ไม่มีใครกล้าเสี่ยงอีก แม้แต่ระดับหยั่งสัจจะยังถูกฆ่าตาย ใครยังจะสู้เด็กหนุ่มคนนี้ได้
“มีใครอยากชิงดาบนี้อีกหรือไม่”
หลินสวินเอ่ย เสียงราบเรียบแต่มีพลังดุจสายฟ้าน่าตะลึงดังสนั่นไปทั่ว แต่เนิ่นนานก็ยังไม่มีใครกล้าตอบกลับ
ถึงขั้นที่ทุกคนที่ถูกสายตาของหลินสวินกวาดผ่าน สีหน้าต่างเปลี่ยนไปเล็กน้อย ตัวแข็งค้างไม่กล้าสบตากับเขา
นี่คือความน่าเกรงขาม!
กำราบดาบแตกก่อน แล้วฟาดฟันเหล่าผู้กล้า สังหารระดับหยั่งสัจจะ วิธีอันโหดร้ายและนองเลือดของหลินสวินทำให้ทุกคนหวาดกลัวไปหมดแล้ว
พรึ่บ!
หลินสวินเก็บสายตา ใช้ก้าวย่างชือน้ำแข็งโดยไม่รั้งรออีก ทะยานผ่านอากาศมุ่งหน้าไกลออกไปประหนึ่งสายรุ้ง
เห็นเช่นนี้มีผู้ฝึกปราณหลายคนที่ไม่จำยอม ยังนึกอยากลอง แต่สุดท้ายก็หักห้ามใจเอาไว้ พวกเขารู้ตัวว่าขัดขวางหลินสวินไม่ได้
เด็กหนุ่มป่าเถื่อนคนนี้แข็งแกร่งเกินไปแล้ว สร้างความตื่นตะลึงไปทั่วทุกสารทิศ
จวบจนกระทั่งเงาร่างของหลินสวินหายลับตาไป เหล่าผู้ฝึกปราณจึงได้สติจากความตะลึง มองกองเลือดและศพในบริเวณนั้น ยังมีภูเขาแม่น้ำกับพื้นดินที่ถูกทำลายทั่ว ต่างอดวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้
“เหตุใดเด็กหนุ่มคนนั้นจึงน่าสะพรึงกลัวเพียงนี้ ในระดับมหาสมุทรวิญญาณเรียกได้ว่าไม่มีใครเทียบแล้ว ทั้งยังข้ามระดับไปสังหารระดับหยั่งสัจจะได้อีก เหลือเชื่อจริงๆ!”
มีคนทอดถอนใจ
“ต้องเป็นผู้สืบทอดสำนักโบราณที่ปลีกวิเวกเป็นแน่ มิเช่นนั้นจะไม่เคยได้ยินชื่อเขามาก่อนเลยได้อย่างไร”
“ใช่ ข้าเองก็เคยได้ยินว่าในดินแดนต้องห้ามโบราณหลายแห่งและดินแดนศักดิ์สิทธิ์ในการฝึกปราณที่ปลีกวิเวก มีผู้กล้าชั้นยอดไม่มีใครเทียบ ราวกับเป็นอมตะและปราบศัตรูได้เหมือนเด็กหนุ่มป่าเถื่อนคนนั้น!”
“พวกเจ้าคิดว่า เด็กหนุ่มป่าเถื่อนคนนี้เทียบกับบุคคลที่ถูกยกย่องว่าเป็นผู้กล้าแห่งยุคมาเนิ่นนาน อย่างหลิงจื่อนั่วแห่งเขาเมฆาสวรรค์ เถี่ยเชียนหานแห่งสำนักสงัดดารา อวิ๋นเคอแห่งสำนักกระบี่แรกวิญญาณ หยวนจั้นแห่งสำนักเทพโลหิต เหลียนเตี๋ยอีแห่งแดนวิญญาณหมื่นมายา… ใครจะแข็งแกร่งกว่ากัน”
“ยากบอกได้ ที่เมื่อครู่นี้เด็กหนุ่มคนนั้นสังหารยอดฝีมือระดับหยั่งสัจจะได้ เหตุผลแรกเพราะพลังต้องห้ามภายในแหล่งโลหิตสมบัติร่วงหล่นทำให้พวกเขาไม่สามารถใช้พลังที่แท้จริงได้ เหตุผลที่สองเพราะดาบแตกในมือเด็กหนุ่มคนนั้นพลิกฟ้ามากเกินไป ถ้าเป็นพวกหลิงจื่อนั่ว เถี่ยเชียนหาน ก็น่าจะทำได้ขนาดนี้เช่นกัน”
“อยากเห็นเด็กหนุ่มคนนั้นสู้กับผู้กล้าเหล่านั้นจริงๆ ดูซิว่าใครจะโดดเด่นกว่า”
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้นทั่วทุกสารทิศ
และในวันนั้นเอง ข่าวเกี่ยวกับ ‘เด็กหนุ่มป่าเถื่อน’ ก็แพร่สะพัดออกไปทั่วพื้นที่ในแหล่งโลหิตสมบัติร่วงหล่น เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ด้วยความตะลึงขึ้นมากมาย
คิดไม่ถึงเลยว่าเด็กหนุ่มที่ก่อนหน้านี้ดูเงียบๆ ไม่พูดจา กลับดุดันป่าเถื่อนได้ถึงเพียงนี้ ถึงขั้นที่จนถึงตอนนี้ยังไม่มีใครรู้ว่าเขามาจากไหนและชื่ออะไร
……
ภูเขาลูกใหญ่รกร้างที่เหมือนซากปรักหักพังปรากฏขึ้น ที่แห่งนี้ไม่มีต้นไม้ใบหญ้างอกเงยแม้แต่ต้นเดียว แผ่กระจายกลิ่นอายดุร้ายปกคลุมฟ้าดิน
เห็นได้ชัดว่านี่เป็นดินแดนอันน่ากลัวแห่งหนึ่ง ถ้าผู้ฝึกปราณปกติมาเห็นเข้าคงหลบหลีกไปไกล
พรึ่บ!
ไม่นานเงาร่างของหลินสวินก็ปรากฏขึ้น ณ ที่แห่งนี้
แตกต่างกับการแผลงฤทธิ์ไม่มีใครเทียบเมื่อครู่นี้ ยามนี้สีหน้าของเขาขาวซีด หว่างคิ้วเผยความร้อนรนและจนใจ
ในการต่อสู้ก่อนหน้านี้เขาสร้างความตื่นตะลึงให้คนทั้งบริเวณ แต่กลับไม่มีใครรู้ว่าพลังอันแข็งแกร่งเกรียงไกรของเขานั้นเสื่อมทรุดจนเป็นม้าตีนปลายแล้ว และเกือบจะยันไว้ไม่ไหว!
เหตุผลก็เพราะชีพจรวิญญาณ
แม้ว่าการปะทะกับดาบแตก ทำให้สุดท้ายหลินสวินสามารถรวมชีพจรวิญญาณได้สำเร็จ แต่กลับเกิดการเปลี่ยนแปลงหนึ่งที่เหนือความคาดหมายของเขา
ชีพจรวิญญาณเพิ่งจะเป็นรูปเป็นร่าง มันราวกับโหยหาพลังที่มั่นคงยิ่ง จึงเริ่มกลืนพลังวิญญาณในร่างของเขา!
ทีแรกนี่เป็นสิ่งที่หลินสวินอยากให้เป็นที่สุด เดิมเขาก็แทบจะควบคุมพลังวิญญาณที่พลุ่งพล่านในร่างไม่ไหวแล้ว ถ้าสามารถคลี่คลายได้ด้วยชีพจรวิญญาณย่อมเป็นเรื่องที่ดีอย่างที่สุด
ทว่าหลังจากนั้น หลินสวินกลับพบว่าชีพจรวิญญาณนั่นราวกับหลุมดำที่ไม่มีที่สิ้นสุด ทั้งกลืนกินและหลอมพลังวิญญาณในร่างกายอย่างต่อเนื่อง
ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป คงจะรีดเค้นพลังปราณในร่างหลินสวินไปจนเหือดแห้งแน่!
ซึ่งก็เพราะเหตุผลนี้ ในศึกเมื่อครู่หลินสวินจึงรีบออกมา แม้แต่ทรัพย์หลังศึกยังไม่มีกะจิตกะใจจะไปชิง
โชคดีที่เหล่าผู้ฝึกปราณตะลึงกับพลังของเขา ถ้าพวกเขายังดื้อด้านอีกสักหน่อย ไม่แน่ว่าอาจสามารถฉวยโอกาสตอนที่หลินสวินอ่อนแรง จัดการเขาได้ตามปรารถนา
‘ต้องปรับสภาพเงียบๆ สักหน่อย…’
หลินสวินไม่คิดอะไรด้วยซ้ำ เงาร่างก็แวบหายเข้าไปในส่วนลึกของภูเขาที่กลายเป็นเศษซากและมีหมอกหนานั้น
ตั้งแต่ชีพจรวิญญาณกำเนิดและเริ่มต่อสู้กับเฉียนไหว จวบจนกระทั่งเข้ามาอยู่ในแหล่งโลหิตสมบัติร่วงหล่น ก็เป็นเวลาสิบกว่าวันแล้ว หลินสวินยกทัพจับศึกโดยตลอด ไม่เคยพักเลยแม้แต่ครั้งเดียว
ที่เขาทำแบบนี้ก็เพื่อจัดการพลังที่พลุ่งพล่านราวกับภูเขาไฟปะทุในร่างกาย
และยามนี้การรวมชีพจรวิญญาณสำเร็จแล้ว คลี่คลายวิกฤตได้ แต่ก็ทำให้เขาตกอยู่ในอีกวิกฤตหนึ่ง
นั่นก็คือพลังปราณในร่างกายของเขากำลังถูกชีพจรวิญญาณกลืนกินอย่างบ้าคลั่ง!
ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปโดยไม่แก้ไข อย่าว่าแต่ต่อสู้เลย เกรงว่าหลินสวินเองยังต้านทานไม่ไหว ตกอยู่ท่ามกลางความอ่อนแรงอย่างสิ้นเชิง พลังยุทธ์พังทลาย!
จากปลายยอดหนึ่งไปอีกปลายยอด ล้วนแล้วแต่เป็นวิกฤต ต่างมาจากชีพจรวิญญาณ ทำให้หลินสวินเองก็พูดอะไรไม่ออก
อย่างไรก็ตามเมื่อมองอีกด้าน เป็นเพราะการกำเนิดของชีพจรวิญญาณที่ก่อตัวอีกครั้งในที่สุด จึงทำให้พลังต่อสู้ของหลินสวินพุ่งสูงขึ้น ยิ่งแพ้ยิ่งห้าวหาญ ยิ่งสู้ยิ่งแข็งแกร่ง พลังรอบตัวเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งแล้วครั้งเล่า
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์