หลินสวินใช้เคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์ต่อสู้อย่างดุเดือด ทั้งร่างอบอวลด้วยแสงสีฟ้าอ่อน เงาร่างสูงโปร่งราวกับไม่อาจคลอนแคลน เคลื่อนย้ายหายวับอยู่ระหว่างฟ้าดิน
เพียงชั่วครู่เท่านั้น ทะเลเพลิงทลาย สัตว์ปีกดุร้ายแตกเป็นเสี่ยง ทุกสิ่งกลายเป็นเปลวเพลิงฝนแสง สาดเซ็นระหว่างฟ้าดิน ในอากาศเต็มไปด้วยกลิ่นอายของสัจวิถีธาตุไฟ
หลินสวินจดจ่ออยู่กับการตระหนักรู้ แต่ไม่นานก็ต้องขมวดคิ้ว ทั้งที่สัจวิถีธาตุไฟนั้นอยู่ต่อหน้าแท้ๆ แต่ดุจอาชาสวรรค์จรผ่านอากาศ ไร้ร่องรอยให้เสาะหา
ในที่สุดสัจวิถีธาตุไฟก็หายลับไป ภาพลวงตาทั้งหมดพลันตกสู่ความสงัด
‘ดูเหมือนว่าหากไม่มีโอกาสทะลวงระดับหยั่งสัจจะ ก็คงยากจะหยั่งรู้และควบคุมพลังแห่งสัจจะมหามรรคจริงๆ สินะ’
หลินสวินมุ่นคิ้ว
จากนั้นเขาก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าข้างกายยังมีเงาร่างสายหนึ่งยืนอยู่ อาภรณ์พิสุทธิ์กว่าหิมะ ท่าทางโดดเด่นเหนือธรรมดา เป็นกู้อวิ๋นถิงคนนั้นนั่นเอง
เขาก็มาปีนบันไดสวรรค์เหมือนกันหรือ
หลินสวินสังเกตเห็นว่า เวลานี้คนผู้นี้ได้ก้าวไปที่บันไดขั้นที่สองแล้ว เห็นได้ชัดว่าถึงเขาจะตามตนมาติดๆ แต่กลับแซงหน้าไปก่อนเสียแล้ว
‘จะแข่งกับตนสักตั้งหรือ’
หลินสวินไหวไหล่ส่ายหน้า เขาไม่มีความคิดจะแข่งขันแบบนี้ มิใช่เพราะหวาดกลัว แต่เพราะเขาไม่ต้องการแบ่งสมาธิไปกับเรื่องพรรค์นี้ก็เท่านั้น
หลังจากสัมผัสความอัศจรรย์ของ ‘การทดสอบบันไดสวรรค์’ อย่างแท้จริงแล้ว ทำให้ในใจหลินสวินเกิดความทะเยอทะยานแรงกล้าขึ้นมาฉับพลัน ปรารถนาจะลองหยั่งรู้พลังแห่งสัจจะด้วยระดับปราณของมหาสมุทรวิญญาณสักตั้ง!
เนินนานก่อนหน้านี้ตอนที่เขาสำแดง ‘เพลงดาบวัฏจักรฟ้า’ ก็เคยใช้ ‘คว้าดารา’ และ ‘สอยจันทรา’ สองกระบวนท่านี้สำแดงอานุภาพยิ่งใหญ่ เคลือบแฝงกลิ่นอายของสัจจะมหามรรค
แต่นั่นเป็นพลังที่หลอมรวมอยู่กับเพลงดาบ ต่อให้สามารถควบคุมมันได้ แต่สัจจะมหามรรคนั้นกลับไม่ได้เป็นของหลินสวิน แต่เป็นเพียงแค่การหยิบยืมพลังมาใช้งานอย่างหนึ่งเท่านั้น
แต่ตอนนี้บนบันไดสวรรค์ ณ ที่นี้ ปกคลุมด้วยร่องรอยมหามรรคแน่นขนัด สามารถพัฒนาออกมาเป็นแก่นจริงแท้แห่งมหามรรค วาสนาหายากเพียงนี้ หลินสวินย่อมไม่อยากพลาดมันไปทั้งอย่างนี้แน่นอน
หากมองเป็นเพียงการประชันสูงต่ำกับกู้อวิ๋นถิง แล้วรีบร้อนบุกฝ่าปีนบันไดสวรรค์ เช่นนั้นคงพลาดวาสนาหนนี้ไปโดยไม่ต้องสงสัยเลย
หลินสวินก้าวต่อไปโดยไม่ลังเล เหยียบขึ้นสู่บันไดขั้นที่สอง บัดนั้นภาพลวงตาสัจจะมหามรรคผืนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
ครานี้เป็นโลกแห่งพฤกษาขจี ไม้เขียวผงาดฟ้า ใบไม้ปกคลุมห้วงอากาศ อบอวลด้วยพลังชีวิตหาใดเปรียบพวยพุ่งออกมา
สัจวิถีธาตุไม้!
ไม้ให้กำเนิดเป็นหลัก ไหลเคลื่อนไม่ขาดสาย เป็นหนึ่งในสัจวิถีปัญจธาตุ อัศจรรย์ยากหยั่งถึง กล่าวกันว่ามหายุทธ์ระดับหยั่งสัจจะที่ควบคุมสัจวิถีธาตุไม้บางคนสามารถครอบครองพลังต่อสู้อันไร้ที่สิ้นสุด มีชีวิตยาวนานต่อเนื่อง ดุจดั่งกายอมตะก็ไม่ปาน กร้าวแกร่งถึงขีดสุด
อีกทั้งพวกเขาสามารถสูดคลายพลังชีวิตแห่งฟ้าดินผ่านวิญญาณต้นไม้ใบหญ้า ชิดใกล้ธรรมชาติฟ้าดินมากที่สุด เมื่อฝึกปราณจึงง่ายดายกว่าผู้ฝึกปราณสายอื่นๆ
โครม~~
ทันใดนั้นเถาวัลย์ใหญ่หนาราวๆ ถังน้ำเส้นแล้วเส้นเล่าต่างพุ่งออกมาจากพื้นดินราวกับงูหลามร่ายรำอย่างบ้าคลั่ง ครอบฟ้าคลุมดิน พุ่งเข้าสยบหลินสวิน
ฉัวะ!
เถาวัลย์ที่ดูเหมือนอ่อนนุ่มนั้นกลับฉีกทลายห้วงอากาศได้อย่างง่ายดาย เต็มไปด้วยพลังทะลุทะลวงอันน่าหวาดกลัว
ปลายเท้าหลินสวินใช้ก้าวย่างชือน้ำแข็ง เงาร่างดั่งภาพลวงตา เข้าสู้ประจัญบาน พลังหมัดดุจมังกรใหญ่ ทลายฟ้าทุบดิน กวาดพุ่งสิบทิศ บดขยี้เถาวัลย์แต่ละเส้นให้แตกกระจาย ปลิวสลายล่องลอย
สิ่งที่ทำให้ผู้คนประหลาดใจก็คือ เถาวัลย์ที่แตกเป็นเสี่ยงเหล่านั้นฟื้นตัวกลับมาทันทีที่ร่วงกระทบพื้น และโผนทะยานขึ้นฟ้าอีกครั้ง
นี่ก็คือสัจวิถีธาตุไม้ เกิดใหม่ไม่มีหยุดหย่อน เว้นแต่จะสามารถกำราบพลังที่แท้จริง มิเช่นนั้นก็แทบจะฆ่าไม่ตาย!
หลังผ่านไปหนึ่งถ้วยชา หลินสวินถึงได้อาศัยพลังหมัดทับซ้อนสามเท่าระเบิดสัจวิถีธาตุไม้ได้อย่างสมบูรณ์ ทำให้มันกลายเป็นฝนแสงมากมาย
เขากลั้นลมหายใจรวบรวมสติ กำจัดความคิดฟุ้งซ่านในสมองออกไปและพยายามหยั่งรู้
เพียงแต่สิ่งที่น่าเสียดายก็คือ ทั้งที่เขารู้สึกว่าเพียงแค่เอื้อมมือก็สามารถไขว่คว้าแก่นแท้ของสัจวิถีธาตุไม้ได้แล้วแท้ๆ ทว่ามักจะคว้าน้ำเหลว เสมือนว่าถูกกั้นกลางด้วยโลกหนึ่งใบอย่างไรอย่างนั้น ได้เพียงมอง ได้เพียงเห็น แต่กลับไร้หนทางหยั่งถึง
แต่หลินสวินก็มิได้ย่อท้อ นับแต่โบราณกาลจนถึงปัจจุบัน น้อยคนนักที่สามารถควบคุมพลังแห่งสัจจะมหามรรคได้ในระดับมหาสมุทรวิญญาณ ต่อให้มี โดยมากก็เป็นเรื่องราวในตำนาน ไม่สามารถพิสูจน์ความจริงได้
ด้วยเหตุนี้ก็สามารถรู้ได้ว่า หากหมายจะทำให้ได้ถึงขั้นนี้ในระดับมหาสมุทรวิญญาณ ไม่ใช่แค่คำว่ายากลำบากง่ายๆ แค่นั้น แต่แทบจะไร้ซึ่งความหวังเลยต่างหาก!
เป็นดังเช่นป้อมปราการที่ขวางเขตแดน หากไร้ซึ่งคุณสมบัติแห่งระดับหยั่งสัจจะ ก็ยากจะทะลวงปราการแห่งการหยั่งรู้มหามรรคได้
พูดง่ายๆ ก็คือนี่เป็นหนทางที่มองไม่เห็นความหวังเส้นหนึ่ง ในอดีตไม่รู้ว่ามีผู้ฝึกปราณโดดเด่นน่าทึ่งตั้งเท่าไรที่เคยลองมาก่อน แต่ท้ายที่สุดล้วนจบลงด้วยความล้มเหลวทั้งสิ้น
หลินสวินไม่รู้เรื่องพวกนี้ ย่อมไม่อาจตระหนึกถึงมันได้อย่างลึกซึ้ง การเคลื่อนไหวของเขาในเวลานี้ บางทีอาจเรียกได้ว่าผู้ไม่รู้ย่อมไม่หวั่นเกรงจริงๆ ก็เป็นได้
แต่ว่านี่ก็คือการฝึกปราณ มีเพียงการแสวงหาและเสาะสำรวจเท่านั้นจึงจะสามารถพิสูจน์มหามรรคของตนได้
……
เบื้องหน้าภูผาบันไดสวรรค์ เนื้อสัตว์ในหม้อเหล็กถูกกินไปจนเกลี้ยง ชายชรามอมแมมยังทำปากแจ๊บๆ ต่อไปอย่างติดใจ
เขาเอนกายลงบนหินสีครามหน้ากระท่อมอย่างเกียจคร้าน เหลือบสายตาทอดมองไกลออกไป อิ่มอกอิ่มใจอย่างไม่อาจบรรยายได้
“ศิษย์น้อง เจ้าว่าเด็กหนุ่มสองคนนั่นเป็นอย่างไรบ้าง”
ทันใดนั้นเสียงที่ผ่านโลกมาอย่างโชกโชนเสียงหนึ่งดังขึ้น ชายชราร่างผอมคนหนึ่งมาอยู่หน้ากระท่อมตั้งแต่เมื่อใดไม่อาจรู้ สองมือไพล่หลัง จ้องมองภูผาบันไดสวรรค์ที่อยู่ในระยะไกล
หากหลินสวินอยู่ที่นี่ จะต้องจำชายชราร่างผอมได้อย่างแน่นอนว่าเขาคือเจ้าสำนักศึกษามฤคมรกต!
“เห แม้แต่ท่านยังตื่นตระหนกเลย ยังต้องถามข้าอีกหรือ”
ชายชรามอมแมมหยิบไม้จิ้มฟันก้านหนึ่งออกมา ดูราวกับไม่แปลกใจเลยที่เจ้าสำนักมาเยือนด้วยตัวเอง
“ข้าอยากรู้ความคิดเห็นของเจ้า”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์