หลินสวินยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ตั้งตระหง่านไม่ขยับเขยื้อน ประดุจต้นสนขจีที่หยั่งรากอยู่ริมหน้าผา
และภายในห้วงนิมิตของเขา เมื่อแสงวิบวับแวววาวสีครามที่คล้ายมีคล้ายไม่มีสายหนึ่งแฉลบผ่านดวงดาวแห่งจิตดวงแล้วดวงเล่า ดาวดวงแห่งจิตที่แต่เดิมเป็นประกายสีเงินยวง พริบตาพลันถูกแสงวารีเพริศพริ้งชั้นหนึ่งย้อมทับ กลายเป็นสีฟ้าครามแวววาม
เพียงแต่ไม่นานนักก็คืนสู่สีเดิมอีกครั้ง
ราวกับว่าแสงสีครามเส้นนั้นกำลังจุดดวงไฟแห่งดารา เพียงแต่เมื่อแสงสีครามจากไป แสงไฟก็พลอยมอดดับตามลงไปด้วย
หนึ่งสว่างหนึ่งดับสูญ ประดุจลมหายใจ อัศจรรย์หาใดเปรียบ
นี่ก็คือพลังแห่งสัจวิถีธาตุน้ำนั่นเอง!
แม้จะเป็นเพียงสายเดียวเท่านั้นก็ดุจดั่งธรรมชาติสรรสร้าง ครอบครองความลี้ลับยากคาดเดา เป็นการบ่งถึง ‘มรรค’ อย่างหนึ่ง
ยามนี้หลินสวินสามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าในจิตวิญญาณมีท่วงทำนองมรรคแห่ง ‘น้ำ’ เพิ่มขึ้นมา ทำให้เขารับรู้ถึงพลังซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมรรค!
เปลี่ยมคุณธรรมดุจสายน้ำ หากกล่าวถึงความยิ่งใหญ่ ก็ทรงพลังน่าเกรงขาม ประดุจธารน้ำตกที่ไหลร่วงสู่เบื้องล่าง สายธารพันลี้ แหวกเขาผ่าดิน ไม่มีสิ่งใดรัดพันได้ หากว่าถึงความเล็กจ้อย น้ำหยดลงหินยังกร่อนหินได้ มองเห็นจุดเล็กรับรู้ถึงภาพรวม ชุ่มชื้นและไร้รูป
ยามนุ่มนวลเหมือนดั่งลมวสันต์ผันแปรเป็นหยาดฝน ยามแข็งกร้าวประหนึ่งทะเลคลั่งซัดนภา
ตรงกับสิ่งที่เรียกว่าใหญ่เล็กไม่จีรัง แข็งแกร่งนุ่มนวลสอดประสาน เป็นการอธิบายถึงหลักการลี้ลับแห่งฟ้าดิน!
วินาทีนี้ในที่สุดหลินสวินก็หยั่งถึงแล้ว ตระหนึกได้ถึงความแข็งแกร่งของพลังแห่งสัจจะ นั่นคือความเข้าใจอันลึกซึ้งที่มีต่อพลังแห่งฟ้าดินอย่างหนึ่ง หากสามารถควบคุมได้ ก็สามารถสำแดงอานุภาพน่าสะพรึงที่ไม่อาจคาดคิดออกมาได้
‘ถึงจะเป็นเพียงแค่ท่วงทำนองมรรคสายเดียว ทว่าสำหรับข้าแล้วกลับเป็นความรู้ความเข้าใจใหม่แบบหนึ่งเกี่ยวกับมรรควิถี ต่อไปเพียงแค่ต้องหล่อหลอมการตระหนักรู้ทำความเข้าใจ ก็จะสามารถควบคุมพลังแห่งธาตุน้ำ และผสานเข้าไปในการฝึกปราณได้!’
หลินสวินสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ก่อนลืมตาขึ้นโดยพลัน
กลิ่นอายทั่วสรรพางค์กายของเขาในตอนนี้คล้ายเกิดการเปลี่ยนแปลงไปด้วยเช่นกัน เพิ่มกลิ่นอายโดดเด่น บริสุทธิ์ไม่แปดเปื้อน ใสกระจ่างดั่งสายน้ำขึ้นมา
หากถูกเจ้าสำนักมฤคมรกตและชายชรามอมแมมรู้ว่า หลินสวินที่อยู่ในระดับมหาสมุทรวิญญาณแต่กลับหยั่งถึงและควบคุมพลังแห่งสัจวิถีธาตุน้ำสายหนึ่งได้ เกรงว่าคงไม่อาจสงบนิ่งควบคุมสติได้อย่างแน่นอน
สิ่งที่น่าเสียดายคือ จิตใจของทั้งสองในเวลานี้ต่างจับจ้องอยู่บนร่างของกู้อวิ๋นถิง ถูกด่านเคราะห์อสนีที่เขาชักนำมาดึงดูดความสนใจไปสิ้น ฉะนั้นจึงไม่ได้สังเกตว่าเด็กหนุ่มที่อยู่ไม่ไกลจากกู้อวิ๋นถิงนัก ได้ทำลายกฎซึ่งเป็นที่ยอมรับทั่วโลก ทำในสิ่งที่ผู้กล้าผู้โดดเด่นจำนวนมากนับแต่อดีตถึงปัจจุบันไม่เคยทำสำเร็จ!
และหากสิ่งนี้ถูกผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ จากโลกภายนอกรู้เขา ก็เพียงพอให้เกิดความวุ่นวายใหญ่โตดุจล้มล้างฉากหนึ่ง สั่นสะเทือนโลกแห่งการฝึกปราณในใต้หล้าได้เลยทีเดียว
“หืม?”
เวลานี้หลินสวินเองก็สังเกตเห็นว่ากู้อวิ๋นถิงกำลังข้ามด่านเคราะห์ ดึงดูดอสนีบาตแปดทิศมาหล่อหลอม ทะลวงระดับบรรลุขั้น
วงแสงที่เกาะตัวกันขึ้นมาดุจเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์วงหนึ่งส่องสะท้อนรอบกายกู้อวิ๋นถิง ทำให้รอบตัวของเขาอาบชโลมด้วยแสง เงยหน้าขึ้นเผชิญอสนีบาต พลานุภาพไร้เทียมทานราวกับเทพศักดิ์สิทธิ์องค์หนึ่งก็ไม่ปาน
‘เจ้าหมอนี่น่าทึ่งจริงๆ’
ในใจหลินสวินก็รู้สึกกริ่งเกรงขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ เขาเคยไปแดนวิญญาณโบราณ และเคยเจอผู้กล้าที่เรียกได้ว่าโดดเด่นมากมาย อาทิเช่นไป๋หลิงซี ซ่งอี้ ฉือฉางเฟิง หลิงเทียนโหวเป็นต้น แต่ผู้ที่สามารถเทียบชั้นกับกู้อวิ๋นถิงได้ กลับแทบจะหาไม่เจอเลยสักคน
บางทีคงมีเพียงผู้กล้าระดับดรุณจ้าวกระบี่เซี่ยอวี้ถังเท่านั้นจึงจะพอประจันหน้าทัดเทียมกับเขาได้
‘มหายุทธ์ระดับหยั่งสัจจะที่อายุยี่สิบกว่าปี ทั้งยังมีกายสุวรรณมรรคอัคคี หากภายหน้าเจ้าหมอนี่เข้าสู่ดินแดนรกร้างโบราณ คงไม่มีทางจมหายไปในหมู่ฝูงชนเป็นแน่’
หลินสวินคล้ายขบคิด
ในตอนนี้เขาไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้อีก เนื่องจากด่านเคราะห์อสนีโหมคลั่งพลุ่งพล่าน น่ากลัวหาใดเปรียบ เพียงเข้าใกล้บริเวณนั้น เป็นต้องได้รับลูกหลงด้วยแน่
แต่ว่าจากโอกาสในครั้งนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่หลินสวินได้ประจักษ์ถึงด่านเคราะห์อสนีของผู้ฝึกปราณ มันหาได้ยากจริงๆ โดยทั่วไปแล้วหากไม่มีพลังเย้ยฟ้า ก็ไม่มีทางชักนำด่านเคราะห์อสนีมาได้เลย
อย่างน้อยเท่าที่หลินสวินรู้ มหายุทธ์ระดับหยั่งสัจจะเก้าส่วนบนโลกในปัจจุบัน ครั้งแรกที่เลื่อนระดับก็ไม่เคยเกิดเหตุการณ์ระดับนี้ขึ้น
เช่นนี้ก็ดูออกแล้วว่ากู้อวิ๋นถิงนั้นโดดเด่นน่าอัศจรรย์เพียงใดแล้ว
‘ด่านเคราะห์อสนี ตามคำเล่าลือในสมัยโบราณ มีเพียงผู้ฝึกปราณที่ก้าวออกจากด่านเคราะห์อสนีเท่านั้นจึงจะสามารถเรียกได้ว่าเป็นผู้แข็งแกร่งอย่างแท้จริง ก็ไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จ…’
หลินสวินสงบจิตสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายทำลายล้างที่อัดแน่นอยู่ในด่านเคราะห์อสนี ความรู้สึกนึกคิดลอยลิ่ว
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง
เมฆสายฟ้ากระจายตัว เวิ้งนภากลับสู่ความแจ่มใส กู้อวิ๋นถิงนั่งขัดสมาธิอยู่บนบันได้หินขั้นที่เก้าสิบเก้า ทั่วกายชโลมเปลวไฟปลายอสนี นั่งขัดสมาธิสงบจิตใจ
เขาเพิ่งจะข้ามด่านเคราะห์เลื่อนระดับ จำเป็นต้องหล่อหลอมปราณให้มั่นคง
กลิ่นอายของเขาเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด ภายในร่างประดุจมังกรจำศีล สามารถสั่นสะเทือนแปดทิศ เหยียดมองใต้หล้า ท่วงท่าสง่างามโดดเด่น
หลินสวินจ้องมองอย่างเงียบๆ ครู่หนึ่งก่อนเก็บสายตากลับมา ยกเท้าเหยียบลงบนบันไดหินขั้นต่อไป
หยั่งถึงสัจวิถีธาตุน้ำสายหนึ่งแล้ว เขาพึงพอใจเต็มที่แล้ว เริ่มใช้เรี่ยวแรงและพลังทั้งหมดในการบุกทะลวงด่าน
“น่าเสียดาย คนหนุ่มอย่างกู้อวิ๋นถิงถูกกำหนดให้ไร้หนทางรั้งอยู่ในจักรวรรดิจื่อเย่า เส้นทางของเขามีเพียงต้องอยู่ในดินแดนรกร้างโบราณเท่านั้นจึงจะสามารถส่องแสงเจิดจรัสได้”
ชายชรามอมแมมถอนใจเบาๆ พลังของกู้อวิ๋นถิงในวันนี้ทำให้เขาเองก็รู้สึกประหลาดใจ ในดินแดนรกร้างโบราณที่มีผู้กล้าดาษดื่น วีรบุรุษโดดเด่นเปล่งประกายเช่นนั้นอาจไม่เรียกว่าหาตัวจับยาก ทว่าในจักรวรรดิจื่อเย่าแห่งนี้ กลับเรียกได้ว่าไร้ผู้ทัดเทียม ไม่เป็นรองใคร!
“ข้าเพียงหวังว่าเขาจะไม่ถูกแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ถ่วงความก้าวหน้า”
เจ้าสำนักกล่าวราบเรียบ
ชายชรามอมแมมนิ่งไป ทันใดนั้นก็หัวเราะร่วนขึ้นมา “ดูเหมือนว่าท่านยังไม่ยินยอมพร้อมใจกับเรื่องราวในปีนั้นอยู่นะ”
เจ้าสำนักไม่ยอมรับหรือปฏิเสธ
“บอกข้ามา ท่านคิดจะทำอย่างไรกับหลินสวินคนนั้นกันแน่”
ท่าทีชายชรามอมแมมเปลี่ยนเป็นจริงจัง “เด็กคนนี้แม้บนร่างกายจะมีเคราะห์กรรมมาก แต่ก็นับว่าเป็นของดีหายากชิ้นหนึ่ง ท่านคิดจะปล่อยไปตามมีตามเกิดอย่างนั้นหรือ”
เจ้าสำนักนิ่งเงียบไปสักพักค่อยเอ่ยปาก “มังกรเร้น ณ ห้วงเหวลึก ย่อมต้องรับการเคี่ยวกรำและความทรมานเป็นเท่าตัวจึงจะมีโอกาสทะยานขึ้นฟ้า สำหรับตอนนี้แล้ว ข้าไม่คิดจะยื่นมือเข้าแทรกด้วยซ้ำ”
“เคี่ยวกรำหรือ” ชายชรามอมแมมหัวเราะเย็นชา “กลัวแต่ว่าปัญหาของเขามากเกินไป จะสิ้นชีพก่อนวัยอันควร”
แววตาเจ้าสำนักไหววูบ ท้ายที่สุดก็ไม่ได้พูดมากความอะไรอีก
……
พรวด!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์