ตอน ตอนที่ 420 จาก Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง
ตอนที่ 420 คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย
ใจหลินสวินอดผิดหวังอยู่บ้างไม่ได้
หลิ่วชิงเยียนรูปงามทั้งยังเฉลียวฉลาด ปราดเดียวก็มองออกว่าความรู้สึกของหลินสวินแปลกไป ถามด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “คุณชายหลิน ในงานเลี้ยงครั้งนี้ก็มีคนใหญ่คนโตที่มาจากดินแดนรกร้างโบราณ ด้วยชื่อเสียงและความสามารถของเจ้าในตอนนี้ เพียงแสดงออกดีๆ เสียหน่อย อาจสามารถคว้าโอกาสครั้งนี้ ได้รู้สิ่งที่ตัวเองอยากรู้”
หลินสวินยิ้มให้แล้วพูดว่า “ดูสถานการณ์ก็แล้วกัน”
…….
เมื่อเวลาผ่านไป แขกเหรื่อในจัตุรัสก็ยิ่งมีจำนวนมากและครึกครื้นยิ่งขึ้น โดยมากเป็นผู้ที่มีอำนาจสูง หากสุ่มมาสักคนหนึ่งก็ล้วนเป็นคนใหญ่คนโตที่มีชื่อเสียงอำนาจขจรไกล ไม่ก็ผู้เก่งกล้าแนวหน้าในรุ่นเยาว์
ตัวตนของหลินสวินก็ได้รับการจับตามองไม่น้อย จะน้อยจะมากก็มีหัวข้อสนทนาที่เกี่ยวข้องกับตัวเขา
ในหมู่คนใหญ่คนโตหลายคนก็มีการเอ่ยถึงภูเขาชำระจิต เอ่ยถึงหลินเต้าเฉินบรรพบุรุษของหลินสวิน ทอดถอนใจว่าตระกูลหลินที่ตกต่ำลงในขณะนี้ ในที่สุดก็มีผู้โดดเด่นในรุ่นหลังที่ควรค่าแก่การจับตามองเสียที
ผู้ฝึกปราณที่คลั่งไคล้การฝึกยุทธ์กลับสนทนาเรื่องการประลองครั้งนั้นของฮวาอู๋โยวกับหลินสวิน วิเคราะห์วิชาและความสำเร็จในศาสตร์การยุทธ์ของเขา
ส่วนคนใหญ่คนโตหลายคนที่เชี่ยวชาญศาสตร์สลักรอยวิญญาณ กลับทึ่งที่หลินสวินสามารถซ่อมแซมกระบี่เบิกฟ้าได้ พูดคุยแลกเปลี่ยนไม่หยุดหย่อน
รวมถึงมีคนบางส่วนที่มองอย่างไม่เป็นมิตรและต่อต้านหลินสวิน สิ่งที่พูดคุยกันก็คือเรื่องที่ไม่เป็นผลดีกับเขา
ยกตัวอย่างเช่น ตั้งแต่เขาเข้ามาในนครต้องห้ามก็มีเรื่องผิดใจกับผู้มีอำนาจมากมายเหลือเกิน ไม่ช้าก็เร็วต้องถูกเอาคืนและโจมตี
โดยสรุป ไม่ว่าจะเป็นการชื่นชมในแง่ดีหรือคำติเตียนในแง่ลบ อย่างน้อยทุกอย่างนี้ก็พิสูจน์ได้ว่า ชื่อเสียงของหลินสวินไม่เพียงขจรขจายในหมู่คนทั่วไป ขนาดพวกคนใหญ่คนโตบางคนที่อยู่เบื้องบนของนครต้องห้าม ก็รับรู้ได้ถึงการมีอยู่ของเขา
แน่นอนว่าตัวตนของหลินสวินเป็นเพียงหนึ่งในหัวข้อสนทนาในจัตุรัสนี้ ไม่ได้เป็นคนที่ถูกจับจ้องที่สุด
นี่เป็นเรื่องปกติ ผู้ที่มาร่วมงานเลี้ยงครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ที่มีตำแหน่งสูงส่ง หรือพวกผู้กล้าที่มีอิทธิพลเหล่านั้น ล้วนมีคุณสมบัติเพียงพอให้ทระนงตน
ความก้าวหน้าในตอนนี้ของหลินสวินแม้จะรวดเร็วฉับไวนัก แต่อย่างไรก็ยังขาดความมั่นคงทางภูมิหลัง จึงไม่สามารถดึงดูดความสนใจได้มากมายเท่าไรนัก
อย่างน้อยผู้กล้าอย่างซ่งอี้ ฉือฉางเฟิง อวิ๋นฝูเฉิน เว่ยฉือเจ๋อ ก็ได้รับความสนใจมากกว่าหลินสวินมาก
ขนาดความสนใจที่หลิ่วชิงเยียนได้รับ ยังเห็นได้ชัดว่าก้าวล้ำหลินสวินไป
นี่ก็เป็นปัญหาเรื่องภูมิหลังเช่นกัน
เขาอาจมีพรสวรรค์เกินใคร มีฝีมือที่ควรค่าแก่การตื่นตะลึงหลายอย่าง แต่ตัวเขาเองกลับมาจากตระกูลหลินที่ตกอับไปนานแล้ว เมื่อพูดถึงตำแหน่งหรือฐานะ ก็เห็นได้ชัดว่าเทียบกับลูกหลานที่เกิดในตระกูลชั้นสูงเหล่านั้นไม่ได้
หากเปลี่ยนเป็นห้าร้อยปีที่แล้ว ยามตระกูลหลินยังเป็นตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงตระกูลหนึ่ง แน่นอนว่าความสนใจที่หลินสวินจะได้รับย่อมแตกต่างโดยสิ้นเชิง
ต่อเรื่องพวกนี้ หลินสวินไม่ยินดียินร้าย ทางเดินของเขากับคนอื่นในที่นี้ไม่เหมือนกัน ย่อมไม่ให้ความสำคัญกับชื่อเสียงจอมปลอมที่ว่า
……
ไม่นานนักเสียงระฆังเก่าแก่อันไพเราะเสนาะหูก็ดังขึ้น ทุกคนในจัตุรัสนั้นล้วนหยุดทุกสิ่งที่ทำอยู่ เสียงสนทนาเซ็งแซ่ก็หายไปตาม
บรรยากาศในจัตุรัสพลันเปลี่ยนเป็นน่าเกรงขาม เงียบเชียบไร้เสียง
สายตาทุกคู่พากันมองไปทางตำหนักกลางที่อยู่ไกลออกไป
“ถึงฤกษ์ดีแล้ว ขอเชิญแขกทุกท่านเข้าตำหนัก!”
ในชั่วขณะนี้มีเสียงที่ราวระฆังยามเช้าและกลองยามค่ำดังขึ้นเสียงหนึ่ง สั่นสะเทือนไปเก้าชั้นฟ้า มีพลังที่สะท้านไปถึงก้นบึ้งของจิตใจคนได้
ทันใดนั้นก็เห็นว่าประตูใหญ่ของตำหนักกลางที่ปิดสนิทนั้นเปิดออกอย่างช้าๆ นางกำนัลผู้งดงามสองแถวหลั่งไหลออกมา ยืนโค้งคำนับไปทางบันไดทั้งสองด้านของตำหนักกลาง
งานเลี้ยงฉลองพระชนมพรรษาสามร้อยปีของจักรพรรดินีได้เริ่มขึ้นแล้ว!
บัดนี้ แขกเหรื่อที่อยู่ในจัตุรัสต่างเดินไปยังตำหนักกลางด้วยการนำทางของนางกำนัล
“ข้าไปเตรียมตัวก่อนแล้วนะ อีกประเดี๋ยวในงานเลี้ยง เจ้าต้องฟังลำนำใหม่ที่ข้าแต่งให้ดีๆ ล่ะ ลำนำนี้สามารถแต่งเสร็จได้อย่างราบรื่นก็เพราะเจ้านั่นล่ะ”
หลิ่วชิงเยียนกะพริบตา ยิ้มพลางกล่าวลาหลินสวิน วันนี้นางจะขับร้องเพลงแด่จักรพรรดินี จึงต้องไปเตรียมตัว
“เพราะข้าหรือ”
หลินสวินตะลึงงัน ตามองเงาร่างงดงามที่จากไป ในใจอดบังเกิดความสงสัยไม่ได้ เพลงใหม่บทนี้จะไปเกี่ยวกับเขาได้อย่างไรกัน
ระหว่างขบคิดเขาก็ถูกนางกำนัลผู้หนึ่งนำทางไปตามบันไดเก้าสิบเก้าขั้น เดินเข้าไปยังตำหนักที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในจักรวรรดินี้…พระตำหนักกลาง
โอ่โถง!
งามวิจิตร!
เกรียงไกร!
นี่เป็นความรู้สึกยามหลินสวินได้เข้าไปในตำหนักกลาง เห็นเพียงว่าในตำหนักนั้นราวกับโลกใบน้อยอีกใบ บนยอดหลังคาเป็นภาพท้องนภา ใต้เท้าเป็นรูปภูผานที เมื่ออยู่ในนั้นแล้วมองไปรอบทิศ ช่างรู้สึกเล็กจิ๋วผิดธรรมดา
ภายในตำหนักมีเสาหินที่สร้างขึ้นจากหินจื่อเย่าหนึ่งร้อยแปดเสาตั้งตระหง่าน สลักลายมังกรวาดลายปักษาเพลิง ประทับลวดลายมงคลอย่างผืนเมฆ แสงทอง ดอกจื่อเย่าเป็นต้น เปล่งแสงทอสีงดงาม ศักดิ์สิทธิ์เกินธรรมดา
เมื่อมองออกไปไกลๆ เสาทุกต้นนั้นเหมือนสูงเทียมฟ้า ยืดยาวไปถึงจุดสูงสุดของสวรรค์!
ใจหลินสวินสั่นสะท้านขึ้นอย่างไม่ตั้งตัว โถงใหญ่นี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์น่าเกรงขามยากบรรยาย สะเทือนจิตสะท้านขวัญ ไม่ว่าใครมาถึงที่นี่ น่ากลัวจะไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม
แน่นอน ไม่เพียงแต่หลินสวิน แขกเหรื่อท่านอื่นที่มาถึงที่นี่ ไม่ว่าจะมีฐานะใหญ่โตคับฟ้าเพียงใด เวลานี้ล้วนแสดงสีหน้ายำเกรง ไม่กล้าส่งเสียงดัง
นี่ก็คือตำหนักกลาง!
ไม่นานนัก ด้วยการจัดแจงของนางกำนัล หลินสวินก็ได้นั่งที่ตั่งฝั่งหนึ่งของตำหนัก
บนตั่งมีสุรากาหนึ่ง ถ้วยชาหนึ่งใบ ผลไม้วิญญาณหนึ่งจานวางอยู่ เรียบง่ายนัก ดูไปไม่เห็นจะหรูหราตรงไหน
“ถวายบังคมองค์จักรพรรดินี!”
เสียงดังก้องในตำหนักอร่ามตา มีบรรยากาศเกรงขามอยู่ในที
“ทุกท่านนั่งลงเถิด”
บนบัลลังก์อบอวลไปด้วยบรรยากาศอันเป็นมงคล เสียงของจักรพรรดินีดังออกมา เสียงนั้นอ่อนโยนสงบนิ่ง ทั้งไม่มีพลานุภาพใด แต่กลับพาให้ผู้อื่นไม่กล้าคิดล่วงเกิน
จนกระทั่งแขกเหรื่อนั่งประจำที่อีกครั้ง หัวหน้าเผิงเริ่มอ่านคำถวายพระพรยาวเหยียด น้ำเสียงเป็นจังหวะจะโคน
ท้ายสุดหัวหน้าเผิงนำแผ่นหยกแผ่นหนึ่งออกมา แล้วเริ่มอ่านรายชื่อของขวัญฉลองพระชนมพรรษา
นี่คือกำหนดการของการถวายพระพร แขกเหรื่อในที่นั้นล้วนถวายของขวัญ เมื่ออ่านรายชื่อของขวัญจบ งานเลี้ยงนี้ก็จะถือว่าเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว
ก่อนหน้านี้เมื่อหลินสวินตัดสินใจเข้าร่วมงานเลี้ยง ก็ได้เตรียมของขวัญฉลองพระชนมพรรษาไว้แล้วชิ้นหนึ่ง ทั้งได้ไหว้วานเสิ่นทั่วส่งให้ราชวังไปก่อนแล้ว
ได้ยินหัวหน้าเผิงเอ่ยเสียงดัง อ่านรายชื่อของขวัญฉลองพระชนมพรรษายาวเหยียด
“คฤหาสน์จิ้งไห่โหว สิงโตคู่รุ้งวิลาสหนึ่งชุด บุปผาดาวเหนือสามพันปีหนึ่งต้น หยกประดับปี้เซี่ยวิญญาณสมุทรหนึ่งชิ้น!”
“คฤหาสน์เหวินยวนโหว ภาพต้นสนกระเรียนอำนวยพรหนึ่งภาพ ลูกกลอนหยกน้ำค้างม่วงหนึ่งขวด กำไลแสงนภาสุริยันจันทราหนึ่งคู่!”
“คฤหาสน์ป๋อวั่งโหว…”
ของขวัญฉลองพระชนมพรรษานั้นน่าตื่นตะลึง ใหญ่โตขึ้นทุกอัน เมื่ออ่านออกมาพลันก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ฮือฮาขึ้นระลอกหนึ่ง
สมบัติอย่าง ‘โป่งรากสนหิมะพันปี’ ‘ลูกกลอนมงคลจิตเก้าใบ’ ‘น้ำยาคืนรูปแปดสมบัติ’ ภายนอกอาจขนานนามได้ว่าเป็นสมบัติหายากในใต้หล้า แต่ในรายชื่อของขวัญฉลองพระชนมพรรษานี้ กลับดูธรรมดานัก
พูดได้ว่าคนใหญ่คนโตเหล่านั้นได้ใช้ความคิดไม่น้อยเพื่อถวายพระพรแด่องค์จักรพรรดินี ของขวัญฉลองพระชนมพรรษาที่นำออกมาทั้งมีเอกลักษณ์ หาได้ยากในใต้หล้า และมีนัยเป็นมงคล ไม่อาจประเมินราคาได้!
หลินสวินนั่งตรงนั้น ได้ยินสิ่งเหล่านี้ก็อดทอดถอนใจไม่ได้ ผู้มีอำนาจสูงส่งที่อยู่เบื้องบนเหล่านี้ ฐานะทางบ้านช่างมั่งคั่งเสียจริง สมบัติที่เอามาล้วนหายากและมีเอกลักษณ์ ขนาดเขาเองยังไม่เคยได้ยิน!
ขณะที่หลินสวินทอดถอนใจไม่หยุดหย่อนนี้เอง เสียงของหัวหน้าเผิงพลันชะงักไปครู่ ถึงค่อยอ่านออกมา “ตระกูลหลินแหล่งภูเขาชำระจิต ปิ่นหยกหนึ่งชิ้น”
ทั้งที่นั้นพลันตกตะลึง ปิ่นหยกเพียงอันเดียวหรือ
หลินสวินผู้นี้ จะดีจะร้ายตอนนี้ก็เป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณคนหนึ่งแล้ว กลับนำปิ่นหยกอันเดียวมาถวายองค์จักรพรรดินีเป็นของขวัญหรือ
นี่มัน…กระจอกไปหน่อยแล้วกระมัง
ทันใดนั้นสายตาหลายคู่ในที่นั้นก็มองมาทางหลินสวิน สีหน้าล้วนเปลี่ยนไปคลุมเครือไม่มากก็น้อย
——
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์