ถึงตอนนี้ข้อพิพาทในลานถูกสยบลงอย่างไร้สุ้มเสียง
สีหน้าพวกจ้าวจั้นเย่ ฉู่ซานเหอต่างดูมีท่าทีผ่อนคลาย เนื่องจากจ้าวจิ่วเซียวก็มาจากราชวงศ์เช่นเดียวกัน นั่นเท่ากับว่าอยู่ฝ่ายเดียวกันกับพวกเขา
ส่วนพวกราชันเลือดเหล็กหนิงปู้กุยและเทพเศรษฐีต่างมุ่นคิ้ว นิ่งเงียบไม่เอ่ยคำ
ต่อมาก็มีคนใหญ่คนโตจำนวนหนึ่งมาเยือนอีกไม่ขาดสาย อาทิเช่นตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงอย่างตระกูลฮวา ตระกูลซ่ง และตระกูลฉือเป็นต้น
ครั้นพวกเขามาถึงก็ได้รับการต้อนรับอย่างกระตือรือร้นจากพวกจ้าวจั้นเย่ ฉู่ซานเหอ เนื่องจากตอนนี้ต่างรู้ดีว่า ในตอนแรกหลินสวินก็เคยล่วงเกินตระกูลเหล่านี้ ศัตรูของศัตรูก็คือสหายของตน พวกจ้าวจั้นเย่ย่อมไม่อาจพลาดโอกาสที่จะดึง ‘สหาย’ ระดับนี้มาเข้าพวกด้วยอยู่แล้ว
สำหรับเรื่องนี้ ฝั่งของหนิงปู้กุยและเทพเศรษฐียังคงนิ่งเงียบไม่เอ่ยคำตามเดิม เพียงแต่ใครต่างก็พอมองออกว่าหากพวกเขาคิดจะปกป้องหลินสวินเอาไว้ แรงต้านทานรังแต่จะมากขึ้นทุกที
อันที่จริงเรื่องดำเนินมาถึงจุดนี้ ก็แทบจะเกินความคาดหมายของผู้คนส่วนใหญ่ในลานโดยสิ้นเชิง
เนื่องจากหลินสวินเพิ่งจะเริ่มหลอมอาวุธวันแรก ต่อให้ทุกคนต่างคิดว่าความหวังที่จะประสบความสำเร็จในคราวนี้แสนริบหรี่ยิ่ง ทว่าผู้ใดก็ไม่กล้าฟันธงว่าหลินสวินจะล้มเหลวอย่างแน่นอนเช่นเดียวกัน!
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ บรรดาคนใหญ่คนโตอย่างพวกจ้าวจั้นเย่ ฉู่ซานเหอ จั่วฝูกวง ฉินเป่าจี้กลับเคลื่อนไหวอย่างอุกอาจ หมายจะพุ่งเป้ากำราบหลินสวิน เห็นได้ชัดว่าผิดปกติมาก
พวกเขาไม่กังวลใจว่าพอหลินสวินประสบความสำเร็จแล้วจะทำให้พวกเขาต้องตกที่นั่งลำบากหรือ
หรือกล่าวอีกนัยคือพวกเขามั่นใจอย่างเต็มที่ว่าการหลอมอาวุธครั้งนี้ของหลินสวินจะต้องลงเอยด้วยความล้มเหลวอย่างแน่นอน?
สิ่งนี้ไม่อาจไม่ทำให้ผู้คนตกตะลึง หากเป็นอย่างกรณีที่สองจริงๆ เช่นนั้นก็พิสูจน์แล้วว่าครั้งนี้พวกจ้าวจั้นเย่มาแบบมีการเตรียมพร้อมไว้แล้ว!
และนี่ก็เป็นสิ่งที่พวกหนิงปู้กุย เทพเศรษฐีต่างเป็นกังวลใจกันอยู่ พวกจ้าวจั้นเย่มั่นใจเกินไป มีท่าทางเหมือนกำชัยชนะ หากหลินสวินล้มเหลวขึ้นมา เช่นนั้นผลที่ตามมาก็อาจร้ายแรงยิ่งยวด
‘ปรมาจารย์เสิ่นทั่ว ท่านคิดว่าครั้งนี้หลินสวินมีความมั่นใจมากเท่าใด’
เทพเศรษฐีสื่อจิตกับเสิ่นทั่ว
‘เอ่อ…ข้าก็ไม่สามารถคาดการณ์ได้เหมือนกัน’
เสิ่นทั่วยิ้มเจื่อนในทันที เป็นคำถามนี้อีกแล้ว จะให้เขากล้าตอบกลับไปอย่างมั่นอกมั่นใจได้อย่างไรเล่า
‘ดูเหมือนสถานการณ์ออกจะไม่ชอบมาพลกล’
เทพเศรษฐีพึมพำกับตัวเอง
‘ดูไปเรื่อยๆ เถิด จากที่ข้ารู้มา หากคิดจะหลอมชุดศึกสลักวิญญาณสักชุก อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาหนึ่งเดือน ไม่ว่าสุดท้ายผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ครั้งนี้แม้ว่าข้าต้องเสียค่าตอบแทนสูง ก็ต้องปกป้องต้นกล้าต้นเดียวที่ท่านเต้าเฉินเหลือทิ้งไว้ให้จงได้!’
ราชันเลือดเหล็กหนิงปู้กุยกล่าวเสียงชัด ท่วงท่าเด็ดเดี่ยว
แน่นอน เขาสื่อจิตกับพวกสือไฉเสิน เย่ฉิงเทียน กงปู้พั่ว ไม่ต้องห่วงว่าจะถูกผู้อื่นได้ยินเข้า
ส่วนอีกด้านหนึ่ง จ้าวจั้นเย่ก็กำลังสื่อจิตอยู่เช่นกัน ‘ครั้งนี้พวกเราระดมพลกันมาก็ได้รับความสนใจจากทั่วทิศ สายตาทุกคู่ต่างจับจ้องอยู่ที่พวกเรา ข้าไม่หวังว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นอีก’
ฉู่ซานเหอพลันหัวเราะน้อยๆ ทันควัน ท่าทีเปี่ยมด้วยความมั่นใจ ‘พี่จ้าววางใจเถิด ต่อให้เจ้าเด็กนี่มีความสามารถในการหลอมชุดศึกสลักวิญญาณ ก็ต้องพ่ายแพ้อยู่วันยังค่ำ!’
จ้าวจั้นเย่เหลือบมองฉู่ซานเหอปราดหนึ่ง พยักหน้ากล่าว ‘เช่นนั้นข้าก็วางใจแล้ว เจ้าเด็กหลินสวินนี่มีฐานะพิเศษ ไม่อาจปล่อยให้เขาเติบโตขึ้นมาได้เป็นอันขาด มิเช่นนั้นจะเป็นผลร้ายต่อจักรวรรดิของเราอย่างแน่นอน!’
……
เวลาเคลื่อนคล้อย พริบตาเดียวก็ผ่านไปสิบวันกว่าวัน
ในหอหลอมวิญญาณชั้นเก้า เตาหลอมส่งเสียงคำรามสนั่นไม่ขาดสาย แผ่คลื่นกระเพื่อมออกไปเป็นระยะๆ บางครั้งก็มองเห็นแสงหลายหลาก เปล่งประกายพราวตา เปรียบดั่งสายรุ้งศักดิ์สิทธิ์พรั่งพรู ดูมหัศจรรย์ยิ่งนัก
ภาพนี้ก่อให้เกิดเสียงฮือฮาจำนวนมากกลางลานในช่วงหลายวันมานี้ ต่างถกเรื่องนี้กันไม่จบสิ้น แม้แต่ปรมาจารย์สลักวิญญาณบางท่านก็เข้ามาผสมโรง ดำเนินการวิเคราะห์และอธิบายปรากฏการณ์เช่นนี้ด้วยเช่นกัน
“ท่านทั้งหลายดูเอาเถิด ภาพเบื้องหน้านี้คือขั้นตอนการหลอม คิดจะหลอมชุดศึกสลักวิญญาณสักชิ้น การหลอมวัตถุดิบวิญญาณเป็นขั้นตอนหนึ่งที่สำคัญยิ่งยวด เนื่องจากเป็นที่ทราบโดยทั่วกันว่าวัตถุดิบวิญญาณแต่ละชนิดล้วนเรียกได้ว่าหาที่เปรียบมิได้ จิตวิญญาณเต็มเปี่ยม หมายจะหลอมพวกมันเป็นหนึ่งเดียวกัน แปลงเป็นโครงอาวุธนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ”
“ถูกต้อง ปรมาจารย์สลักวิญญาณจำนวนมากในประวัติศาสตร์ต่างล้มเหลวในขั้นตอนนี้กันทั้งนั้น สาเหตุก็อยู่ที่ไม่สามารถหลอมโครงอาวุธออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ”
บุคคลสำคัญหลายท่านรับฟังอย่างออกรสออกชาติ บางคนก็อดถามไม่ได้ “ปรมาจารย์ทุกท่านมองออกหรือไม่ว่า ครั้งนี้หลินสวินจะหลอมโครงอาวุธออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบหรือไม่”
“ดูจากรูปการณ์คล้ายว่าจะไม่มีปัญหาอะไร ค่อยดูในช่วงถัดไปว่าเขาจะสามารถควบคุมขั้นตอนการหลอมได้หรือไม่ ลำพังแค่จุดนี้เพียงอย่างเดียว ความสามารถของหลินสวินก็เหนือกว่าการคาดคะเนของข้าไปเรียบร้อยแล้ว”
ผู้ที่เอ่ยคำคืออวี๋เป่ยโต้วปรมาจารย์สลักวิญญาณมากประสบการณ์จากภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณ สิ่งนี้กระตุ้นให้เกิดความประหลาดใจมากมาย และเพิ่มความเชื่อมั่นต่อการหลอมอาวุธในครั้งนี้ของหลินสวิน
อย่างไรเสียอิงจากคำพูดของอวี๋เป่ยโต้ว ปรมาจารย์สลักวิญญาณหนุ่มน้อยอย่างหลินสวินสามารถทำได้ถึงขั้นนี้ ก็เรียกได้ว่าน่าทึ่งและไม่ธรรมดาแล้ว
เพียงแต่ท่ามกลางเสียงร้องอุทานระลอกนี้ ฉู่ซานเหอกลับเปล่งเสียงหัวเราะเยาะออกมา “ฮ่าๆ ข้าไม่คิดว่าเป็นนเช่นนั้น หากข้าเดาไม่ผิด ขั้นตอนการหลอมนี้ของหลินสวินไม่มีทางหลอมโครงอาวุธที่สมบูรณ์แบบออกมาได้แน่”
สิ่งนี้ทำให้ทั่วลานรู้สึกประหลาดใจ ฉู่ซานเหอมาจากตระกูลฉู่ซึ่งเป็นหนึ่งในสามตระกูลใหญ่นักสลักวิญญาณ ทั้งยังมีฐานะเป็นรองหัวหน้าสาขาสลักวิญญาณ เป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณมากประสบการณ์คนหนึ่ง ยามนี้เขากล้าแสดงท่าทีชัดเจนเพียงนี้ หรือว่าจะเห็นร่องรอยบางอย่างเข้าให้แล้ว
“เจ้าแก่คนนี้ปากเสียได้ที่จริงๆ!”
หนิงเหมิงฮึดฮัด
“ครั้งก่อนหลินสวินซ่อมกระบี่เบิกฟ้าให้จักรพรรดินี ทำให้เจ้าแก่นี่อับอายยับเยิน ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน เขาย่อมต้องการให้การหลอมครั้งนี้ของหลินสวินล้มเหลวอย่างแน่นอน”
สืออวี่มุ่นคิ้วพลางเอ่ย
“เจ้าแก่พรรค์นี้ขาดการเก็บกวาด ตอนนั้นทั้งสาขาสลักวิญญาณก็หาคนมาซ่อมกระบี่เบิกฟ้าไม่ได้สักคน มีแค่หลินสวินที่ทำได้ เท่ากับเป็นการช่วยงานใหญ่ให้เขาครั้งหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย เขากลับไม่รู้จักซาบซึ้ง ยังร่วมมือกับคนอื่นๆ จงใจพุ่งเป้าและกดดันหลินสวิน ช่างเป็นเรื่องน่ารังเกียจจริงๆ!”
เย่เสี่ยวชีมีสีหน้าอึมครึม
“พี่ฉู่ ไม่รู้ที่ท่านพูดมามีหลักฐานหรือไม่”
แม้แต่เสิ่นทั่วก็เริ่มไม่สบอารมณ์แล้ว จึงเอ่ยวาจาไถ่ถามฉู่ซานเหอ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์