เสียงกู่เจิงนั่นเหมือนน้ำพุใสไหลริน ราวกับแสงจันทร์ไหลเคลื่อนร่ายระบำ เรียบง่ายสง่างาม กลมกลืนเงียบสงบ รังสรรค์ภาพงดงามดุจดั่งภาพวาดบทกวี
แม้แต่หลินสวินและจ้าวจิ่งเซวียนยังอดดื่มด่ำไปกับมันไม่ได้ เสียงที่ยอดเยี่ยมราวกับเสียงธรรมชาตินี้เจือกลิ่นอายท่วงทำนองแห่งมรรครางๆ พาให้รู้สึกเหมือนอยู่ในโลกเซียน ประหนึ่งรับฟังแก่นแท้แห่งมหามรรค
เสียงกระพือปีกดังแว่วขึ้น กลับเป็นนกกระจอกเขียว เหยี่ยว ห่านและนกอินทรีเทาถูกดึงดูดมา
พวกมันสยายปีกบินว่อนมากกว่าร้อยตัว ราวกับร้อยวิหคมาคำนับ เข้ากับเสียงอันไพเราะของกู่เจิง ขับเน้นให้เซียวหรันดูประหนึ่งเซียน เป็นศูนย์รวมความงดงามและศักดิ์สิทธิ์แห่งจักรวาล
เมื่อเห็นภาพมหัศจรรย์เช่นนี้หลินสวินก็อดหวั่นไหวไม่ได้ เซียวหรันคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดาแน่ แค่บรรเลงดนตรีเท่านั้น ยังแฝงไว้ซึ่งมหามรรคลึกล้ำ บุคคลระดับนี้สักวันจะต้องมีชื่อเสียงไปทั่วใต้หล้า ดึงดูดสายตาจากทั่วทิศ
แต่ไม่นานก็มีเสียงร้องแหลมของนกดังโหยหวนมาจากบนยานสำเภา ทำลายเขตแดนสุนทรีที่เกิดจากเสียงกู่เจิง
เซียวหรันชะงักไป มุมปากเผยความจนใจ
เมื่อหลินสวินมองขึ้นไป พลันเห็นว่าบนใบเรือสูงชะลูดมีเด็กหนุ่มชุดดำคนหนึ่งนั่งอยู่ กำลังจับนกกระจอกเขียวตัวหนึ่งไว้ ใช้ฟันกัดคอมันแล้วดูดเลือดสด ตรงมุมปากยังมีเลือดหยดลงมา
นี่คือภาพคาวเลือดภาพหนึ่ง เด็กหนุ่มชุดดำดูเรียบง่ายและสุภาพอย่างมาก หว่างคิ้วเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่ยามเขาดูดเลือดนกกระจอกเขียวกลับให้ความรู้สึกสยดสยอง
“เจ้าอยากกินเนื้อหรือ”
ราวกับรับรู้ได้ถึงสายตาของหลินสวิน เด็กหนุ่มชุดดำพลันก้มหน้าถามหลินสวินพร้อมใบหน้าที่เปื้อนยิ้ม
หลินสวินส่ายศีรษะ
เด็กหนุ่มชุดดำร้องอ้อคำหนึ่งแล้วดูดเลือดต่อ
เห็นได้ชัดว่าเมื่อครู่เป็นเสียงที่เขาฆ่านกกระจอกเขียว ทำลายการบรรเลงกู่เจิงของเซียวหรัน เพียงแต่เซียวหรันเองก็เหมือนจนปัญญากับเขา
‘เขาชื่ออวิ๋นเช่อ เป็นอันดับที่หกของศิษย์สายในแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ เป็นเด็กหนุ่มที่เป็นดั่งสัตว์ประหลาด อย่าเห็นว่าเขายิ้มแย้มอ่อนโยน เรียบง่ายสบายๆ เชียว เขาเป็นคนที่เลือดเย็นที่สุดในบรรดาศิษย์ร่วมสำนัก ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่ฝึกยังเป็นมหามรรคปลิดชีพ คนที่เป็นศัตรูกับเขาจะต้องถูกเขาสังหารอย่างแน่นอน’
เสียงของจ้าวจิ่งเซวียนดังขึ้นข้างหู ทำให้หลินสวินหัวใจกระตุกวูบอีกครั้ง มหามรรคปลิดชีพ? เด็กหนุ่มที่เป็นดั่งสัตว์ประหลาด?
มองดูเด็กหนุ่มดูดเลือดนกกระจอกเขียวพร้อมรอยยิ้มบางๆ ใบหน้าดูดื่มด่ำแล้ว หลินสวินพลันรู้สึกเหมือนเคยรู้จักกันมาก่อน
เจ้าคนที่สายตามีรอยยิ้มอยู่ตลอดคนนี้ คล้ายว่าจะเป็นเหมือนตนเอง เป็นคนเหี้ยมโหดที่ชอบใช้รอยยิ้มปกปิดตัวตน…
‘เจ้าต้องระวังจะตกเป็นเป้าของเขา หากเขาเห็นเจ้าเป็นศัตรูเมื่อไหร่ ก็จะแตกหักอย่างไม่สนใจใครหน้าไหนทั้งสิ้น นิสัยไร้เยื่อใยและเย็นชาอย่างที่สุด’
เสียงของจ้าวจิ่งเซวียนแฝงการตักเตือน ‘แม้ว่ายามนี้เขาจะมีพลังปราณเพียงระดับมหาสมุทรวิญญาณขั้นสมบูรณ์เท่านั้น แต่ก็สามารถใช้พลังต่อสู้ของตัวเองสังหารผู้แข็งแกร่งระดับหยั่งสัจจะได้อย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องพึ่งสมบัติใดๆ!’
ตอนนี้ในที่สุดหลินสวินก็มองเด็กหนุ่มที่ชื่ออวิ๋นเช่ออย่างจริงจัง เขาเองเคยสังหารระดับหยั่งสัจจะมาแล้ว จึงรู้ดีว่าการที่อวิ๋นเช่อทำได้ขนาดนี้หมายความถึงอะไร
“ศิษย์พี่จ้าว ท่านนินทาข้าอยู่หรือ”
อวิ๋นเช่อพลันก้มหน้าลงยิ้มถาม
“เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ”
จ้าวจิ่งเซวียนพูดอย่างสบายๆ
อวิ๋นเช่อส่ายหน้า พลันชี้มาที่หลินสวินพร้อมพูดว่า “เจ้าเป็นผู้ติดตามที่พิเศษมาก ข้าได้กลิ่นอายอันเป็นเอกลักษณ์จากตัวเจ้า”
พูดจบเขาก็ยิ้มพลางพลิกตัวลงจากใบเรือแล้วหายไปบนดาดฟ้า
“เขาหมายความว่าอย่างไร”
หลินสวินตะลึง มึนงงไปหมด
กลับเห็นจ้าวจิ่งเซวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย หว่างคิ้วเผยความอึมครึม ครู่หนึ่งจึงพูดว่า “เอาเป็นว่าไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน เจ้าต้องระวังเขาให้มาก”
“ศิษย์น้องจ้าวไม่ต้องใส่ใจ อวิ๋นเช่อไม่ทำอะไรลูกน้องเจ้าหรอก”
เซียวหรันที่อยู่ห่างออกไปพูดด้วยเสียงอบอุ่น
“เป็นแบบนั้นจะดีที่สุด”
จ้าวจิ่งเซวียนยิ้ม
“พี่จิ่งเซวียน กอดๆ~”
เสียงกระจ่างใสออดอ้อนเสียงหนึ่งดังแว่วขึ้น พลันเห็นว่าในห้องที่อยู่ไม่ไกลนักมีเด็กผู้ชายในชุดหลากสีคนหนึ่งก้าวออกมา ผมมัดสูงชี้ฟ้า สวมห่วงสมบัติสีเงินยวงไว้ที่คอ ดวงตาฉลาดเฉลียว ท่าทางดูซุกซน
เขาวิ่งมาอย่างรวดเร็ว หมายจะโผเข้ากอดจ้าวจิ่งเซวียน แต่กลับเห็นจ้าวจิ่งเซวียนยกขาขึ้นถีบเด็กชายชุดหลากสีออกไปอย่างรุนแรง
หลินสวินมองตาค้างอยู่บ้าง เด็กที่น่ารักขนาดนี้ เหตุใดจ้าวจิ่งเซวียนจึงลงมืออย่างไม่เกรงใจเลย
กลับเห็นเงาร่างของเด็กชายชุดหลากสีคนนั้นแวบหายกลางอากาศแล้วลงมายืนบนพื้นอย่างมั่นคง แยกเขี้ยวยิงฟันลูบหน้าท้องพูด “ไม่กอดก็ไม่กอด ทำไมต้องถีบกันด้วย ว่าแต่ศิษย์พี่จ้าวแต่งเป็นชายแล้วงดงามเหลือเกิน คนงามอย่างท่านไม่ให้ข้ากอดถือว่าน่าเสียดายมาก”
ในขณะที่พูด ดวงหน้าเล็กอ่อนเยาว์น่ารักกลับเผยสีหน้าผีลามกที่น้ำลายแทบหก
หลินสวินแทบไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง
เผ่าวิญญาณแกะเขียว!
บรรพบุรุษเคยมีผู้เป็นอมตะที่แท้จริง!
หลินสวินอดถอนหายใจไม่ได้ ช่างสมกับที่เป็นดินแดนรกร้างโบราณ เพียงแค่ในแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณแห่งเดียว ก็มีศิษย์อัจฉริยะทรงอานุภาพสารพัด หลายหลากมากมาย ทำให้หลินสวินทอดถอนใจไม่หยุด
เซียวหรันที่บุคลิกล่องลอยราวกับควันเมฆ ลึกลับเกินคาดเดา…
อวิ๋นเช่อที่ฝึกมหามรรคปลิดชีพ ภายนอกดูสดใสและเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แท้จริงแล้วจิตใจเย็นชาไร้ปรานีที่สุด…
เหวินเสียงที่เหมือนเด็ก แต่กลับเจ้าชู้เจ้าสำราญหาที่เปรียบไม่ได้…
บวกกับซูซิงเฟิงที่เผด็จการดุดัน กดข่มผู้คน รวมทั้งกงหยางอวี่ที่เมื่อครู่นี้ปรากฏตัวเพียงแวบเดียว ลูกศิษย์แต่ละคนของแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณล้วนสร้างภาพจำอันเป็นเอกลักษณ์ให้กับหลินสวิน
เอกลักษณ์ที่ชัดเจนนี้ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่เมื่อสังเกตอย่างละเอียดกลับน่ากลัวอย่างมาก เพราะนี่หมายความว่าลูกศิษย์เหล่านี้ได้ค้นพบทางของตัวเอง จึงดูโดดเด่นไม่เหมือนใคร!
แม้แต่จ้าวจิ่งเซวียนที่อยู่ตรงหน้าก็เป็นเช่นนี้ด้วยไม่ใช่หรือ
‘ผู้กล้าทั่วหล้ารวมตัวกัน หมู่ดาวส่องประกาย หมื่นวิถีรวมอยู่ แย่งชิงโลกา!’ หลินสวินพลันนึกถึงทำนายของ ‘มหาสงคราม’ ขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
เพียงแค่ลูกศิษย์แดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณเหล่านี้ ก็ทำให้หลินสวินรู้สึกรางๆ ว่า บางทีในอีกร้อยปีข้างหน้า เมื่อ ‘มหาสงคราม’ เริ่มขึ้น ถ้าลูกศิษย์เหล่านี้ยังไม่ตายจะต้องกลายเป็นหนึ่งในคนที่แย่งชิงโลกาแน่นอน!
พอคิดว่าคนพวกนี้เป็นเพียงศิษย์ส่วนน้อยของแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณเท่านั้น และแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณยังเป็นสำนักโบราณแห่งหนึ่งในดินแดนรกร้างโบราณ!
จากประเด็นนี้สามารถอนุมานได้ว่า ในสำนักโบราณอื่นๆ ของดินแดนรกร้างโบราณจะต้องมีผู้กล้าที่โดดเด่นและปีศาจที่สะท้านโลกมากกว่านี้อย่างแน่นอน!
‘หลินสวิน เมื่อครู่นี้เจ้าก็ได้เห็นแล้ว พวกเขาเป็นศิษย์ร่วมสำนักที่จะไปค้นหาวาสนาในโบราณสถานบรรพกาลเหมือนกับข้า’
ยามนี้สีหน้าของจ้าวจิ่งเซวียนดูเคร่งขรึมขึ้นมาและสื่อจิตว่า ‘แต่ความสัมพันธ์ของลูกศิษย์ในสำนักเราไม่ได้เรียบง่ายเหมือนภายนอก ถึงขั้นที่เพื่อช่วงชิงวาสนา อาจเกิดความขัดแย้งและแก้ปัญหาด้วยการต่อสู้ แม้ต้องฆ่าอีกฝ่ายให้ตายก็จะไม่ปรานีสักนิด’
‘เพราะฉะนั้นข้าอยากให้เจ้าเตรียมพร้อม ถึงตอนนั้นไม่ว่าใครจะลงมือกับเรา ก็จะปรานีไม่ได้เด็ดขาด!’
หลินสวินอึ้ง ยามนี้เพิ่งตระหนักได้ว่า ต่อให้เป็นในแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ ระหว่างลูกศิษย์เหล่านี้ก็เต็มไปด้วยการแข่งขันที่โหดร้าย ไม่ใช่เรียบง่ายอย่างที่ตนเห็น
‘คิดไม่ถึงเลยใช่ไหม ความจริงรอให้เจ้าเข้าไปในดินแดนรกร้างโบราณก็จะเข้าใจว่า ที่นั่นแม้จะเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งการฝึกปราณ แต่ก็เป็นสถานที่แห่งความเป็นจริงและโหดร้ายที่สุดเช่นกัน…’
จ้าวจิ่งเซวียนถอนหายใจเบาๆ หน้าผากเกลี้ยงเกลาเผยความกลัดกลุ้มรางๆ
——
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์