ในสระน้ำนั้นมีอสูรวิญญาณที่รูปร่างเหมือนกระทิงเขียวแต่มีเขาคู่สีม่วงตนหนึ่ง หมอบอย่างเอื่อยเฉื่อยอยู่ในนั้น ดวงตาทั้งคู่ปิดสนิท กำลังกรนอยู่
เงาร่างทุกเงาที่ผ่านสระนี้ล้วนก้าวเดินช้าลง ใบหน้าแสดงความหวั่นเกรง เดินเข้าพระราชวังจากด้านข้างอย่างระแวดระวัง ราวกับกลัวว่าจะรบกวนอสูรวิญญาณที่หลับไหลอยู่เข้า
เมื่อหลินสวินมาถึง นัยน์ตาอดหรี่ลงมิได้ อสูรวิญญาณนี้ดูเหมือนไม่มีอะไรน่ากลัว แต่ทั้งร่างกลับอบอวลไปด้วยกลิ่นอายที่ทำให้ผู้คนหวั่นเกรงหาใดเปรียบ
ราวกับเมื่อมันตื่นขึ้น ก็จะกลายเป็นอสูรร้ายผงาดฟ้าที่สามารถสร้างความแปรปรวนแก่สภาพอากาศได้!
แรดเขียวนอม่วง!
ชั่วเสี้ยววินาที หลินสวินก็นึกถึงข่าวลือหนึ่งที่กล่าวว่า ในอาณาเขตของพระราชวังมีอสูรวิญญาณระดับสวรรค์ในตำนานตนหนึ่ง นามว่าแรดเขียวนอม่วง มีพลานุภาพล้นฟ้า เป็นพระราชพาหนะในจักรพรรดิผู้สถาปนาจักรวรรดิ สามารถทำให้ผู้มีปราณระดับหยั่งสัจจะหวั่นกลัวหาใดเปรียบได้!
เพียงแต่หลินสวินไม่คิดว่า อสูรวิญญาณที่แข็งแกร่งเพียงนี้กลับปรากฏตัวต่อหน้าตนอย่างง่ายดายเช่นนี้
หลังอึ้งไปเล็กน้อย หลินสวินถึงได้เบนสายตาออก เดินตามไป๋หลิงซีเข้าประตูใหญ่พระราชวัง
เมื่อเข้าสู่พระราชวัง ก็เป็นทิวทัศน์อีกภาพหนึ่ง
อาคารเก่าแก่เรียงรายเป็นระเบียบ มโหฬารโอ่โถง พื้นลานปูลาดด้วยหยกขาวราวกระจก ส่วนตรงกลางนั้นมีกระถางที่ต้องใช้ในพิธีเซ่นไหว้ มีทางเดินหลวงที่สร้างขึ้นเพื่อจักรพรรดิองค์ปัจจุบันโดยเฉพาะ และมีถนนเสริมที่ปูขึ้นเพื่อขุนนางใหญ่แห่งราชสำนัก… ทุกที่ล้วนอบอวลไปด้วยความน่าเกรงขามของพระราชวงศ์
เมื่อเดินเข้าไปข้างในอีก ทัศนียภาพที่ปรากฏขึ้นยิ่งกว้างใหญ่ไพศาลและศักดิ์สิทธิ์ พาให้ใจคนเกิดความรู้สึกยำเกรงโดยไม่รู้ตัว
เมื่อผ่านทะเลสาบใสสะอาด ก็มีเสียงร้องตกใจดังขึ้นระลอกหนึ่ง
จึงเห็นว่าในทะเลสาบพลันมีแสงทองส่องประกายแสงหนึ่งปรากฏขึ้น ใต้แสงอุษานั้นสาดสะท้อนแสงราวภาพลวงสะดุดตา
นั่นคือฝูงปลาวิญญาณฝูงหนึ่ง ตัวยาวหลายฉื่อ มีเกล็ดทอง ปากมีหนวดมังกร ดวงตาปลาสดใส ทั้งร่างอบอวลไปด้วยแสงวิญญาณสีทอง ดูมหัศจรรย์ยิ่งนัก
ปลามังกรคลื่นทอง!
หลายคนแสดงสีหน้าตกใจ นี่เป็นสายพันธุ์ที่หายากยิ่งในใต้หล้า แต่ขณะนี้กลับถูกเลี้ยงอยู่ในพระราชวังและปรากฏตัวกันเป็นกลุ่มเป็นฝูง นี่ช่างน่าตกใจนัก
“นี่ ดูตรงริมทะเลสาบนั่นสิ ยังมีบัวศักดิ์สิทธิ์สีรุ้งต้นหนึ่งโตอยู่ มีดอกบานมากมาย ใบไม้มืดฟ้ามัวดิน! นี่เป็นสมุนไพรวิญญาณที่หายากในใต้หล้านะ!”
ไม่นานนักบัวสีรุ้งที่ลอยเคลียริมทะเลสาบต้นหนึ่งก็ก่อให้เกิดเสียงฮือฮาหนึ่งระลอก ในอากาศเหมือนได้กลิ่นสมุนไพรที่พาให้จิตใจแช่มชื่น
“สมกับที่เป็นอาณาเขตพระราชวัง เป็นศูนย์รวมของจิตวิญญาณ โดดเด่นในใต้หล้า โลกภายนอกยากเทียบเทียมได้!”
เสียงทอดถอนใจมากมายดังขึ้น
บัวศักดิ์สิทธิ์สีรุ้งนั้นเป็นสมุนไพรวิญญาณสุดยอดไร้เทียมทานชนิดหนึ่ง ทำให้ผู้ฝึกปราณมากมายล้วนมองอย่างอิจฉาตาร้อนไม่หยุดหย่อน
“พวกเจ้าจะรู้อะไร นี่ยังเป็นยอดเขาน้ำแข็ง หากพวกเจ้ามีโอกาสเข้าไปในพระราชอุทยาน ถึงจะพบว่าอะไรเรียกว่าคลังสมบัติที่แท้จริง”
ขุนนางตำแหน่งใหญ่แต่งกายงามหรูผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างเรียบเฉย เห็นได้ชัดว่าเข้าออกพระราชวังเป็นประจำ เข้าใจทุกอย่างในนั้นเป็นอย่างยิ่ง
ขนาดหลินสวินเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ยังอดประหลาดใจไม่ได้ จากสายตาของเขาแล้ว อาณาเขตทุกกระเบียดของพระราชวังแห่งนี้ล้วนเรียกได้ว่างดงามศักดิ์สิทธิ์ ไม่เพียงมีสมบัติมหัศจรรย์และสัตว์วิญญาณต่างๆ ขนาดต้นไม้ที่ตั้งตระหง่านอยู่ในแต่ละแห่ง ส่วนใหญ่ล้วนมีที่มาที่ไปทั้งนั้น
“ทุกท่าน มองดูได้ แต่แตะต้องไม่ได้ ระวังจะนำภัยมาถึงตัว”
มีคนเอ่ยเตือน
ทันใดนั้นผู้คนมากมายก็รู้สึกเย็นยะเยือกในใจ ฟื้นคืนสติไม่น้อย
คิดไปคิดมาก็จริง สมบัติล้ำค่าชั้นนั้นต่อให้พบอยู่ทุกหนแห่ง แต่ก็ถือเป็นสิ่งที่พระราชวงศ์ครอบครอง ย่อมไม่ใช่สิ่งที่ผู้อื่นจะแตะต้องได้
เมื่อเดินหน้าต่อไป ไม่นานนักหลินสวินกับไป๋หลิงซีก็มาถึงจัตุรัสมหึมาแห่งหนึ่ง เมื่อเดินไปอีกก็เป็นตำหนักกลาง
งานเลี้ยงฉลองพระชนมพรรษาครั้งนี้ก็ถูกจัดขึ้นในตำหนักกลาง
เพียงแต่ยังไม่ถึงเวลางานเลี้ยง แขกเหรื่อที่มาร่วมถวายพระพรทำได้เพียงหยุดรอที่จัตุรัสนี้ชั่วคราว
รอบจัตุรัสมีตั่งโต๊ะและเบาะนั่งจัดเตรียมไว้ให้แขกเหรื่อพักผ่อนอยู่ก่อนแล้ว
เมื่อหลินสวินและไป๋หลิงซีมาถึง ที่นี่ก็หนาแน่นไปด้วยเงาร่างมากมาย มีขุนนางสำคัญของจักรวรรดิซึ่งดำรงตำแหน่งสูงมายาวนาน มีคนใหญ่คนโตสูงศักดิ์ที่อำนาจคับฟ้า และมีผู้ฝึกปราณที่มีชื่อเสียงลือลั่นไปทั่ว ภูมิหลังเข้มแข็ง…
แน่นอนว่า ก็มีลูกหลานตระกูลทรงอิทธิพลมากมายที่ติดตามมากับผู้อาวุโสในตระกูลด้วย
“ข้าไปหาเพื่อนหน่อยนะ”
เมื่อมาถึงที่นี่ ไป๋หลิงซีก็แยกกับหลินสวิน นางเดินตรงไปยังที่ไกลออกไป ตรงนั้นมีเด็กหนุ่มสาวหลายคนกำลังโบกมือมาทางไป๋หลิงซี
หลินสวินกลับเดินเยื้องย่างไปทั่วอยู่คนเดียว เขาไม่รู้จักคนส่วนใหญ่ที่นี่ แล้วก็คร้านจะเสวนาผูกมิตรด้วย
บนจัตุรัสนั้นเต็มไปด้วยสะพานโค้ง ภาพสลักนูนต่ำและรูปปั้นหิน ล้วนงดงามหาใดเทียม ไม่นานนักก็ดึงดูดความสนใจของหลินสวิน
ที่ทำให้หลินสวินประหลาดใจเป็นพิเศษคือ ทิวทัศน์นี้ล้วนสลักไปด้วยรอยสลักวิญญาณหนาแน่น มีทั้งรูปชมนกชมไม้ ภาพปรากฏการณ์ในท้องฟ้า การบูชาบรรพชน และนักปราชญ์ร่ายตำรา สร้างบรรยากาศเก่าแก่โบราณให้เหมือนปรากฏขึ้นจริงตรงหน้า
ศึกษาอยู่ครู่ใหญ่ หลินสวินเกิดความคิดบางอย่างขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ เขาดูออกแล้วว่า ไม่ว่าจะเป็นสะพานโค้ง ภาพสลักนูนต่ำ หรือรูปปั้นหิน แม้แต่ตึกรามอาคารที่อยู่บริเวณนั้น รอยสลักวิญญาณที่สลักอยู่ไม่ได้เป็นเอกเทศ แต่เกี่ยวข้องและสอดรับกันอย่างสมบูรณ์
ถ้าเขาสันนิษฐานไม่ผิด จัตุรัสแห่งนี้ แม้กระทั่งตำหนักกลางที่อยู่ไกลออกไป แท้จริงแล้วล้วนถูกกระบวนรอยสลักวิญญาณเก่าแก่มหึมารอยหนึ่งปกคลุมอยู่!
ฉับพลัน เสียงสนทนาระลอกหนึ่งดังขึ้น พาให้หลินสวินมุ่นคิ้ว
“เฮอะ ๆ คราวนี้หลินสวินลำบากแล้ว มีเรื่องกับหลิงเทียนโหวคนโหดเหี้ยมผู้นี้ เขาต้องประสบเคราะห์แน่!”
“เจ้าเด็กนี่ก็โอหังมาช่วงหนึ่งแล้ว ควรมีคนกำราบความจองหองของเขาได้แล้ว มิเช่นนั้นนครต้องห้ามในภายภาคหน้าคงต้องโอนอ่อนตามเขา”
“รอหน่อยเถอะ คนที่เจ้าเด็กนี่ล่วงเกินมีมากมายนัก ไม่ช้าก็เร็วต้องถูกกรรมตามสนองแน่”
เมื่อได้ยินคำแช่งและคำโจมตีอย่างไม่เกรงใจเช่นนี้ พาให้หลินสวินประหลาดใจอยู่บ้าง เขาเหลือบตาขึ้นมองก็เห็นว่าในจุดที่ไม่ไกลนักมีชายหญิงบางคนชี้ไม้ชี้มือมาทางตน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์