ตะวันเคลื่อนคล้อยใกล้ลับแผ่นฟ้า ชายชราคนหนึ่งจูงลาหนุ่มตัวหนึ่งเข้ามายังนครต้องห้าม
บนลาหนุ่มมีร่างบางอรชรนั่งอยู่ สวมชุดคลุมสีดำ หมวกปีกกว้างปิดบังใบหน้ากว่าครึ่ง เผยให้เห็นเพียงคางน้อยๆ ขาวกระจ่างเรียบเนียน ผิวพรรณไร้รอยตำหนิราวหยกมันแพะ
ในเมืองอึกทึกครึกครื้นดั่งเช่นเคย เรื่องราวทางโลกมากมาย เจริญรุ่งเรืองราวกับกลุ่มควันลอยตลบ
“หลินสวินคนนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ ใครจะกล้าจินตนาการว่าเขาจะประสบความสำเร็จ”
“อะไรคือปาฏิหาริย์งั้นรึ ก็นี่อย่างไร ได้ยินว่าเมื่อทวนเล่มนั้นปรากฏขึ้น สวรรค์ก็ประทานด่านเคราะห์อสนีม่วง แต่โบราณกาลมายากที่จะได้พบเห็น!”
“นับจากนี้ไปใครยังจะกีดขวางหนทางผงาดง้ำของหลินสวินได้อีก บ้าระห่ำแล้วอย่างไร กำเริบเสิบสานแล้วอย่างไร คนเขามีความสามารถแน่จริง!”
ชายชราจูงลาหนุ่มย่างก้าวไปบนท้องถนนที่คึกคักคราคร่ำไปด้วยผู้คน ตลอดทางสิ่งที่ได้ยินมากที่สุดเห็นจะเป็นบทสนทนาเกี่ยวกับหลินสวิน
นั่นทำให้บนสีหน้าของชายชราเจือแววประหลาดสายหนึ่ง ไม่เจอกันเพียงไม่นาน เด็กหนุ่มคนนี้สามารถหลอมชุดศึกสลักวิญญาณได้แล้วงั้นรึ
ชายชราเหลือบตามองร่างบางอรชรซึ่งนั่งอยู่บนลาหนุ่มร่างนั้นอย่างอดไม่ได้
น่าเสียดาย เนื่องจากถูกหมวกปีกกว้างบดบังใบหน้า ทำให้เขาไม่อาจมองเห็นสีหน้าของนางได้ชัดเจน
“หลินสวินมานครต้องห้ามตั้งแต่เมื่อไหร่”
ทันใดนั้นภายใต้หมวกปีกกว้างพลันมีเสียงสงบเงียบเสนาะหูดุจเสียงจากธรรมชาติดังขึ้น ใสเย็นสะอาดเหมือนกับน้ำพุที่หลั่งไหลเรื่อยเฉื่อย ไพเราะเพราะพริ้งยากจะอธิบาย
“ประมาณหนึ่งปีแล้ว”
ชายชรากล่าวตอบ
“ทำไมข้าถึงไม่รู้”
“ต่อให้รู้แล้วก็ไม่อาจพบหน้ากันได้ ท่านยังต้องเติบโตและบำเพ็ญตน เขาก็ต้องเดินไปบนเส้นทางของตนเอง ทางที่ดีไม่พบกันเสียดีกว่า”
ชายชราอธิบายอย่างมีน้ำอดน้ำทนหนึ่งประโยค
บนลาหนุ่ม ร่างบางอรชรตกอยู่ในความเงียบ
“กลับมาคราวนี้ อาจจะพบเจอเรื่องราวที่เสี่ยงอันตรายกว่าเดิม เวลาของคุณหนูมีไม่มากแล้ว นางหวังว่าท่านจะสามารถเติบโตขึ้นโดยเร็วที่สุด”
ชายชราเดินไปข้างหน้าพลางเอ่ยปากพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “เมื่อท่านมีพลังที่แข็งแกร่งพอ ก็สามารถทำเรื่องที่ตนเองต้องการทำได้ และไม่ต้องได้รับการคัดค้านอันใดอีก”
“เจ้าหมายถึงหลังจากกลับไปคราวนี้ มีช่วงเวลายาวนานที่ข้าไม่สามารถออกมาได้อีกงั้นรึ”
บนลาหนุ่ม น้ำเสียงไพเราะใสเย็นดังขึ้น
สีหน้าของชายชราเปลี่ยนเป็นจริงจัง ก่อนพยักหน้าตอบ “ประมาณนั้น”
ตลอดทางที่เดินไปข้างหน้า เด็กสาวตัวน้อยนิ่งเงียบตลอด จนกระทั่งมาถึงทางแยกอันคึกคักเส้นทางหนึ่ง นางพลันยกมือขึ้นให้ลาหนุ่มหยุดลง
ข้างทางแยกนั้นคือโรงน้ำชาแห่งหนึ่ง มีผู้ฝึกปราณมากมายกำลังวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในสำนักศึกษามฤคมรกตวันนี้จนน้ำลายแตกฟอง
“เจ้าสำนักออกหน้า ถอนตำแหน่งของจ้าวจั้นเย่ราวลมสารทฤดูพัดกวาดใบไม้ที่ร่วงหล่นก็มิปาน ขับไล่เขาออกจากสำนักศึกษา แล้วยังทำให้เหล่าบุคคลสำคัญคนอื่นๆ ไม่อาจไม่ก้มหัวลง ไม่กล้าเป็นศัตรูกับหลินสวินอีก เห็นจะมีเพียงตระกูลจั่ว ฉิน ฉือ สามตระกูลที่ไม่ยอมอ่อนข้อให้ เห็นได้ว่าพวกเขาไม่เคยคิดปล่อยหลินสวินไปแต่แรก”
“นั่นน่ะสิ กล้าไม่เห็นแก่หน้าเจ้าสำนัก เกรงว่าจะมีเพียงตระกูลจั่ว ฉิน ฉือ สามตระกูลเท่านั้นแหละ ไม่รู้จริงๆ ว่าหลังจากนี้พวกเขาจะต่อกรกับหลินสวินเช่นไร”
“ความแค้นนี้ยากจะคลี่คลายลงได้จริงๆ ได้ยินมาว่าเหตุการณ์นองเลือดที่เกิดขึ้นบนภูเขาชำระจิตเมื่อสิบกว่าปีก่อน ก็มีสามตระกูลนี้อยู่เบื้องหลัง ความแค้นบาดหมางใหญ่หลวงถึงขั้นนี้ ไม่อาจคลี่คลายเช่นนี้ได้ตั้งแต่แรก”
สาวน้อยฟังอยู่ข้างๆ ครู่ใหญ่แล้วพลันกล่าว “ก่อนจะกลับไป ข้าอยากไปดูสถานที่บางแห่ง”
ชายชราเหมือนเดาอะไรออก บนใบหน้าเมตตาอ่อนโยนปรากฏความจนปัญญาที่ยากจะได้เห็น ครู่ใหญ่จึงพูดว่า “มากสุดหนึ่งชั่วยาม”
“ได้”
คำตอบของสาวน้อยสั้นกระชับได้ใจความ
…
ยอดเขากระเรียนเหิน
นี่คือหนึ่งในเจ็ดสิบสองภูเขาแห่งอำนาจของตระกูลทรงอิทธิพล เป็นอาณาเขตของตระกูลฉือ รูปร่างคล้ายกับกระเรียนเหินทะยานขึ้นเหนือเมฆ ซึบซับพลังวิญญาณแห่งฟ้าดิน
ยามโพล้เพล้วันนี้ เด็กหญิงคนหนึ่งที่นั่งบนลาหนุ่มโดยมีชายชราผู้หนึ่งจูงได้มาถึงเบื้องหน้ายอดเขากระเรียนเหิน
หน้ายอดเขามีผู้คุ้มกันกร้าวแกร่งจำนวนหนึ่งปกป้องประตูทางเข้าอยู่ หลังจากเห็นชายชราและเด็กหญิงก็มีคนหนึ่งเดินออกมาทันที ตะโกนถามเสียงดัง “พวกเจ้าเป็นใคร มายังตระกูลฉือข้าด้วยเรื่องอันใด”
แม่นางน้อยเงยหน้าขึ้น สายตามองยอดเขากระเรียนเหินเงียบๆ ครู่หนึ่งถึงค่อยกล่าวตอบ “ข้าชื่อซย่าจื้อ ข้ามาฆ่าคน”
น้ำเสียงช่างงดงามดุจเสียงธรรมชาติ แต่ความหมายในคำพูดกลับพาให้ผู้คนตระหนกตกใจ
ผู้คุ้มกันคนนั้นชะงักงันไปครู่หนึ่ง แทบไม่กล้าเชื่อหูตนเอง หลายปีที่ผ่านมามีใครหน้าไหนกล้ามาลำพองในอาณาเขตของตระกูลฉือบ้าง
แต่วันนี้กลับมีแม่นางน้อยคนหนึ่งมาประกาศว่าจะฆ่าคนซะอย่างนั้น!
นี่มันแปลกประหลาดเกินไปแล้ว
“ฆ่าคน?”
ผู้คุ้มกันสีหน้าพิลึกพิลั่น “หนูน้อย เจ้ารู้ไหมว่าที่นี่คือที่ใด”
“รู้ ตระกูลฉือ”
เด็กหญิงน้ำเสียงราบเรียบ
ผู้คุ้มกันไม่พอใจทันที “รู้แล้วยังจะกล้ามาพูดเพ้อเจ้อ นี่ไม่ใช่รนหาที่ตายหรือ รีบไสหัวไปเดี๋ยวนี้ มิฉะนั้นพวกเจ้าก็อย่าหวังจะได้กลับไป!”
เคร้ง!
แม่นางน้อยน้อยเหยียดมือบางขาวกระจ่างออกมาข้างหนึ่ง กลางฝ่ามือปรากฏทวนหนึ่งเล่ม ความยาวประมาณหนึ่งจั้ง ตัวทวนแผ่แสงดาราเย็นยะเยือกพร่าเลือนเสมือนภาพมายา
นางสวมชุดคลุมสีดำ หมวกปีกกว้างปิดบังใบหน้าไว้ เรือนร่างอรชร เห็นได้ชัดว่าเป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง แต่เมื่อนางกุมทวนประกายดาราเล่มนั้นกลับประหนึ่งเปลี่ยนไปเป็นคนละคน!
ไอสังหารยากอธิบายเข้าปกคลุมพื้นที่แถบนั้น ราวกับความมืดแห่งรัตติกาลนิรันดร์มาเยือน ทำให้ฟ้าดินล้วนมืดสลัว ประหนึ่งจมดิ่งลงสู่ความมืดมิด
แต่แม่นางน้อยกลับเสมือนราชันที่ยืนเด่นท่ามกลางความมืดนั้น มือจับทวนมั่น กลายเป็นหนึ่งเดียวกับความมืดมิด!
ฟุ่บ!
พริบตาเดียวเท่านั้น ผู้คุ้มกันคนนั้นไม่ทันได้ตอบสนองด้วยซ้ำ ลำคอก็ถูกปลายทวนไร้รูปตัดขาด เลือดสดสาดกระจาย ล้มลงกับพื้นโดยไร้สุ้มเสียง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์