ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าการเลือกวิธีที่สองโดยไต่ขึ้นกระดานนั้น ที่แท้ยังต้องจ่ายคะแนนสะสมไปถึงหนึ่งพันคะแนน มิน่าถึงได้มีน้อยคนนักที่จะเลือกการไต่ขึ้นกระดานเพียงลำพัง
หนึ่งพันคะแนน นี่เป็นตัวเลขมหึมาที่สามารถทำให้ศิษย์ส่วนใหญ่ถอยหนีได้เลย
ยังดีที่หลังจากหักไปหนึ่งพันคะแนน ในป้ายประจำตัวของหลินสวินตอนนี้ยังเหลืออีกห้าพันกว่าคะแนน เพียงพอที่จะร่วม ‘การทดสอบบันไดสวรรค์’ ได้อยู่
ท้องฟ้ามืดแล้ว หลินสวินกลับไปยังที่พำนักของตน และตัดสินใจว่าพรุ่งนี้ค่อยมุ่งหน้าไปยัง ‘ภูผาบันไดสวรรค์’
สถานที่ที่เรียกว่าภูผาบันไดสวรรค์ ก็คือพื้นที่ต้องห้ามแห่งหนึ่งในสำนักศึกษามฤคมรกต มีเพียงศิษย์ผู้มีห้าพันคะแนนเท่านั้นจึงจะมีสิทธิ์ย่างกรายขึ้นไปบนนั้นได้
มีคำเล่าลือว่าในภูผาบันไดสวรรค์นั้นมีร่องรอยมหามรรคอยู่ ไม่อาจคาดเดา ผู้ใดสามารถปีนขึ้นไปบนยอดเขาบันไดสวรรค์ได้ ก็เทียบเท่ากับก้าวแรกแห่งการปีนสู่สรวงสวรรค์ สามารถควบคุมพลังแห่งสัจจะมหามรรคได้!
‘สวรรค์’ ในที่นี้ ก็ถูกชี้บ่งถึงระดับ ‘หยั่งสัจจะ’ เนื่องจากมีเพียงผู้แข็งแกร่งในระดับหยั่งสัจจะเท่านั้น จึงจะสามารถควบคุมพลังแห่งสัจจะมหามรรคได้ นี่เป็นที่ทราบโดยทั่วกันในหมู่ฝูงชน
ตกดึกหลินสวินนั่งขัดสมาธิทำจิตใจให้สงบอยู่ภายในห้อง
เขาในตอนนี้ฝึกปราณมาถึงขั้นสุดยอดในระดับมหาสมุทรวิญญาณ สมบูรณ์แบบไร้ที่ติ และเนื่องจากชีพจนวิญญาณก่อร่างใหม่อีกครั้ง ทำให้มรรควิถีที่แต่เดิมก็แข็งแกร่งไร้เทียมทานอยู่แล้วของเขายิ่งแปรเปลี่ยนทรงพลังมากขึ้น ไม่อาจหยั่งถึงดุจเหวลึก
หากถูกผู้ฝึกปราณคนอื่นเห็นเขาคงต้องตกตะลึงอึ้งค้างเป็นแน่ เนื่องจากในระดับมหาสมุทรวิญญาณแทบจะหาคนที่เหมือนกับหลินสวิน ถูกเคี่ยวกรำจนกลายเป็นปีศาจชั่วร้ายแข็งแกร่งถึงเพียงนี้
ในแง่ของการฝึกจิตวิญญาณ หลินสวินได้บรรลุถึงขึ้นสมบูรณ์ของระดับ ‘ดาราจักรโคจร’ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในห้วงนิมิตกลุ่มดาวเปล่งประกาย แสงดาวร่วงเป็นสายคมดุจภาพฝัน ส่องสะท้อนจิตวิญญาณ
ระดับต่อไปก็คือ ‘จันทราเคลื่อนคล้อย’ ซึ่งเป็นระดับขั้นที่ลึกซึ้งขึ้นไปอีกในการฝึกจิตวิญญาณ ในระดับนี้ใช้การหล่อหลอม ‘จิตจันทรา’ เป็นแกนหลัก
ยามหลอมรวมความน่าอัศจรรย์แห่ง ‘จันทร์เพ็ญเด่นนภา จรัสจ้าล่วงกาล’ ออกมาได้ จึงจะถือว่าสมบูรณ์
หลินสวินตั้งใจว่าตอนทะลวงขั้นของระดับหยั่งสัจจะ ค่อยไปฝึกฝน ‘จันทราเคลื่อนคล้อย’ เนื่องจากในระดับมหาสมุทรวิญญาณนั้น พลังจิตวิญญาณของเขาได้บรรลุสู่ขั้นสูงสุดแล้ว ด้วยได้รับอิทธิพลจากร่างกายและพลังปราณจนยากจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้อีก
สิ่งที่ทำให้หลินสวินรู้สึกนอกเหนือความคาดหมายก็คือ ยามเกิดการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ในป้ายหินวิญญาณมรรคเขาประสบกับวังวนแห่งการดับสลายและฟื้นคืนสับเปลี่ยน ทำให้ร่างของเขาเปลี่ยนแปลงและยกระดับขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า
อีกทั้งในกระบวนการนี้ยังหลอมอาวุธศักดิสิทธิ์อย่าง ‘มุกนักบุญอมตะ’ ไปจนหมด ผสานเข้ากับร่างกายอย่างสมบูรณ์!
ตอนนี้หลินสวินนึกสงสัยว่า เพียงแค่พลังกายของตนก็น่าจะสังหารผู้ฝึกปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณคนหนึ่งได้ด้วยหมัดเดียว!
‘ปราณ จิตวิญญาณ และพลังกาย สามสิ่งนี้ล้วนบรรลุขั้นสมบูรณ์แล้ว สิ่งที่เรียกว่าสรรพไตรภพนั้น ตอนที่ทะลวงเลื่อนขึ้นสู่ระดับหยั่งสัจจะ อาศัยมรรควิถีขั้นสมบูรณ์ ก็เพียงพอทำให้ข้าครอบครองความสำเร็จที่เหนือกว่าผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ ได้แล้ว!’
หลินสวินเกิดความรู้แจ้งอยู่ในใจ
ระดับหยั่งสัจจะ ระดับใหญ่ที่แตกต่างไปจากระดับมหาสมุทรวิญญาณโดยสิ้นเชิง มีเพียงการบรรลุถึงระดับนี้เท่านั้นจึงจะถูกผู้คนขนานนามว่าเป็น ‘มหายุทธ์’!
เนื่องจากมีเพียงระดับหยั่งสัจจะเท่านั้นที่สามารถหยั่งรู้และครอบครองพลังแห่งสัจจะมหามรรค ควบคุมลม สายฟ้า ดิน ไฟ ขับเคลื่อนจักรวาลธารบรรพต ระหว่างที่เงื้อมือขึ้นก็สามารถพลิกเมฆาคว่ำพิรุณ เผาภูผาต้มทะเลได้!
หยั่งสัจจะ มีคำอธิบายหลากหลายรูปแบบ บางคนกล่าวว่าเมื่อบรรลุระดับดังกล่าว ก็สามารถรู้แจ้งถึง ‘มรรค’ และ‘เหตุผล’ แห่งฟ้าดิน ดังนั้นจึงขนานนามว่าหยั่งสัจจะ
และมีบางคนกล่าวว่า หยั่งสัจจะคือภาพสะท้อนอย่างหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงแห่งมรรควิถี เฉกเช่นการเปิดจักรวาลภายในร่างกาย ก่อร่างสร้างฐานแห่งมหามรรค และมีคุณสมบัติแสวงหาความอมตะ
แต่ไม่ว่าอย่างไร ระดับหยั่งสัจจะก็เป็นหนึ่งระดับใหญ่ที่ยากหยั่งถึงอย่างจริง นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบันผู้ที่สามารถย่างกรายเข้าสู่ระดับนี้ได้มีน้อยยิ่งกว่าน้อย!
ไม่ใช่อะไรอื่น เพราะมันยากเกินไป!
เนื่องจากในระดับหยั่งสัจจะสิ่งที่ต้องหยั่งรู้คือสัจจะมหามรรค หากไร้ซึ่งพรสวรรค์และโอกาสแล้ว ชั่วชีวิตนี้ก็ถูกลิขิตให้ยากจะครอบครองได้
ดังเช่นในขุมกำลังใหญ่ภายในนครต้องห้าม ณ ปัจจุบัน ผู้แข็งแกร่งระดับหยั่งสัจจะนั้นเรียกได้ว่าเป็นบุคคลสำคัญที่ไม่อาจขาดไปได้ สามารถสั่นสะเทือนใต้หล้า อิทธิพลเกรียงไกร
ดังเช่นบนภูเขาชำระจิต จูเหล่าซาน หลินจงก็เป็นบุคคลในระดับนี้ หากไม่มีพวกเขาเป็นกำลังหลัก สถานการณ์ของภูเขาชำระจิตรังแต่จะยิ่งอันตรายมากขึ้นเท่านั้น
จากสิ่งนี้ก็สามารถรู้ได้ว่า พลังสั่นสะเทือนของระดับหยั่งสัจจะนั้นมีพลานุภาพมากเพียงใด
หลินสวินในปัจจุบันอยู่ห่างจากระดับนี้เพียงก้าวเดียวเท่านั้น ทว่าหนึ่งก้าวนี้กลับยากยิ่งกว่าการปีนสู่สรวงสวรรค์!
นี่ใช่ว่าอาศัยการปิดด่านฝึกฝนแล้วจะทะลวงเข้าไปได้ แต่จำเป็นต้องมีโอกาส ต้องแสวงหาและเคี่ยวกรำสมาธิ
เท่าที่หลินสวินรู้มา ในโลกตอนมีผู้โดดเด่นน่าอัศจรรย์อยู่มากมาย แต่แสวงหามาชั่วชีวิตก็ไม่สามารถบรรลุสู่ระดับหยั่งสัจจะได้ ไม่ใช่ว่าพลังของพวกเขาไม่แกร่งพอ แต่เป็นเพราะยังขาดโอกาสและวาสนาในการทะลวงเข้าไปต่างหาก!
หลินสวินในปัจจุบันก็เป็นเช่นเดียวกันนี้ เขาเองก็กำลังรอคอยโอกาสธรรมดาๆ หนหนึ่งอยู่
……
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น
ณ ภูผาบันไดสวรรค์
สถานที่ดังกล่าวตั้งอยู่ในส่วนลึกของสำนักศึกษามฤคมรกต และยังเป็นเขตหวงห้ามแห่งหนึ่งอีกด้วย โดยปกติแทบจะมองไม่เห็นเงาคนเลยสักสาย วังเวงเหลือแสนอย่างเห็นได้ชัด
หมอกยามเช้าปกคคลุม ท่ามกลางความเลือนรางเงาร่างสูงโปร่งสายหนึ่งเดินเข้ามา สวมชุดสีขาวทั้งร่าง ผมยาวสีดำมัดอยู่ด้านหลังลวกๆ เผยดวงหน้าอบอุ่นเป็นมิตร นัยน์ตาดำขลับลึกล้ำสุกสกาว ทั่วสรรพางค์กายอวลด้วยกลิ่นอายโดดเด่นอย่างหนึ่ง
เป็นหลินสวินนั่นเอง
รอบด้านเงียบสงัด เทือกเขาซ้อนทับกัน หมอกยามเช้าเบาบาง ที่อยู่ห่างออกไปก็คือภูผาบันไดสวรรค์แล้ว การทดสอบบันไดสวรรค์กำลังจะเริ่มขึ้น ณ ที่แห่งนั้น
“พ่อหนุ่ม ตรงนี้เป็นพื้นที่ต้องห้าม อย่าได้เข้าใกล้อีก”
กระท่อมมุงจากหลังหนึ่งปรากฏขึ้นไกลๆ เบื้องหน้ากระท่อมมีชายชราหนวดเครายุ่งเหยิง ผมเผ้ารุงรังคนหนึ่งกำลังก่อไฟปรุงอาหาร
เตาไฟเผาไหม้ร้อนแรง ในหม้อเหล็กที่ตั้งอยู่กำลังต้มเนื้อสัตว์ กลิ่นหอมคละคลุ้ง พาให้ผู้คนนิ้วขยับยกใหญ่
เมื่อสังเกตเห็นการมาของหลินสวิน ชายชราผู้นั้นไม่แม้แต่จะเงยหน้า รีบเอ่ยประโยคหนึ่งอย่างรวดเร็ว ดวงตาจับจ้องไปที่เนื้อสัตว์ภายในหม้อเหล็ก เอาแต่ทำปากแจ๊บๆ ไม่ยอมหยุด ดูคล้ายหิวจัดจนกลั้นไม่อยู่แล้ว
“ผู้อาวุโส ข้ามาปีนบันไดสวรรค์”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์