หมุนวนสู่จุดเริ่มต้นเสมอ แฝงจำนวนแห่งมหามรรค บนนั้นประทับร่องรอยมหามรรค เมื่อเดินขึ้นไปบนนั้น หนึ่งก้าวหนึ่งการต่อสู้
ตูม!
คมดาบแหลมคมสีทองพุ่งทะยานเต็มฟ้า จรัสจ้าพร่าตา เชือดเฉือนฟ้าดิน แต่เพียงชั่วอึดใจเดียวก็ถูกหมัดคู่หนึ่งซัดกระจุย กลายเป็นฝนแสงคลุ้งขจร
หลินสวินสงบจิตพยายามหยั่งรู้ ท้ายที่สุดก็ถอนหายใจอีกครั้ง ยาก! ยาก! ยาก! สัจจะมหามรรคนั้นลึกลับยากหยั่งถึง แทบจะไร้หนทางตระหนักรู้และควบคุม
‘บันไดขั้นที่สามสิบเก้า บีบให้ข้าต้องใช้พลังหมัดห้าชั้น ยิ่งก้าวขึ้นไปกลัวแต่ว่าจะยิ่งยากป่ายปีน…’
หลินสวินไตร่ตรองอยู่สักพัก ครั้นเหลือบตามองก็เห็นว่าตำแหน่งที่อยู่สูงสุดมีชุดสีขาวสว่างวาบ น่าเกรงขามดุจเซียนเหิน โดดเด่นสะดุดตายิ่งนัก
กู้อวิ๋นถิง เขาปีนถึงขั้นที่แปดสิบแล้ว!
หลินสวินตกตะลึงก่อนเก็บสายตากลับมา และมุ่งความสนใจไปที่ถนนใต้เท้า
ตามเวลาที่เคลื่อนคล้อย เขาก้าวขึ้นบันไดทีละขั้น ผ่านภาพมายามหามรรคอันสาหัสสากรรจ์ ประสบพบเจอสัจจะมหามรรคนานัปการต่างกันไป
มีร่องรอยแห่งเพลิงที่ดุเดือดร้อนแรง มีร่องรอยแห่งไม้ที่มีพลังชีวิตไร้สิ้นสุด มีสัจวิถีธาตุทองที่ร้ายกาจดุดัน มี…
แต่ละสัจวิถีล้วนเป็นตัวแทนแห่งกลิ่นอายมรรค ผสมผสานฟ้าดินทั้งบนล่าง เปี่ยมด้วยเนื้อแท้แกนหลัก อัศจรรย์สุดพรรณนา
สี่ฤดูหมุนเวียน รุ่งโรจน์เสื่อมถอยไม่เที่ยง ตะวันขึ้นจันทราคล้อย ทิวาราตรีกาลผันเปลี่ยน ธาราเคลื่อนขึ้นลง… ทุกสรรพสิ่งล้วนมีวิญญาณ วิญญาณเป็นรากเหง้าแห่งกฎเกณฑ์ กฎเกณฑ์คือท่วงทำนองแห่งมรรค มรรคนั้นไร้นาม ถือกำเนิดสรรพสิ่ง วัฏจักรเวียนบรรจบ สัญจรตามลำดับ สำแดงเป็นปรากฏการณ์
กล่าวโดยสรุปแล้ว เรียกว่ามหามรรคธรรมบาล!
ทว่ารู้นั้นง่าย แต่ทำนั้นยาก การมองเห็นและรับรู้เป็นเรื่องหนึ่ง แต่คิดจะตระหนักรู้และควบคุมนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ทั้งสองเปรียบเสมือนความแตกต่างระหว่างฟ้าและดิน ซึ่งต่างกันอย่างสิ้นเชิง
เฉกเช่นตอนนี้ หลินสวินพยายามจะหยั่งถึงและควบคุมมันมาตลอด งัดฝีมือทุกอย่างออกมาใช้จนหมด ทว่าจนป่านนี้ก็ยังไม่ได้อะไรเลย
ที่นี่ยังเป็นภูผาแห่งบันไดสวรรค์ เปี่ยมด้วยร่องรอยมหามรรค หากยกไปอยู่โลกภายนอก มหามรรคไร้รูปล่องลอย รังแต่จะทำให้รับรู้และเสาะหายากขึ้นเท่านั้น
และนี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมผู้แข็งแกร่งระดับหยั่งสัจจะจึงหาตัวจับยากเช่นนี้ หนทางแห่งมหามรรคเรรวนปรวนแปร นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ไม่รู้ว่ามีผู้ฝึกปราณตั้งเท่าไรที่หยุดฝีเท้าไว้ตรงนี้ และสิ้นชีพด้วยความคับแค้น
คำกล่าวที่ว่า ‘ใต้มหามรรคซากกระดูกฝังแน่น’ ไม่ใช่คำพูดเกินจริงอย่างแน่นอน มันเป็นเหมือนจุดยุทธศาสตร์ทางธรรมชาติสายหนึ่ง กักขังผู้ฝึกปราณจำนวนมากบนโลกเอาไว้ ไร้หนทางป่ายปีนและข้ามผ่าน
แต่อายุขัยนั้นมีจำกัด หากไม่สามารถทะลวงระดับขั้น ย่อมไม่อาจหลุดพ้นจากความทุกข์แห่งการเกิดแก่เจ็บตาย ผลสุดท้ายก็จะกลายเป็นฝุ่นดิน จมดิ่งในสายธารแห่งกาลเวลา
ตู้ม!
มหาสมุทรปั่นป่วนเดือดพล่าน กลั่นตัวกลายเป็นอาวุธมากมายแตกต่าง ทั้งทวนยาว ง้าวใหญ่ กระบี่วิญญาณ ดาบศึกเป็นต้น แสงวารีส่องประกาย พุ่งทะยานสู่ห้วงอากาศ
เงาร่างของหลินสวินดุจสายฟ้า ใช้ก้าวย่างชือน้ำแข็งต่อสู้อย่างดุเดือดบนผืนสมุทรอันกว้างใหญ่ พลังหมัดจรัสจ้าพราวตา ฉีกทึ้งห้วงอากาศ
ตูม~~
มีระเบิดปะทุทั่วหัวระแหง แสงพิรุณพุ่งกระจาย คลื่นน้ำซัดกลืน
ไม่นานนักสัจวิถีธาตุน้ำอันเชี่ยวกรากนั้นได้พัฒนากลายเป็นดวงวิญญาณน่าหวาดกลัวอย่างมังกรเกล็ด สัตว์ปีกดุร้าย ยักษา วิญญาณสมุทร… อานุภาพยิ่งทวีความน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ
นี่คือบันไดสวรรค์ขั้นที่หกสิบสาม พลังของร่องรอยมหามรรคยิ่งน่ากลัวมากขึ้นทุกที ทุกสิ่งที่พลังแห่งสัจจะวิวัฒน์ออกมาเห็นได้ชัดว่าแตกต่างกัน มีจิตวิญญาณที่ไม่อาจควบคุมได้อย่างหนึ่งไหลหลั่ง น่าสะพรึงถึงขีดสุด
หากเปลี่ยนเป็นผู้ฝึกปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณคนอื่นๆ เกรงว่าคงถูกทำลายจนสิ้นซากภายในพริบตาเดียว!
ในความเป็นจริงก็เป็นเช่นนี้ หลายพันปีมานี้ ในสำนักศึกษามฤคมรกตไม่ขาดแคลนผู้กล้าซึ่งมาที่นี่เพื่อบุกทะลวงด่าน แต่ผู้ที่สามารถก้าวเข้ามาถึงจุดนี้ มีจำนวนแทบนับนิ้วได้!
สาเหตุก็อยู่ที่…พลังแห่งร่องรอยมหามรรคนั้นประดุจอานุภาพแห่งฟ้าดิน ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณคนหนึ่งจะรับไหว
ยามนี้แม้แต่หลินสวินก็รู้สึกได้ถึงความกดดัน เขาไม่กล้าลดความระมัดระวัง แสงสีฟ้าอ่อนห้อมล้อม หมุนวนอยู่ทั่วร่าง ดุจชือน้ำแข็งตัวหนึ่งกำลังกลืนเมฆคลายหมอก พลิกนทีคว่ำสมุทร!
ครู่หนึ่งหลังจากนั้น
สิ่งที่วิวัฒน์มาจากสัจวิถีธาตุน้ำระเบิดแตกเป็นชั้นๆ กลายเป็นฝนแสงโปรยปราย
‘ขั้นที่หกสิบสามแล้ว ใช้พลังหมัดห้าชั้น กำลังกายหายไปเกือบครึ่ง…’
หลินสวินรับรู้และวิเคราะห์สถานการณ์ของตนเองเงียบๆ
หากลำพังแค่บุกทะลวงอย่างเดียว หลินสวินคงโดดผลุงขึ้นด้านบนตั้งนานแล้ว เป็นไปไม่ได้เลยที่จะสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงและเวลามหาศาลเช่นนี้
กุญแจสำคัญอยู่ที่เขาทะลวงด่านไปพลางหยั่งรู้ไปพลาง ปรารถนาจะตระหนักรู้และควบคุมพลังแห่งสัจจะมหามรรค เวลาและเรี่ยวแรงที่ใช้ไปนั้นย่อมเกินกว่าปกติอยู่แล้ว
หากสิ่งนี้ถูกผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ ในสำนักศึกษารู้เข้า คงไม่พ้นมองหลินสวินเป็นสัตว์ประหลาด ควรรู้ว่าสำหรับพวกเขาแค่การปีนบันไดสวรรค์ยังรู้สึกถึงความตรากตรำหาใดเปรียบ แต่หลินสวินกลับดีนัก มองการทะลวงด่านเป็นโอกาสอย่างหนึ่งในการสำรวจและลองควบคุมสัจจะมหามรรค นี่มันวิปริตอย่างเห็นได้ชัดเกินไปแล้ว ทำให้ผู้คนทนรับได้อย่างไรกันเล่า!
“หืม?”
ฉับพลันในขณะที่หลินสวินกำลังตั้งใจหยั่งรู้ ในใจพลันจับกลิ่นอายเร้นลับที่คล้ายมีคล้ายไม่มีได้สายหนึ่ง
เลือนรางดั่งควันเมฆา แต่กลับเปี่ยมด้วยเสน่ห์แห่งวารี!
หยั่งถึงแล้ว!
ในใจหลินสวินสะท้านไหว เบิกบานเป็นล้นพัน ทว่ายามที่เขาปรารถนาจะรู้แจ้งอย่างถ้วนถี่นั้น ร่องรอยลี้ลับคล้ายมีแต่ไม่มีสายนี้กลับอันตรธานลับไป
เป็นดังเช่นรอยเท้าห่านบนผืนหิมะ ไร้ร่องรอยให้เสาะหา
ทว่าหลินสวินก็ไม่ได้ย่อท้อด้วยเหตุนี้ ตรงกันข้าม นัยน์ตาดำของเขาแปรเปลี่ยนเป็นเปล่งประกายหาใดเปรียบ ในใจพลุ่งพล่านตื่นเต้นดุจคลื่นยักษ์ในมหาชลธี
การตระหนักรู้แวบเดียวเมื่อครู่นั้น ก็เหมือนแสงที่ทะลุผ่านความมืดมิด ทำให้หลินสวินมองเห็นความหวังเสี้ยวหนึ่งบนเส้นทางแห่งการเสาะแสวงมหามรรคอันขมขื่น!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์