวี่รู้ดีว่า อัครการค้าของพวกเขานอกจากมีเงินแล้ว ก็ไม่อาจเทียบความยิ่งใหญ่ของภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณ สำนักศึกษาเซียนช่างฝีมือแห่งจักรวรรดิและสำนักศึกษามฤคมรกตได้เลย

ซึ่งก็หมายความว่า อัครการค้ายังเล็กเกินไปสำหรับหลินสวิน

มิเช่นนั้นสืออวี่จะดึงหลินสวินมาเป็นคนของตัวเองให้ได้ ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม

“ไม่รู้ว่าสุดท้ายเจ้าหนูนั่นจะเข้าร่วมฝ่ายไหน…”

สืออวี่พึมพำ

ไม่รอให้เขาคิดได้กระจ่างก็มีคนมาขอเยี่ยมเยียนถึงหน้าประตู และไม่เพียงกลุ่มเดียวเท่านั้น แต่ทยอยมากันอย่างต่อเนื่อง

เมื่อลองถามดูแล้วจึงพบว่า ล้วนเป็นคนที่ถูกส่งมาหว่านล้อมจากขุมอำนาจอย่างภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณ สำนักศึกษาเซียนช่างฝีมือแห่งจักรวรรดิและสำนักศึกษามฤคมรกตทั้งสิ้น

จุดประสงค์ของพวกเขาเหมือนกันจนน่าตกใจ คืออยากให้สืออวี่ออกหน้า ช่วยโน้มน้าวให้หลินสวินยอมเข้าร่วมฝ่ายของพวกเขา หากสำเร็จจะตอบแทนสืออวี่อย่างงาม

ที่เป็นเช่นนี้เพราะตอนนี้ภูเขาชำระจิตปิดรับแขก ทำให้พวกเขาไม่สามารถเข้าใกล้หลินสวินได้ จึงได้แต่ต้องใช้เล่ห์กล มาให้สหายของหลินสวินอย่างสืออวี่ช่วยออกโรง

ยิ่งทำให้สืออวี่รู้สึกสับสนเข้าไปใหญ่ ก่อนหน้านี้ เขาคุณชายสามสือยังเป็นบุคคลผู้สูงศักดิ์ที่ถูกคนเข้ามาฝากตัวเพื่อต้องการพึ่งพิงเส้นสายอยู่เลย แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นเหมือนพ่อสื่อแม่ชักไปเสียแล้ว!

สุดท้ายสืออวี่ก็ปฏิเสธกลับไปทั้งหมด ไม่ใช่เพราะหยิ่งยโสอันใด แต่เขารู้ดีว่าเรื่องนี้เกี่ยวโยงไปถึงอนาคตของหลินสวิน เขาจะเข้าไปแทรกแซงไม่ได้!

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์