พญาแร้งถามขึ้นฉับพลัน
“กำหนดไว้ว่าอีกสิบวัน” หลินสวินเอ่ย
การไปรับตำแหน่งที่สำนักศึกษามฤคมรกตครั้งนี้ หลินสวินไม่เพียงต้องรับหน้าที่อาจารย์ สอนวิชาในศาสตร์สลักวิญญาณบางวิชา ยังต้องรับภาระงานของภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณและสำนักศึกษาเซียนช่างฝีมือแห่งจักรวรรดิด้วย ย่อมต้องยุ่งขึ้นกว่าแต่ก่อนแน่
“ภูเขาชำระจิตขณะนี้รุ่งเรืองขึ้นทุกวัน ธุระทุกอย่างมอบให้พวกเราจัดการก็พอแล้ว เจ้ารีบจดจ่อกับการไปรับตำแหน่งเถอะ”
พญาแร้งพึมพำ “แต่เจ้าต้องระมัดระวังไว้หน่อย ออกจากภูเขาชำระจิตแล้ว จูเหล่าซานกับหลินจงไม่อยู่ข้างกาย ถ้าประสบเรื่องยุ่งยากเข้าคงรับมือได้ยาก”
หลินสวินยิ้มพลางพูดว่า “นี่ย่อมแน่นอน”
ในความคิดของเขา แม้สถานที่อย่างสำนักศึกษามฤคมรกตจะอันตรายแค่ไหน ก็ไม่มีทางยอมให้ชีวิตของตนถูกคุกคามแน่
แน่นอนว่าการปลุกปั่นกับเรื่องวุ่นวายบางเรื่องย่อมหลีกหนีได้ยาก
หลินสวินได้เตรียมใจเอาไว้แล้ว
เพียงแต่ความเป็นจริงนั้นโหดร้ายเสมอ ค่ำวันนั้นสืออวี่ก็มาเยือนกะทันหัน นำข่าวร้ายเรื่องหนึ่งมาบอกหลินสวิน
“เจ้าต้องระวังตัวไว้ ข้าได้ข่าวมาว่าตระกูลหลินสายรองอย่างธารประจิม คานเมฆา และยอดวายุถูกบีบจนกลายเป็นหมาจนตรอก เริ่มขอให้คนนอกที่แข็งแกร่งช่วยลงมือแล้ว!”
ใบหน้าของสืออวี่แสดงสีหน้าหนักใจ “ถ้าข้าคาดเดาไม่ผิด อำนาจภายนอกเหล่านี้ก็คือผู้ร้ายที่เคยแบ่งฮุบสมบัติตระกูลหลินของพวกเจ้าไปแต่แรก!”
ในใจของหลินสวินเย็นเยียบ “พวกเขาเป็นใคร”
“ตระกูลจั่วกับตระกูลฉิน” สืออวี่กล่าว
นัยน์ตาหลินสวินพลันหรี่ลง ตระกูลใหญ่สองตระกูลนี้ ล้วนถูกจัดอยู่ในตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูง!
“ข้าก็คิดไม่ถึงว่าจะเกี่ยวพันไปถึงสองตระกูลใหญ่ในคราวเดียว” สืออวี่ขมวดคิ้ว “ถ้ารู้ว่าจะเป็นอย่างนี้ ก็คงไม่แหวกหญ้าให้งูตื่นเร็วเกินไป พาให้สถานการณ์พลันเปลี่ยนเป็นซับซ้อนขึ้นมา”
“อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดอยู่ดี”
หลินสวินสูดลมหายใจลึก ดวงตาสีดำมีแต่ความสงบนิ่ง “ได้รู้ว่าคนร้ายที่ช่วงชิงสมบัติตระกูลหลินของข้าไปจนหมดในตอนนั้นเป็นใครก็ทำให้ข้าพอใจแล้ว อย่างน้อยตัวข้าก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยคิดว่า ตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงอย่างตระกูลจั่วและตระกูลฉินจะทำเรื่องเลวร้ายพรรค์นี้ได้”
“เฮอะ อย่าว่าแต่สองตระกูลนั้นเลย ในนครต้องห้ามแห่งนี้ผู้มีอำนาจหน้าไหนบ้างไม่โหดเหี้ยมโลภมาก”
สืออวี่ยิ้มหยัน เขาเติบโตในอัครการค้ามาแต่อ้อนแต่ออก รู้ซึ้งถึงโฉมหน้าที่แท้จริงของผู้มีอำนาจพวกนั้นดีที่สุด
“พูดเช่นนี้ พวกเขาคงเตรียมการช่วยสามตระกูลรองโต้กลับแล้วสินะ” หลินสวินเอ่ยถาม
“เปล่า จากข่าวที่ข้าได้มา พวกเขาไม่กล้าออกหน้าต่อกรกับภูเขาชำระจิตหรอก”
สืออวี่ส่ายหัว “อย่างไรเสียตอนนี้เจ้าก็เป็นผู้มีชื่อเสียงอันดับหนึ่งของนครต้องห้าม กิตติศัพท์โดดเด่นราวอาทิตย์เที่ยงวัน ใครจะกล้ามีเรื่องกับเจ้าซึ่งหน้าตอนนี้เล่า”
ทันใดนั้นเขาก็ขมวดคิ้วพลางถอนหายใจ “คาดการณ์ได้เลยว่าพวกเขาต้องแอบลอบทำอะไรบางอย่างในที่ลับกับเจ้า ทวนในที่แจ้งหลบง่าย แต่ธนูในที่มืดป้องกันยาก นี่สิกลับยิ่งอันตรายกว่า”
หลินสวินใคร่ครวญแล้วพูดว่า “ประเดี๋ยวข้าก็ไปรับตำแหน่งที่สำนักศึกษามฤคมรกต บนภูเขาชำระจิตยังมีพวกจูเหล่าซานและหลินจงรักษาการณ์อยู่ เพียงระวังหน่อยก็ไม่น่าถูกโจมตีถึงแก่ชีวิตโดยไม่คาดฝันหรอก”
สืออวี่ส่ายหัวอีกครั้ง “ตามข่าวที่ข้าได้มา หากตระกูลจั่วกับตระกูลฉินจะลงมือ ย่อมเป็นที่สำนักศึกษามฤคมรกตแน่!”
“อะไรกัน” หลินสวินแปลกใจ
“เหอะๆ ไม่ต้องแปลกใจเลย ในสำนักศึกษามฤคมรกตมีผู้คนมากหน้าหลายตาปะปนกันไปหมด ผู้เก่งกล้าที่ดำรงตำแหน่งต่างๆ ในนั้น ส่วนใหญ่ล้วนมาจากกลุ่มอำนาจชั้นยอดในนครต้องห้าม ตระกูลจั่วและฉินเองก็ไม่เว้น”
สืออวี่หัวเราะเบาๆ “แต่ก็เหมือนที่เจ้าพูด เพียงระวังตัวหน่อย ไม่ให้พวกเขาฉวยโอกาสได้ ในสำนักศึกษามฤคมรกตก็ไม่มีใครกล้าจงใจทำร้ายเจ้า อย่างไรเสียสำนักศึกษามฤคมรกตก็เป็นสำนักศึกษาอันดับหนึ่งของจักรวรรดิ! ขนาดราชวงศ์ยังต้องให้ความเคารพอยู่บ้าง ตระกูลทรงอิทธิพลพวกนั้นคงไม่กล้าทำตัวกำเริบเสิบสานในนั้นหรอก”
พูดถึงตรงนี้สืออวี่ก็เตือนอย่างจริงจัง “ขอเพียงความสามารถของเจ้ายิ่งโดดเด่น ยิ่งถูกจับตามองมากขึ้นเท่าไร สถานการณ์ก็จะปลอดภัยยิ่งขึ้นเท่านั้น จะทำตัวราบเรียบเก็บเนื้อเก็บตัวไม่ได้แล้ว ยามที่ควรแสดงความสามารถของตนจะมามัวออมมือไม่ได้เด็ดขาด”
หลินสวินพลันหัวเราะขึ้น “ที่ข้าสร้างเรื่องไว้ที่ภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณเมื่อหลายวันก่อนยังไม่เด่นพออีกหรือ”
สืออวี่นิ่งอึ้งไป พลันเอ่ยอย่างโมโห “ข้าลืมไปเลย เจ้าหนูอย่างเจ้านี่ตั้งแต่เข้านครต้องห้ามมาก็ไม่เคยทำตัวราบเรียบเลยนี่”
สนทนากันอีกครู่หนึ่ง หลินสวินถึงเพิ่งรู้ว่าพวกสืออวี่ หนิงเหมิง กงหมิงและเย่เสี่ยวชีนั้นเริ่มเรียนกันแล้ว ตอนนี้กำลังฝึกปราณที่สำนักศึกษามฤคมรกต
แต่ที่น่าเสียดายก็คือ กลุ่มศิษย์ใหม่อย่างพวกสืออวี่ อีกสามวันจะถูกอาจารย์ของสำนักศึกษามฤคมรกตพาไปยังสถานที่โหดร้ายน่ากลัวแห่งหนึ่งในจักรวรรดินามว่า ‘แดนสังหารวิญญาณ’ เพื่อดำเนินการทดสอบฝึกฝนเป็นเวลาสามเดือน
หรือพูดได้ว่า เมื่อหลินสวินเข้าไปยังสำนักศึกษามฤคมรกต อย่างน้อยในสามเดือนก็ไม่มีโอกาสพบหน้าสหายเหล่านี้
…
สำนักศึกษามฤคมรกตตั้งอยู่ชานเมืองฝั่งตะวันตกของจักรวรรดิ สร้างขึ้นบนภูเขาห่างไกลลูกหนึ่งในบรรดายอดเขาสลับซับซ้อน กินพื้นที่หลายพันหมู่ ขนาดใหญ่โตมโหฬารราวกับเมืองย่อมๆ เมืองหนึ่ง
สิ่งก่อสร้างภายในสำนักศึกษามฤคมรกตล้วนเก่าแก่โบราณ เรียงรายเป็นระเบียบ เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งกาลเวลา
สำนักศึกษาตั้งตระหง่านกลางภูเขาลึกห่างไกลความอึกทึกของโลกมนุษย์ ราวกับสวนท้อที่อยู่นอกโลก เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับฝึกปราณในใจของผู้ฝึกปราณทุกคนในจักรวรรดิ
ความจริงแล้วฐานะของสำนักศึกษามฤคมรกตในจักรวรรดินั้นสามารถพูดได้ว่าเกินธรรมดา ไม่เพียงมีอำนาจยิ่งใหญ่และภูมิหลังแข็งแกร่งเท่านั้น เพราะหลายพันปีมานี้สำนักศึกษามฤคมรกตได้บ่มเพาะผู้มีความสามารถที่เป็นเสาหลักโดดเด่นยิ่งรุ่นแล้วรุ่นเล่าให้แก่จักรวรรดิ
ผู้มีความสามารถเหล่านี้หากไม่เข้ากองทัพจักรวรรดิ ก็เข้าราชสำนัก ไม่ก็กระจัดกระจายไปทั่วสี่ทิศ สร้างคุณูปการยิ่งใหญ่เพื่อความรุ่งเรืองของจักรวรรดิ
สามารถพูดได้อย่างไม่เกินเลยว่า สำนักศึกษามฤคมรกตเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่มีผู้มีความสามารถมากมายไม่ขาดสาย ผู้กล้าแน่นขนัดราวผืนเมฆ เพียงเลือกออกมาสักคนหนึ่ง ก็ล้วนขนานนามได้ว่าเป็นคนชั้นยอดของรุ่นเดียวกัน
เมื่อผู้กล้าเหล่านี้รุ่งเรืองเติบโตขึ้น ไม่กลายเป็นเจ้าครองดินแดนสักฝั่งหนึ่ง ก็เป็นผู้โดดเด่นแห่งยุคสมัย ไม่ก็เป็นผู้มีพลังมหาศาลที่แข็งแกร่งราวภูผากลางกระแสน้ำเชี่ยวในโลกา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์